ตอนที่ 1 เริ่มต้นจากศูนย์
ใช่ครับ ผมเชื่อว่าคนเรามีจุดเริ่มต้นจากศูนย์กันทุกคน ผมเองก็เช่นกัน เริ่มรับราชการครูปี 2552 (บรรจุเป็นข้าราชการ) ผู้อำนวยการโรงเรียนสั่งให้ทำเว็บไซต์โรงเรียนจากคำสัมภาษณ์ตอนสอบบรรจุ แล้วได้ยินคำพูดของผมที่ว่า “ผมเป็นคนชอบเล่นอินเตอร์เน็ตครับ” ตอนนั้นผมทำเว็บไม่เป็นหรอกครับ แต่ผมโชคดีที่เว็บมาสเตอร์คนเก่าเขาย้ายไปพอดี (โชคดีหรอนี่) ผมจึงจำใจรับปากว่าผมจะทำต่อแบบงงๆ ผมใช้เวลาหลายเดือนเพื่อหาคนช่วยครับ ตอนนั้นมันมืดมนไปหมด ผมอีเมลไปหาเพื่อนที่จบวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่รู้จักกัน (ผมจบวิทย์ คณิตมาครับ) แต่ก็ได้คำตอบแค่ลอยๆว่า มีไฟล์ข้อมูล และฐานข้อมูล (database) เอามาเชื่อมกันแล้วก็ออกมาเป็นเว็บ ผมก็ได้แต่มืนงงกับคำตอบนั้นว่า ไฟล์ข้อมูลคืออะไร แล้วฐานข้อมูลอีกมันคืออะไรว่ะ ผมทำได้แค่ word มันจะช่วยอะไรได้ไหมเนี่ย T_T
จนในที่สุดผมก็เลิกรอคำตอบจากอีเมลอีกหลายๆคน ผมเริ่มหันหน้าเข้าจอคอมพิวเตอร์ที่ผมเคยชอบเล่นอินเตอร์เน็ต เปิด google เพื่อค้นหาด้วยคำค้นที่ว่า “เริ่มทำเว็บไซต์ด้วยตนเอง” ผมลองอ่านไปเรื่อยๆ ช่วงนี้ผมทำงานกลางคืนด้วยครับ ใช้อินเตอร์เน็ตของโรงเรียนผมศึกษาข้อมูลการทำเว็บไซต์อยู่เป็นเดือนครับ กว่าจะปะติดปะต่อและเริ่มลงมือทำด้วยตนเอง อันแรกสุดผมเริ่มจาก phpnuke โดยศึกษาจากเว็บไซต์ Thainuke.org ตอนนี้ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว ผมเรียนรู้การทำเว็บ การเชื่อมต่อเว็บเข้ากับฐานข้อมูล ที่สำคัญผมสามารถเชื่อมมันได้สำเร็จ โดยแก้ไขในไฟล์ config คนที่เก่งแล้วอาจดูว่ามันง่ายทำแค่ 2-3 นาทีก็เสร็จ แต่สำหรับคนที่ไม่เคยทำมาก่อนเลย มันอาจต้องใช้เวลาเป็นวันๆเลยก็ได้ เมื่อเว็บไซต์ของผมแสดงออกมาหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้มันเป็นอะไรที่ดีใจสุดๆไปเลยครับ ต่อมาผมก็เริ่มศึกษาจริงจังมากขึ้นจาก google มีคนสอน มีคนอบรมให้เป็นครูที่สุรินทร์ และมีคนแจก module ฟรีเยอะ แจกธีมฟรี ผมเอามาลองปรับใช้กับเว็บโรงเรียนของตนเอง จนครูที่โรงเรียนชมว่า “เก่งจัง ทำได้ไง” นี่คือจุดเริ่มต้นที่ดูตื่นเต้นสำหรับผมมากครับ
ตอนที่ 2 WordPress คือคำตอบสุดท้าย
