บันทึกจากสามก๊ก
สองนางในยุทธนาวี
“ เทพารักษ์ “
ท่านผู้อ่านวรรณคดีไทยจากพงศาวดารจีนเรื่องสามก๊ก คงไม่มีผู้ใดไม่รู้จักตอน โจโฉแตกทัพเรือเป็นแน่ เพราะเป็นหนังสือเรียนในชั้นมัธยมศึกษาอยู่หลายสิบปี แล้วยุทธนาวีที่มีชื่อเสียงโด่งดังในครั้งกระนั้น มีสตรีมาเกี่ยวข้องด้วยหรือ ท่านอาจจะถาม แน่ละถ้าไม่มีสตรีสองพี่น้องที่จะกล่าวถึงนี้มาเป็นต้นเหตุ ก็คงจะไม่เกิดสงครามครั้งนั้นขึ้นเป็นแน่ นางคือใคร มีชื่อแซ่ว่ากระไร ฉบับของท่านเจ้าพระยาพระคลัง (หน) เขียนไว้ ดังนี้
ขงเบ้งเห็นจิวยี่กับโลซกทุ่มเถียงกันมิได้ตกลง ก็นั่งยิ้มฟังอยู่ จิวยี่จึงว่าท่านหัวเราะข้าพเจ้าหรือ
ขงเบ้งจึงว่า ซึ่งข้าพเจ้าหัวเราะทั้งนี้มิได้เยาะท่าน กลั้นยิ้มโลซกมิได้ เพราะมิได้รู้จักลักษณะผิดแลชอบ มีแต่ปากก็เถียงท่าน
โลซกจึงว่า เหตุไฉนท่านจึงหัวเราะเยาะเรา ว่ามิได้รู้จักลักษณะสิ่งใด
ขงเบ้งจึงว่า อันจิวยี่ว่ากล่าวซึ่งจะไปนบนอบโจโฉนั้น เราเห็นด้วย
โลซกจึงว่า เหตุใดท่านจึงมาเจรจาดังนี้เล่า
ขงเบ้งจึงว่า อันโจโฉนั้นมีปัญญาความคิดสุขุมนัก รู้จัดแจงทหารในการสงครามก็ชำนาญกว่าคนทั้งปวง แลอ้วนเสี้ยว อ้วนสุดนั้น มิได้รู้จักกำลังสงครามว่าหนักแลเบา องอาจถือว่าตัวดีต่อสู้ โจโฉ ก็ถึงแก่อันตราย เล่าปี่นายเรานั้นก็ถือทิฐิมานะขืนต่อสู้โจโฉ ก็ได้ความเดือดร้อนจนพลัดมาอยู่เมืองกังแฮ อันจิวยี่เป็นคนมีความคิด จะผ่อนผันให้ไปคำนับโจโฉ ประสงค์จะรักษาบุตรภรรยา แลอาณาประชาราษฎรให้เป็นสุขนั้นเห็นควรอยู่
โลซกก็โกรธจึงว่า ท่านว่าทั้งนี้เหมือนจูงมือเราไปให้คุกเข่าคำนับโจโฉ อ้ายศัตรูแผ่นดิน ควรแล้วหรือ
ขงเบ้งจึงว่า ท่านอย่าโกรธเราเลย ซึ่งจะไปคำนับโจโฉนั้นเรามิให้ลำบาก จำเพาะแต่ตัวต้องข้ามน้ำข้ามทะเลไปเจียวหรือ ถึงตัวท่านมิไปก็ได้เหมือนกัน ด้วยอุบายอันหนึ่งของเรา จะให้เอาแต่คนสองคนลงเรือลำหนึ่งข้ามไปหาโจโฉ โจโฉก็จะพาทหารร้อยหมื่นเลิกทัพกลับไปดอก