ผมยอมรับว่าผมพยายามเรียนการเขียนโค้ดด้วยตนเองหลายครั้ง เช่น ภาษา html php asp และอื่นๆ แต่เป็นเพราะผมมีพื้นฐานด้านนี้อยู่น้อยทำให้เรียนรู้ไม่สำเร็จสักที ประยุกต์เหมือนเขาไม่ได้แล้วก็เลิกศึกษาไป ทุกวันนี้ยอมรับว่าเขียนโค้ดพวกนี้ไม่ได้ด้วยตนเองแต่อาศัยประสบการณ์พออ่านรู้เรื่องบ้างนิดหน่อยครับ โดยมากเมื่อเจอปัญหาก็หาทางแก้ทาง google ซะส่วนใหญ่
ผมเริ่มลอง Cms ตัวอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น drupal joomla opencart moodle maxsite ด้วยระยะเวลาและการฝึกฝน และระบบมีความคล้ายคลึงกัน ฐานข้อมูลก็ติดตั้งเหมือนๆกัน ทำให้ผมเรียนรู้ได้เร็วกว่าเดิมเยอะ ถึงแม้บางครั้งจะทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็ไม่ใช่ปัญหาครับ เพราะทักษะมันจะเกิดขึ้นทุกครั้งที่เราเริ่มศึกษาและลงมือทำจริงๆ cms ตัวสุดท้ายที่ผมได้ลองคือ WordPress ไม่รู้ทำไมผมถึงได้มาเจอตัวนี้เป็นตัวสุดท้าย และไม่แน่ใจว่าเริ่มต้นเห็นคำว่า WordPress ตอนไหน เอาเป็นว่าตอนแรกที่ติดตั้งก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเล็กพริกขี้หนูมากขนาดนี้ครับ ไฟล์ก็เล็กๆ ประมาณ 7 MB กว่าๆ แต่พอศึกษาไปเรื่อยๆ ถึงระบบการทำงาน และคนกล่าวถึงยิ่งศึกษาลึกยิ่งมีอะไรอยู่ลึกๆ อีกมากครับ คนที่ทำขายกันเป็นจริงๆจังก็มี จนทำให้ผมสรุปได้ว่าผมคงจะอยุดอยู่ที่ cms ตัวนี้แหละ ด้วยระบบที่เข้าใจง่ายมากๆ เสถียรสุดๆ สำหรับตอนนี้แล้วผมคิดว่าผมคลั่งไคล้เจ้า WordPress สุดๆ แล้วครับ
พอผมทำ WordPress ได้สักพัก ผมเริ่มประยุกต์หาธีมใหม่ๆ สวยๆ และไม่ฟรีมาใช้งาน เริ่มมีบล็อกของตนเอง เริ่มแนะนำเพื่อนครูที่โรงเรียนให้หันมาใช้ WordPress เพื่อเขียนบล็อกกัน จนกระทั่งผมเจอธีมจากนักเขียนบล็อกคนหนึ่งแนะนำ คือเว็บไซต์ wpzoom.com ธีมจากเว็บไซต์นี้ดูเหมือนจะมีอิทธิพลกับผมมาก ผมใช้มาจนถึงทุกวันนี้เว็บโรงเรียนหลายแห่งผมก็ใช้จากที่นี่ และบล็อกขายของผมก็เช่นกันครับใช้ธีมจากที่นี่ด้วย
ตอนที่ 3 เริ่มสนใจธุรกิจขายของออนไลน์
เมื่อผมทำเว็บและบล็อกจาก WordPress เป็นแล้ว เริ่มเขียนบทความ เช่าโฮสต์ เช่าโดเมน (ทักษะพวกนี้เรียนรู้จากอินเตอร์เน็ตฟรีครับ) ผมก็เริ่มอยากมีรายได้จากการขายของออนไลน์บ้างครับ จึงลองมองหาช่องทางดู ผมไปร้านหนังสือ Se-ed book เพื่อหาหนังสือขายของมาอ่านครับ เล่มแรกที่อ่านและเป็นจุดเริ่มต้นของผมคือ “Ex-IM ส่งออกนำเข้าออนไลน์ ฉบับเข้าใจง่าย” ผมสมัคร paypal จากคู่มือเล่มนี้เลยครับ แบบว่าเปิดหนังสือหน้าคอมทำตามไปเลย และแล้วผมก็ได้เจอเว็บขายสินค้าส่งที่เป็นรายใหญ่ที่สุดในโลกก็ว่าได้ คือเว็บไซต์ alibaba.com ผมรู้จักเว็บไซต์นี้จากหนังสือเล่มนี้เลยครับ ผมเริ่มค้นหาสินค้าที่อยากจะขาย ค้นไปค้นมา ก็เลยไปเจอ USB Kingston ซึ่งเป็นแฟลชไดร์ฟแบรนด์ที่ขายดีในประเทศไทย ผมจึงตัดสินใจติดต่อซื้อสินค้าไป ก็แน่นอนครับหนังสือไม่ได้บอกวิธีทุกอย่างกับเรา แต่ถ้าเราไม่ลองทำดูก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรบ้างใช่ไหมครับ ผมก็ทำใจดีสู้เสือและกล้าเสี่ยงทุกอย่าง พร้อมจะยอมรับผลของการกระทำครับ (หนังสือพัฒนาตนเองของพี่บอย วิสูตร แสงอรุณเลิศ บอกไว้อย่างนั้นครับ)
ตอนที่ 4 ซื้อสินค้ามาขายล็อตแรก
โชคเข้าข้างผมครับ ผมสั่งซื้อ USB Kingston มาขายได้สำเร็จ โอนเงินไปด้วยระบบ paypal ทั้งหมด 25000 บาท (ตอนหลังผมไม่ใช้ Paypal เพราะต้องเสียค่าธรรมเนียมเยอะ ใช้ Westurn Unionจากไปรษณีย์ไทยถูกกว่าครับ) ผมรอเขาส่งของมาถึงโรงเรียนของผมประมาณ 15 วัน ตอนนั้นผมทำเว็บที่มีตะกร้าสินค้าเรียบร้อย จึงคิดว่าจะเอาแฟลชไดร์ฟทั้งหมด สั่งมาประมาณ 10 กว่าแบบ ไปวางขายในเว็บของตนเอง แล้วจะมีคนมาสั่งกดสินค้าเข้าตะกร้าสินค้า โอนเงินมา แล้วผมก็จะส่งของไป ดูมันเรียบง่ายใช่ไหมครับ แน่นอนครับผมคิดอย่างนั้น แต่มันไม่เป็นอย่างนั้นสิครับ รอ 1 วันก็แล้ว 1 สัปดาห์ก็แล้ว 1 เดือนก็แล้ว ยังไม่มีคนสั่งสินค้าจากผมแม้แต่ชิ้นเดียว กำลังใจของผมดูเหมือนจะวูบดับไป ผมจึงคิดว่าคงต้องหาช่องทางอื่นในการขายบ้าง ผมจึงตั้ง page facebook ชื่อว่า “Flash Drive Kingston ราคาถูก” ผลปรากฏว่าเมื่อผมตัดสินใจลงโฆษณาไปมีคนสั่งสินค้าผมครับ ดีใจมากๆ หลังจากที่รอลูกค้ามาเป็นเดือน ผมมาวิเคราะห์ภายหลังว่าเว็บที่ผมทำขึ้นอาจเป็นเพราะว่า seo ยังไม่ดีพอ ผลการค้นหาใน google จึงไม่เจอเลย เพราะเป็นเว็บเปิดใหม่ ต้องทำใจไว้ก่อนว่าการทำเว็บตอนเริ่มต้นมันต้องเป็นแบบนี้กันทุกคนอยู่แล้วครับ