จิวยี่จึงถามว่า ซึ่งท่านจะให้แต่คนสองคนข้ามไป ก็อาจสามารถจะให้โจโฉเลิกทัพไปนั้นฉันใด จงว่าให้แจ้งก่อน
ขงเบ้งจึงบอกว่า เมื่อเรายังอยู่เขาโงลังกั๋งนั้น แจ้งว่าโจโฉได้ทำปราสาทไว้แห่งหนึ่งอยู่ริมแม่น้ำเจียงโหเป็นที่สบาย แล้วจัดเอาผู้หญิงที่รูปงามมาไว้เป็นอันมาก ด้วยมีน้ำใจกำเริบในมาตุคามอยู่
ความตอนนี้ท่าน ยาขอบ วนิพกผู้ยิ่งใหญ่ในการเล่าเรื่องสามก๊ก ได้พรรณาไว้ในชุด จิวยี่ ผู้ถ่มน้ำลายรดฟ้า ไว้อย่างนุ่มนวลชวนให้เคลิ้มตามว่า
อันว่าปราสาทประกาศบุญนั้น ตระการพิศดารฉันใดหรือ จึงเกริกก้องบันลือไปถึงโงลังกั๋งแดนวิเวก ก็เพราะการก่อสร้างนั้นกระทำด้วยวิธีการ ซึ่งมหาราชที่เรืองตบะเดชะบาง พระองค์เท่านั้นดอก ที่ได้เคยทรงกระทำ………
ใหญ่หลวงกว้างขวางในรูปุระตระหง่านสามหลัง แต่มีสะพานยาวเฟื้อย เชื่อมสัมพันธ์ให้หอทั้งสามนั้นเป็นหลังเดียวกัน และโดยหมายใจจะให้ปรากฎไปว่า ยากที่ใครใดจะอาจทำขึ้นมาแข่งบุญได้เสมอเหมือนอีก…..
โจโฉคนน้ำใจกำเริบเสิบสาน มีปรารถนาความเป็นกษัตริย์ซ่อนอยู่ในหัวใจลึก ก็ให้ประดิษฐ์รูปหงส์กับมังกร อันเป็นเครื่องสูงสำหรับเฉพาะบุคคลในวรรณะกษัตริย์พึงใช้ขึ้นไว้ ปราสาททั้งหมดได้ชื่อตามหลังกลาง ซึ่งโจโฉขนานนามว่า “ ปราสาทนก(ยูง)สัมฤทธิ์ อีกสองข้างคือมังกรหยก กับหงส์ทอง ตามลักษณะนามสัตว์สำคัญ ที่ประดิษฐานอยู่เหนือยอดนั้น…….
ดังนั้นโดยบัญชาของดยุกแห่งเว่ย์ นางงามตามแขวงเมืองต่าง ๆ ก็ถูกกว้านพามาสู่ปราสาทนี้มีจำนวนมากหลาย แต่ความงามของบรรดาอิสตรีที่ถูกนำมาปรนเปรอบำเรอกามอยู่ในปราสาทนั้น ก็มิได้ทำให้หัวใจของศัตรูแผ่นดินผู้นั้นสงบ กลับดิ้นรนกระวนกระวายเพราะไฟแห่งราคะ ยิ่งถูกพัดกระพือให้แก่กล้าอยู่เป็นนิตย์ ก็ใฝ่ฝันคร่ำครวญอยุ๋แต่ว่า ทำไฉนจึงจักได้ผู้หญิงซึ่งมีเสียงโจษจันกันว่า เป็นยอดงามของบรรดาหญิงในภาคอาคเนย์อีกสองคน เข้ามาเชยชมให้สมปรารถนาตัว และกุลสตรีทั้งสองนั้นก็ได้ข่าวว่า เป็นชาวกังตั๋งนี่เอง…….