ดูเหมือนจะไปได้สวย เพราะมีคนสั่งของมาเยอะครับ ผมแพ็กของส่งไปแทบไม่ทัน สุดท้ายลองเดาดูสิครับว่าเกิดอะไรขึ้น ของทุกชิ้นเป็นของปลอมครับ USB Kingston ที่ผมนำมาขายเป็นของปลอมจากจีนจริงๆ ต้นทุนไม่ถึง 100 บาท แต่ราคาในตลาดบ้านเราราคาเกือบ 300 แค่นี้ก็พอจะนึกภาพออกใช่ไหมครับ ทำไมตอนสั่งของผมไม่เอะใจสักนิด เพราะผมคิดแต่เรื่องกำไรที่จะได้ครับ มันเป็นอะไรที่ตัดสินใจผิด แต่ก็อย่างที่บอกว่าผมยอมรับกับผลของการกระทำอยู่แล้ว และมันก็ต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบด้วย ผมรับของคืนจากลูกค้ามาทั้งหมด เพราะ format ไม่ได้บ้าง เสียบเครื่องเสียงไม่ได้บ้าง ช้าบ้าง สารพัดสารเพปัญหา ผมตัดสินใจคืนเงินให้ลูกค้าทั้งหมด และหยุดการโฆษณา facebook ทันที ตอนนั้นได้แต่นั่งมอง USB Kingston ปลอมๆที่กองอยู่ตรงหน้า มืดมนไปหมด และคิดว่าคงต้องเลิกราไป ไม่เอาอีกแล้ว ถึงแม้ว่าผมจะอีเมลไปต่อว่าโรงงาน สุดท้ายเขาก็ปิดเว็บหนีไป นี่แหละครับ มันโชคดีแบบสุดๆเลยสำหรับสินค้าล็อตแรก (ประชดครับ)
ตอนที่ 5 กลับมาอีกครั้ง
หลายเดือนต่อมา ผมยังไม่ยอมเข็ดครับ ผมเข้าเว็บ alibaba.com อีกครั้งแล้วติดต่อซัพพลายเออร์ไปอีกประมาณสิบกว่าเจ้า เลือกดูว่าคนไหนให้ราคาอย่างไร คนไหนกล้ารับประกันสินค้า กล้าเปลี่ยนคืน อายุในเว็บ และประวัติของบริษัท แม้ว่าทักษะภาษาอังกฤษของผมจะอยู่แค่พองูๆ ปลาๆ ฝรั่งมาวิ่งหนี แต่ผมก็หัดใช้ google translate จนคล่อง ตอนขอใบเสนอราคา ผมจะเขียนเป็นภาษาไทยก่อนแล้วค่อยไปวางใน google translate แล้วก็อปปี้ไปวางเพื่อส่งไปขอใบเสนอราคาอีกที พอตอนเขาตอบกลับมาสิครับถ้าเป็น chat ธรรมดาก็พอได้ เพราะอยู่หน้าจอก็ใช้ google translate ช่วย แต่พอตอนเขาโทรมานี่สิครับ เหงื่อแตกเพราะฟังไม่ออก ฝรั่งสำเนียงอังกฤษว่ายาก จีนสำเนียงอังกฤษยากกว่าครับ ผมก็เลยตัดสินใจตอบแบบชัดถ้อยชัดคำไปว่า “Please email to me” แค่นั้นแหละครับ จบ เพราะถ้าเขาอีเมลมาเราก็แค่ใช้ google translate ช่วยก็จบครับ
สำหรับเจ้าที่สองที่ผมสั่งสินค้า โดยเลือกอย่างดีแล้ว ผมมั่นใจมากขึ้นว่าต้องเป็นของแท้แน่ๆ มันก็เป็นจริงตามนั้นครับ ผมไม่ซวยซ้ำซ้อนขนาดนั้นหรอกครับ แต่ราคาก็สูงพอๆ กับตลาดบ้านเรา ทำให้ผมเกิดปัญหาต่อมาคือ ขายของยาก เพราะเราไม่มีใบรับประกันให้คนซื้อ ถ้าราคาพอกัน ลูกค้าก็ต้องเลือกซื้อจากห้างร้านไอทีจะดีกว่ามาซื้อจากร้านโนเนมอย่างผม ส่วนแบรนด์ Kingston ในตลาดก็มีขายกันเยอะแยะเต็มไปหมด ถ้าราคาของเราสู้เขาไม่ได้ เราก็ตายเหมือนกันครับ อันนี้ก็เป็นประสบการณ์อีกอย่างหนึ่งเพราะของๆ เราไม่ได้แตกต่างจากตลาดเลยครับ ผมตัดสินใจขายแบบเท่าทุนบ้าง ขาดทุนบ้าง ลงทุนไปขายตามตลาดนัดเปิดท้ายบ้าง จนสินค้าหมดไปครับสำหรับล็อตนี้ แต่ไม่มีเคลมเลย เพราะเป็นสินค้าแท้ทุกตัว