ต่อจากนี้เป็นเนื้อความใน สามก๊กคลาสสิค ของ วิวัฒน์ ประชาเรืองวิทย์
จิวยี่กล่าวว่า จะใช้สองคนนั้นเป็นผู้ใดกันจึงจะถอยทัพโจโฉได้
ขงเบ้งกล่าวว่า แคว้นกังตั๋งให้สองคนนี้ไป ประดุจต้นไม้ใหญ่ที่ใบร่วงล่องลอยไปเพียงใบเดียว หรืออุปมาดั่งยุ้งข้าวที่ลดน้อยไปเพียงเมล็ดเดียว และโจโฉแม้นได้ไป ก็คงต้องปิติยินดีแล้วรีบถอยทัพกลับไป
จิวยี่ก็ถามอีกว่า จริงดังว่าหรือ ที่จะใช้สองคนนั้น เป็นผู้ใดกัน
คราวนี้เป็นเนื้อความใน สามก๊กฉบับแปลใหม่ ของ วรรณไว พัธโนทัย
ขงเบ้งตอบว่า ที่กังตั๋งมีพี่น้องสองสาวผู้พี่ชื่อ ไต้เกี้ยว ผู้น้องชื่อ เสียวเกี้ยว เป็นบุตรีของ เกี้ยวกง พี่น้องสองสาวนี้งามจนกระทั่งห่านป่าได้เห็นก็เต้นเร่า ปลาในน้ำได้เห็นก็หลงชมจนจมน้ำตาย เมื่อแสงจันทร์ต้องหน้าเธอแม้ดอกไม้ก็ได้อาย
โจโฉถึงกับตั้งสัตย์ปฏิญาณว่า ความปรารถนาข้อแรกของเขาคือ พิชิตดินแดนภายในทะเลทั้งสี่ให้ได้ แล้วจัดตั้งมหาอาณาจักรขึ้น
ข้อที่สอง คือต้องเอาสองสาวไต้เกี้ยวและเสียวเกี้ยวในกังตั๋ง มาไว้เป็นนางบำเรอในปราสามนกยูงทองแดงให้จงได้ เพื่อความสุขสำราญในบั้นปลายของชีวิต
โจโฉพูดว่าถ้าสำเร็จประสงค์ทั้งสองประการนี้แล้ว ถึงจะตายก็ไม่เสียดายเลย
การที่โจโฉทุ่มกำลังตั้งร้อยหมื่น ลงมาตีเมืองใต้นี้ก็หวังจะได้สองสาวนี้ไปเท่านั้นเอง ไฉนท่านจึงไม่ไปหาเกี้ยวกง เอาทองพันตำลึงไปซื้อลูกสาวสองคนนั้นส่งไปให้โจโฉ เมื่อโจโฉได้นางงามทั้งสองไปแล้ว ก็ย่อมสมใจทุกประการ คงจะต้องยกทัพกลับไปเป็นแน่
จิวยี่ถามว่า ซึ่งท่านว่าโจโฉต้องการสองสาว ไต้เกี้ยวและเสียวเกี้ยวนั้น ท่านเอาที่ไหนมาพูด
ขงเบ้งตอบว่า โจสิดลูกชายคนเล็กของโจโฉ ซึ่งมีสมญานามว่า จื่อเจี้ยน เป็น กวีเอก ได้แต่งคำประพันธ์ตามบัญชาของพ่อ ให้ชื่อว่า บทสดุดีปราสาทนกยูงทองแดง ซึ่งในคำประพันธ์นี้แสดงชัดว่า โจโฉต้องการเป็นฮ่องเต้ และสาบานว่าจะต้องเอาสองสาวไต้เกี้ยวและ เสียวเกี้ยว มาไว้เป็นนางบำเรอให้จงได้
จิวยี่ถามว่า ท่านยังพอจำคำประพันธ์นั้นได้หรือไม่
ขงเบ้งตอบว่า ข้าพเจ้าชอบคำร้อยกรองอันไพเราะเพราะพริ้ง ของคำประพันธ์นั้นมาก จึงอุตส่าห์จำไว้ขึ้นใจทีเดียว
จิวยี่จึงว่า ถ้าเช่นนั้นขอท่านกรุณาว่าให้ข้าพเจ้าฟังหน่อยเถิด
ขงเบ้งจึงร่ายคำประพันธ์ ดังต่อไปนี้
ขอให้กูเป็นใหญ่ในโลกนี้
ได้นั่งที่ปราสาทหาดเจียงโห
ได้เห็นผังวังกว้างขวางจริงโอ
ได้เห็นเมืองใหญ่โตมโหฬาร
กูจะสร้างประตูชัยไว้บนผา
กูจะสร้างหอฟ้ามหาศาล
สร้างสวรรค์บนดินถิ่นสำราญ
ให้งามตาทุกด้านทุกสิ่งอัน
ณ ริมฝั่งเจียงโหโอ่อ่าเหลือ
สวนลูกไม้แลอเคื้อเกื้อสุขสรรพ์
ซึ่งหอสูงซ้ายขวาน่าอัศจรรย์
สองนามนั้นมังกรหยกกับหงส์ทอง
กูจะไว้ยอดหญิงแห่งกังตั๋ง
เจ้างามดั่งหยาดฟ้ามาทั้งสอง
ทั้งไต้เกี้ยวเสียวเกี้ยวเหนี่ยวใจปอง
จะประคองเคียงข้างทุกวันคืน
จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็ว่า ขงเบ้งไม่รู้หรือว่า นางไต้เกี้ยวผู้พี่นั้นเป็นภรรยาซุน
เซ็ก พี่ชายของซุนกวนที่เสียชีวิตไปแล้ว และนางเสียวเกี้ยวผู้น้องก็เป็นภรรยาจิวยี่เอง
ขงเบ้งก็ทำเป็นตกใจ รีบคำนับแล้วว่าตนไม่รู้เลย ซึ่งว่ากล่าวทั้งนี้ผิดหนักหนา ขอให้ยกโทษด้วยเถิด แท้จริงขงเบ้งรู้อยู่เต็มอกแล้ว แต่แกล้งนำมาพูดเพื่อให้จิวยี่โกรธ และมีความแค้นพอที่จะทำสงครามกับโจโฉ ซึ่งก็ได้ผลเพราะจิวยี่ประกาศว่า อ้ายโจโฉศัตรูเฒ่าคนนี้ ตนจะไม่ขอเหยียบแผ่นดินร่วมเลย ไม่ใครก็ใครต้องตายกันไปข้างหนึ่ง
แต่คำพูดของขงเบ้งนั้นก็มิได้ยกมากล่าวหลอกลวง โดยไม่เป็นความจริง เพราะเมื่อโจโฉจัดทัพเรือเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลงไปตรวจดูเห็นว่าไม่มีสิ่งใดบกพร่อง ก็ให้จัดโต๊ะเลี้ยงดูนายทหารทั้งหมดประมาณสามร้อยเศษ ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืนเดือนหงาย โจโฉมีความสบายใจจึงเสพสุราจนถึงสองยาม มีอาการมึนเมา ลุกขึ้นกล่าวให้โอวาท แล้วก็เลยระบายความในใจ ตามฉบับหลวงท่านว่า
…….แม้ได้เมืองกังตั๋งก็จะมีความยินดีอยู่หน่อยหนึ่ง ด้วยแต่ก่อนนั้นเรารู้จักกับนางเกียวก๊กโล แลนางเกียวก๊กโลมีบุตรหญิงสองคน รูปร่างงามกว่าหญิงทั้งปวง เราคิดพอใจอยู่ แต่ว่าเผอิญให้พลัดไปเป็นภรรยาซุนเซ็กคนหนึ่ง เป็นภรรยาจิวยี่คนหนึ่ง เมื่อเราไปรบได้เมืองกิจิ๋วนั้น เราให้สร้างเมืองใหม่ทำปราสาทไว้ริมแม่น้ำเจียงโห ครั้งนี้ถ้าเราได้เมืองกังตั๋ง เราจะพาหญิงสองคนนี้ไปอยู่ ณ ปราสาทเมืองกิจิ๋ว จะได้ปรนนิบัติเราให้เป็นที่ชอบใจ กว่าจะสิ้นชีวิต……..
ในที่สุดซุนกวนก็ตัดสินใจรบกับโจโฉ และด้วยความสามารถของจิวยี่ แม่ทัพใหญ่ ของกังตั๋ง กับขงเบ้งเสนาธิการจอมวางแผนของเล่าปี่ ก็สามารถเอาชนะกองทัพร้อยหมื่นของโจโฉได้อย่างเด็ดขาด ตัวโจโฉเองกระเซอะกระเซิงหนีตาย ไปกับลิ่วล้อที่เหลืออยู่เพียงไม่ถึงสามสิบคน ด้วยอิทธิพลจากชื่อของนางแซ่เกียวทั้งสองพี่น้อง ที่ไม่รู้ว่าเป็นบุตรีของ เกี้ยวกง ซึ่งเป็นบิดาหรือ นางเกียวก๊กโล ซึ่งเป็นมารดากันแน่
และโดยที่เจ้าตัวไม่ได้ออกมาแสดงบทบาท ในเรื่องสามก๊กทุกสำนวน แต่ประการใดเลย.