ตอนที่ 6 โชคเริ่มเข้าข้าง
โชคเหมือนจะเข้าข้างผมอยู่บ้างนะครับ จากที่ผมขอใบเสนอราคาไปหลายเจ้า มีอยู่เจ้าหนึ่งที่เสนอขายแฟลชไดร์ฟแบบพรีเมี่ยมสำหรับผม คำว่าพรีเมี่ยมคือ แฟลชไดร์ฟสร้างขึ้นใหม่ ใส่โลโก้บริษัทได้ ใส่ไฟล์ของเราได้ และมีแพกเกจให้เลือกมากมาย ผมจึงเริ่มมองธุรกิจออกว่าถ้าเราลองโพสต์ข้อมูลในเว็บ ใส่ภาพสวยๆ แพกเกจ และรายละเอียดการรับประกันให้ครบ เมื่อมีคนสั่งมาเราค่อยไปสั่งที่ซัพพลายเออร์อีกทีก็ได้เพราะเราจะขายเป็นล็อตใหญ่ๆ อย่างน้อยก็ 100 up เมื่อคิดได้เช่นนั้นไม่รอช้าครับ ผมเริ่มงานทันทีโดยค้นหาเว็บที่ขายของลักษณะเดียวกันในไทย ลองขอใบเสนอราคาแบบเดียวกับสินค้าที่ผมจะขาย ดูว่าเขาขายกันเท่าไหร่ พอจะสู้ไหวไหม ผลปรากฏว่าผมสู้ราคาพวกนั้นได้แน่นอนครับ เป็นเพราะอะไรนะหรอครับ ถ้าให้ผมคิดเหตุผล ก็คงเป็นเพราะว่า ผมทำงานคนเดียว ไม่ได้จ้างใคร ทุกอย่างผมทำเองหมดแบบใช้ต้นทุนต่ำมาก ไม่มีค่าออฟฟิต เพราะไม่มีหน้าร้าน ไม่มีค่าจดทะเบียนบริษัท ค่าพนักงานก็ไม่มี ทำให้ราคาที่ผมจะตั้งไว้สู้บริษัทใหญ่ได้แน่ๆ ครับ เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว ผมจึงเริ่มมองหาลูกค้ารายแรกที่จะมาสั่งของกับผม โดยผมโพสต์รูปภาพสินค้าที่ได้จากเว็บของซัพพลายเออร์ นำรายละเอียดมาแปลเป็นไทย และเขียนใหม่เป็นสำนวนง่ายๆ แม้ว่าจะสเปะสปะไปบ้างก็ไม่ใช่ปัญหาครับ มีรายละเอียดให้ครบก็พอ การรับประกันสินค้า ระยะเวลาการผลิต และรายละเอียดอื่นๆ แน่นอนครับการทำครั้งแรกเราอาจต้องใช้เวลาอยู่กับมันนานหน่อย ผมทำบนบล็อกของผมที่จดชื่อโดเมนเป็น flashdrivedd.com เช่าโฮสต์และโดเมนรายปีประมาณ 1000 กว่าบาท จาก Hostneverdie.com และผมอยากให้ลูกค้ามั่นใจในตัวผมมากกว่านั้น ผมศึกษาข้อมูลการไปจดทะเบียนอิเล็กทรอนิกส์ได้ความว่า ผมต้องไปจดทะเบียนอิเล็กทรอนิกส์ที่ อบต.ที่เป็นที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน ค่าจดทะเบียนก็ไม่กี่ร้อยบาทต่อปีครับ คุ้มกับความเชื่อใจของลูกค้าเราครับ แล้วนำมาแปะใส่ในเว็บของผม