#########
บันทึกจากสามก๊ก ๑๓ พ.ย.๕๘
สองนางในยุทธนาวี
“ เทพารักษ์ “
ท่านผู้อ่านวรรณคดีไทยจากพงศาวดารจีนเรื่องสามก๊ก คงไม่มีผู้ใดไม่รู้จักตอน โจโฉแตกทัพเรือเป็นแน่ เพราะเป็นหนังสือเรียนในชั้นมัธยมศึกษาอยู่หลายสิบปี แล้วยุทธนาวีที่มีชื่อเสียงโด่งดังในครั้งกระนั้น มีสตรีมาเกี่ยวข้องด้วยหรือ ท่านอาจจะถาม แน่ละถ้าไม่มีสตรีสองพี่น้องที่จะกล่าวถึงนี้มาเป็นต้นเหตุ ก็คงจะไม่เกิดสงครามครั้งนั้นขึ้นเป็นแน่ นางคือใคร มีชื่อแซ่ว่ากระไร ฉบับของท่านเจ้าพระยาพระคลัง (หน) เขียนไว้ ดังนี้
ขงเบ้งเห็นจิวยี่กับโลซกทุ่มเถียงกันมิได้ตกลง ก็นั่งยิ้มฟังอยู่ จิวยี่จึงว่าท่านหัวเราะข้าพเจ้าหรือ
ขงเบ้งจึงว่า ซึ่งข้าพเจ้าหัวเราะทั้งนี้มิได้เยาะท่าน กลั้นยิ้มโลซกมิได้ เพราะมิได้รู้จักลักษณะผิดแลชอบ มีแต่ปากก็เถียงท่าน
โลซกจึงว่า เหตุไฉนท่านจึงหัวเราะเยาะเรา ว่ามิได้รู้จักลักษณะสิ่งใด
ขงเบ้งจึงว่า อันจิวยี่ว่ากล่าวซึ่งจะไปนบนอบโจโฉนั้น เราเห็นด้วย
โลซกจึงว่า เหตุใดท่านจึงมาเจรจาดังนี้เล่า
ขงเบ้งจึงว่า อันโจโฉนั้นมีปัญญาความคิดสุขุมนัก รู้จัดแจงทหารในการสงครามก็ชำนาญกว่าคนทั้งปวง แลอ้วนเสี้ยว อ้วนสุดนั้น มิได้รู้จักกำลังสงครามว่าหนักแลเบา องอาจถือว่าตัวดีต่อสู้ โจโฉ ก็ถึงแก่อันตราย เล่าปี่นายเรานั้นก็ถือทิฐิมานะขืนต่อสู้โจโฉ ก็ได้ความเดือดร้อนจนพลัดมาอยู่เมืองกังแฮ อันจิวยี่เป็นคนมีความคิด จะผ่อนผันให้ไปคำนับโจโฉ ประสงค์จะรักษาบุตรภรรยา แลอาณาประชาราษฎรให้เป็นสุขนั้นเห็นควรอยู่
โลซกก็โกรธจึงว่า ท่านว่าทั้งนี้เหมือนจูงมือเราไปให้คุกเข่าคำนับโจโฉ อ้ายศัตรูแผ่นดิน ควรแล้วหรือ
ขงเบ้งจึงว่า ท่านอย่าโกรธเราเลย ซึ่งจะไปคำนับโจโฉนั้นเรามิให้ลำบาก จำเพาะแต่ตัวต้องข้ามน้ำข้ามทะเลไปเจียวหรือ ถึงตัวท่านมิไปก็ได้เหมือนกัน ด้วยอุบายอันหนึ่งของเรา จะให้เอาแต่คนสองคนลงเรือลำหนึ่งข้ามไปหาโจโฉ โจโฉก็จะพาทหารร้อยหมื่นเลิกทัพกลับไปดอก
จิวยี่จึงถามว่า ซึ่งท่านจะให้แต่คนสองคนข้ามไป ก็อาจสามารถจะให้โจโฉเลิกทัพไปนั้นฉันใด จงว่าให้แจ้งก่อน
ขงเบ้งจึงบอกว่า เมื่อเรายังอยู่เขาโงลังกั๋งนั้น แจ้งว่าโจโฉได้ทำปราสาทไว้แห่งหนึ่งอยู่ริมแม่น้ำเจียงโหเป็นที่สบาย แล้วจัดเอาผู้หญิงที่รูปงามมาไว้เป็นอันมาก ด้วยมีน้ำใจกำเริบในมาตุคามอยู่
ความตอนนี้ท่าน ยาขอบ วนิพกผู้ยิ่งใหญ่ในการเล่าเรื่องสามก๊ก ได้พรรณาไว้ในชุด จิวยี่ ผู้ถ่มน้ำลายรดฟ้า ไว้อย่างนุ่มนวลชวนให้เคลิ้มตามว่า
อันว่าปราสาทประกาศบุญนั้น ตระการพิศดารฉันใดหรือ จึงเกริกก้องบันลือไปถึงโงลังกั๋งแดนวิเวก ก็เพราะการก่อสร้างนั้นกระทำด้วยวิธีการ ซึ่งมหาราชที่เรืองตบะเดชะบาง พระองค์เท่านั้นดอก ที่ได้เคยทรงกระทำ………
ใหญ่หลวงกว้างขวางในรูปุระตระหง่านสามหลัง แต่มีสะพานยาวเฟื้อย เชื่อมสัมพันธ์ให้หอทั้งสามนั้นเป็นหลังเดียวกัน และโดยหมายใจจะให้ปรากฎไปว่า ยากที่ใครใดจะอาจทำขึ้นมาแข่งบุญได้เสมอเหมือนอีก…..
โจโฉคนน้ำใจกำเริบเสิบสาน มีปรารถนาความเป็นกษัตริย์ซ่อนอยู่ในหัวใจลึก ก็ให้ประดิษฐ์รูปหงส์กับมังกร อันเป็นเครื่องสูงสำหรับเฉพาะบุคคลในวรรณะกษัตริย์พึงใช้ขึ้นไว้ ปราสาททั้งหมดได้ชื่อตามหลังกลาง ซึ่งโจโฉขนานนามว่า “ ปราสาทนก(ยูง)สัมฤทธิ์ อีกสองข้างคือมังกรหยก กับหงส์ทอง ตามลักษณะนามสัตว์สำคัญ ที่ประดิษฐานอยู่เหนือยอดนั้น…….
ดังนั้นโดยบัญชาของดยุกแห่งเว่ย์ นางงามตามแขวงเมืองต่าง ๆ ก็ถูกกว้านพามาสู่ปราสาทนี้มีจำนวนมากหลาย แต่ความงามของบรรดาอิสตรีที่ถูกนำมาปรนเปรอบำเรอกามอยู่ในปราสาทนั้น ก็มิได้ทำให้หัวใจของศัตรูแผ่นดินผู้นั้นสงบ กลับดิ้นรนกระวนกระวายเพราะไฟแห่งราคะ ยิ่งถูกพัดกระพือให้แก่กล้าอยู่เป็นนิตย์ ก็ใฝ่ฝันคร่ำครวญอยุ๋แต่ว่า ทำไฉนจึงจักได้ผู้หญิงซึ่งมีเสียงโจษจันกันว่า เป็นยอดงามของบรรดาหญิงในภาคอาคเนย์อีกสองคน เข้ามาเชยชมให้สมปรารถนาตัว และกุลสตรีทั้งสองนั้นก็ได้ข่าวว่า เป็นชาวกังตั๋งนี่เอง…….