และแล้วลูกค้ารายแรกก็มาครับ ผมทำออเดอร์ลูกค้ารายแรกสำเร็จ สินค้าใช้งานได้ดี ไม่เสียหาย ไม่เป็นของปลอมอีกแล้วครับ ผมทดสอบความเร็ว ทดสอบคุณภาพชิพเอง โดยศึกษาจากอินเตอร์เน็ต เป็นที่น่าพอใจ และที่สำคัญซัพพลายเออร์ของผมก็ตอบคำถามได้เร็วมาก ตอบทุกคำถามที่ผมถามไป เราใช้ App ที่เรียกว่า WhatsApp เพื่อติดต่อกันครับ ทุกวันนี้ก็ยังติดต่อกันอยู่เรื่อยๆ แม้ว่าผมจะแอบพยายามหาซัพพลายเออร์คนอื่นๆ มาทดแทน และเสนอราคาได้ถูกกว่าเยอะ แต่เขาก็มีข้อเสียอย่างหนึ่งคือ ตอบคำถามผมช้าครับ นี่คือประเด็นสำคัญที่ผมถือว่าสำคัญที่สุด และอาจจะเสี่ยงเป็นของปลอมอีกก็เป็นได้ ผมก็เลยตัดสินใจยังไม่เลือกซัพพลายเออร์คนอื่นมาทดแทนคนนี้ แม้ว่าจะลองเลือกแล้วกว่า 5 เจ้าก็ตามที
โปรดติดตามตอนต่อไปที่นี่ครับ ^_^
เรื่องเล่า เริ่มธุรกิจขายของออนไลน์จากประสบการณ์จริง (ตอนที่ 1 เริ่มต้นจากศูนย์)
ใช่ครับ ผมเชื่อว่าคนเรามีจุดเริ่มต้นจากศูนย์กันทุกคน ผมเองก็เช่นกัน เริ่มรับราชการครูปี 2552 (บรรจุเป็นข้าราชการ) ผู้อำนวยการโรงเรียนสั่งให้ทำเว็บไซต์โรงเรียนจากคำสัมภาษณ์ตอนสอบบรรจุ แล้วได้ยินคำพูดของผมที่ว่า “ผมเป็นคนชอบเล่นอินเตอร์เน็ตครับ” ตอนนั้นผมทำเว็บไม่เป็นหรอกครับ แต่ผมโชคดีที่เว็บมาสเตอร์คนเก่าเขาย้ายไปพอดี (โชคดีหรอนี่) ผมจึงจำใจรับปากว่าผมจะทำต่อแบบงงๆ ผมใช้เวลาหลายเดือนเพื่อหาคนช่วยครับ ตอนนั้นมันมืดมนไปหมด ผมอีเมลไปหาเพื่อนที่จบวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่รู้จักกัน (ผมจบวิทย์ คณิตมาครับ) แต่ก็ได้คำตอบแค่ลอยๆว่า มีไฟล์ข้อมูล และฐานข้อมูล (database) เอามาเชื่อมกันแล้วก็ออกมาเป็นเว็บ ผมก็ได้แต่มืนงงกับคำตอบนั้นว่า ไฟล์ข้อมูลคืออะไร แล้วฐานข้อมูลอีกมันคืออะไรว่ะ ผมทำได้แค่ word มันจะช่วยอะไรได้ไหมเนี่ย T_T
จนในที่สุดผมก็เลิกรอคำตอบจากอีเมลอีกหลายๆคน ผมเริ่มหันหน้าเข้าจอคอมพิวเตอร์ที่ผมเคยชอบเล่นอินเตอร์เน็ต เปิด google เพื่อค้นหาด้วยคำค้นที่ว่า “เริ่มทำเว็บไซต์ด้วยตนเอง” ผมลองอ่านไปเรื่อยๆ ช่วงนี้ผมทำงานกลางคืนด้วยครับ ใช้อินเตอร์เน็ตของโรงเรียนผมศึกษาข้อมูลการทำเว็บไซต์อยู่เป็นเดือนครับ กว่าจะปะติดปะต่อและเริ่มลงมือทำด้วยตนเอง อันแรกสุดผมเริ่มจาก phpnuke