ต่อจากนี้เป็นเนื้อความใน สามก๊กคลาสสิค ของ วิวัฒน์ ประชาเรืองวิทย์
จิวยี่กล่าวว่า จะใช้สองคนนั้นเป็นผู้ใดกันจึงจะถอยทัพโจโฉได้
ขงเบ้งกล่าวว่า แคว้นกังตั๋งให้สองคนนี้ไป ประดุจต้นไม้ใหญ่ที่ใบร่วงล่องลอยไปเพียงใบเดียว หรืออุปมาดั่งยุ้งข้าวที่ลดน้อยไปเพียงเมล็ดเดียว และโจโฉแม้นได้ไป ก็คงต้องปิติยินดีแล้วรีบถอยทัพกลับไป
จิวยี่ก็ถามอีกว่า จริงดังว่าหรือ ที่จะใช้สองคนนั้น เป็นผู้ใดกัน
คราวนี้เป็นเนื้อความใน สามก๊กฉบับแปลใหม่ ของ วรรณไว พัธโนทัย
ขงเบ้งตอบว่า ที่กังตั๋งมีพี่น้องสองสาวผู้พี่ชื่อ ไต้เกี้ยว ผู้น้องชื่อ เสียวเกี้ยว เป็นบุตรีของ เกี้ยวกง พี่น้องสองสาวนี้งามจนกระทั่งห่านป่าได้เห็นก็เต้นเร่า ปลาในน้ำได้เห็นก็หลงชมจนจมน้ำตาย เมื่อแสงจันทร์ต้องหน้าเธอแม้ดอกไม้ก็ได้อาย
โจโฉถึงกับตั้งสัตย์ปฏิญาณว่า ความปรารถนาข้อแรกของเขาคือ พิชิตดินแดนภายในทะเลทั้งสี่ให้ได้ แล้วจัดตั้งมหาอาณาจักรขึ้น
ข้อที่สอง คือต้องเอาสองสาวไต้เกี้ยวและเสียวเกี้ยวในกังตั๋ง มาไว้เป็นนางบำเรอในปราสามนกยูงทองแดงให้จงได้ เพื่อความสุขสำราญในบั้นปลายของชีวิต
โจโฉพูดว่าถ้าสำเร็จประสงค์ทั้งสองประการนี้แล้ว ถึงจะตายก็ไม่เสียดายเลย
การที่โจโฉทุ่มกำลังตั้งร้อยหมื่น ลงมาตีเมืองใต้นี้ก็หวังจะได้สองสาวนี้ไปเท่านั้นเอง ไฉนท่านจึงไม่ไปหาเกี้ยวกง เอาทองพันตำลึงไปซื้อลูกสาวสองคนนั้นส่งไปให้โจโฉ เมื่อโจโฉได้นางงามทั้งสองไปแล้ว ก็ย่อมสมใจทุกประการ คงจะต้องยกทัพกลับไปเป็นแน่
จิวยี่ถามว่า ซึ่งท่านว่าโจโฉต้องการสองสาว ไต้เกี้ยวและเสียวเกี้ยวนั้น ท่านเอาที่ไหนมาพูด
ขงเบ้งตอบว่า โจสิดลูกชายคนเล็กของโจโฉ ซึ่งมีสมญานามว่า จื่อเจี้ยน เป็น กวีเอก ได้แต่งคำประพันธ์ตามบัญชาของพ่อ ให้ชื่อว่า บทสดุดีปราสาทนกยูงทองแดง ซึ่งในคำประพันธ์นี้แสดงชัดว่า โจโฉต้องการเป็นฮ่องเต้ และสาบานว่าจะต้องเอาสองสาวไต้เกี้ยวและ เสียวเกี้ยว มาไว้เป็นนางบำเรอให้จงได้
จิวยี่ถามว่า ท่านยังพอจำคำประพันธ์นั้นได้หรือไม่
ขงเบ้งตอบว่า ข้าพเจ้าชอบคำร้อยกรองอันไพเราะเพราะพริ้ง ของคำประพันธ์นั้นมาก จึงอุตส่าห์จำไว้ขึ้นใจทีเดียว
จิวยี่จึงว่า ถ้าเช่นนั้นขอท่านกรุณาว่าให้ข้าพเจ้าฟังหน่อยเถิด
ขงเบ้งจึงร่ายคำประพันธ์ ดังต่อไปนี้
ขอให้กูเป็นใหญ่ในโลกนี้
ได้นั่งที่ปราสาทหาดเจียงโห
ได้เห็นผังวังกว้างขวางจริงโอ
ได้เห็นเมืองใหญ่โตมโหฬาร
กูจะสร้างประตูชัยไว้บนผา
กูจะสร้างหอฟ้ามหาศาล
สร้างสวรรค์บนดินถิ่นสำราญ
ให้งามตาทุกด้านทุกสิ่งอัน
ณ ริมฝั่งเจียงโหโอ่อ่าเหลือ
สวนลูกไม้แลอเคื้อเกื้อสุขสรรพ์
ซึ่งหอสูงซ้ายขวาน่าอัศจรรย์
สองนามนั้นมังกรหยกกับหงส์ทอง
กูจะไว้ยอดหญิงแห่งกังตั๋ง
เจ้างามดั่งหยาดฟ้ามาทั้งสอง
ทั้งไต้เกี้ยวเสียวเกี้ยวเหนี่ยวใจปอง
จะประคองเคียงข้างทุกวันคืน
จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็ว่า ขงเบ้งไม่รู้หรือว่า นางไต้เกี้ยวผู้พี่นั้นเป็นภรรยาซุน
เซ็ก พี่ชายของซุนกวนที่เสียชีวิตไปแล้ว และนางเสียวเกี้ยวผู้น้องก็เป็นภรรยาจิวยี่เอง
ขงเบ้งก็ทำเป็นตกใจ รีบคำนับแล้วว่าตนไม่รู้เลย ซึ่งว่ากล่าวทั้งนี้ผิดหนักหนา ขอให้ยกโทษด้วยเถิด แท้จริงขงเบ้งรู้อยู่เต็มอกแล้ว แต่แกล้งนำมาพูดเพื่อให้จิวยี่โกรธ และมีความแค้นพอที่จะทำสงครามกับโจโฉ ซึ่งก็ได้ผลเพราะจิวยี่ประกาศว่า อ้ายโจโฉศัตรูเฒ่าคนนี้ ตนจะไม่ขอเหยียบแผ่นดินร่วมเลย ไม่ใครก็ใครต้องตายกันไปข้างหนึ่ง
แต่คำพูดของขงเบ้งนั้นก็มิได้ยกมากล่าวหลอกลวง โดยไม่เป็นความจริง เพราะเมื่อโจโฉจัดทัพเรือเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลงไปตรวจดูเห็นว่าไม่มีสิ่งใดบกพร่อง ก็ให้จัดโต๊ะเลี้ยงดูนายทหารทั้งหมดประมาณสามร้อยเศษ ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืนเดือนหงาย โจโฉมีความสบายใจจึงเสพสุราจนถึงสองยาม มีอาการมึนเมา ลุกขึ้นกล่าวให้โอวาท แล้วก็เลยระบายความในใจ ตามฉบับหลวงท่านว่า
…….แม้ได้เมืองกังตั๋งก็จะมีความยินดีอยู่หน่อยหนึ่ง ด้วยแต่ก่อนนั้นเรารู้จักกับนางเกียวก๊กโล แลนางเกียวก๊กโลมีบุตรหญิงสองคน รูปร่างงามกว่าหญิงทั้งปวง เราคิดพอใจอยู่ แต่ว่าเผอิญให้พลัดไปเป็นภรรยาซุนเซ็กคนหนึ่ง เป็นภรรยาจิวยี่คนหนึ่ง เมื่อเราไปรบได้เมืองกิจิ๋วนั้น เราให้สร้างเมืองใหม่ทำปราสาทไว้ริมแม่น้ำเจียงโห ครั้งนี้ถ้าเราได้เมืองกังตั๋ง เราจะพาหญิงสองคนนี้ไปอยู่ ณ ปราสาทเมืองกิจิ๋ว จะได้ปรนนิบัติเราให้เป็นที่ชอบใจ กว่าจะสิ้นชีวิต……..
ในที่สุดซุนกวนก็ตัดสินใจรบกับโจโฉ และด้วยความสามารถของจิวยี่ แม่ทัพใหญ่ ของกังตั๋ง กับขงเบ้งเสนาธิการจอมวางแผนของเล่าปี่ ก็สามารถเอาชนะกองทัพร้อยหมื่นของโจโฉได้อย่างเด็ดขาด ตัวโจโฉเองกระเซอะกระเซิงหนีตาย ไปกับลิ่วล้อที่เหลืออยู่เพียงไม่ถึงสามสิบคน ด้วยอิทธิพลจากชื่อของนางแซ่เกียวทั้งสองพี่น้อง ที่ไม่รู้ว่าเป็นบุตรีของ เกี้ยวกง ซึ่งเป็นบิดาหรือ นางเกียวก๊กโล ซึ่งเป็นมารดากันแน่
และโดยที่เจ้าตัวไม่ได้ออกมาแสดงบทบาท ในเรื่องสามก๊กทุกสำนวน แต่ประการใดเลย.
#########