โดยศึกษาจากเว็บไซต์ Thainuke.org ตอนนี้ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว ผมเรียนรู้การทำเว็บ การเชื่อมต่อเว็บเข้ากับฐานข้อมูล ที่สำคัญผมสามารถเชื่อมมันได้สำเร็จ โดยแก้ไขในไฟล์ config คนที่เก่งแล้วอาจดูว่ามันง่ายทำแค่ 2-3 นาทีก็เสร็จ แต่สำหรับคนที่ไม่เคยทำมาก่อนเลย มันอาจต้องใช้เวลาเป็นวันๆเลยก็ได้ เมื่อเว็บไซต์ของผมแสดงออกมาหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้มันเป็นอะไรที่ดีใจสุดๆไปเลยครับ ต่อมาผมก็เริ่มศึกษาจริงจังมากขึ้นจาก google มีคนสอน มีคนอบรมให้เป็นครูที่สุรินทร์ และมีคนแจก module ฟรีเยอะ แจกธีมฟรี ผมเอามาลองปรับใช้กับเว็บโรงเรียนของตนเอง จนครูที่โรงเรียนชมว่า “เก่งจัง ทำได้ไง” นี่คือจุดเริ่มต้นที่ดูตื่นเต้นสำหรับผมมากครับ
ตอนที่ 2 WordPress คือคำตอบสุดท้าย
ผมยอมรับว่าผมพยายามเรียนการเขียนโค้ดด้วยตนเองหลายครั้ง เช่น ภาษา html php asp และอื่นๆ แต่เป็นเพราะผมมีพื้นฐานด้านนี้อยู่น้อยทำให้เรียนรู้ไม่สำเร็จสักที ประยุกต์เหมือนเขาไม่ได้แล้วก็เลิกศึกษาไป ทุกวันนี้ยอมรับว่าเขียนโค้ดพวกนี้ไม่ได้ด้วยตนเองแต่อาศัยประสบการณ์พออ่านรู้เรื่องบ้างนิดหน่อยครับ โดยมากเมื่อเจอปัญหาก็หาทางแก้ทาง google ซะส่วนใหญ่
ผมเริ่มลอง Cms ตัวอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น drupal joomla opencart moodle maxsite ด้วยระยะเวลาและการฝึกฝน และระบบมีความคล้ายคลึงกัน ฐานข้อมูลก็ติดตั้งเหมือนๆกัน ทำให้ผมเรียนรู้ได้เร็วกว่าเดิมเยอะ ถึงแม้บางครั้งจะทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็ไม่ใช่ปัญหาครับ เพราะทักษะมันจะเกิดขึ้นทุกครั้งที่เราเริ่มศึกษาและลงมือทำจริงๆ cms ตัวสุดท้ายที่ผมได้ลองคือ WordPress ไม่รู้ทำไมผมถึงได้มาเจอตัวนี้เป็นตัวสุดท้าย และไม่แน่ใจว่าเริ่มต้นเห็นคำว่า WordPress ตอนไหน เอาเป็นว่าตอนแรกที่ติดตั้งก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเล็กพริกขี้หนูมากขนาดนี้ครับ ไฟล์ก็เล็กๆ ประมาณ 7 MB กว่าๆ แต่พอศึกษาไปเรื่อยๆ ถึงระบบการทำงาน และคนกล่าวถึงยิ่งศึกษาลึกยิ่งมีอะไรอยู่ลึกๆ อีกมากครับ คนที่ทำขายกันเป็นจริงๆจังก็มี จนทำให้ผมสรุปได้ว่าผมคงจะอยุดอยู่ที่ cms ตัวนี้แหละ ด้วยระบบที่เข้าใจง่ายมากๆ เสถียรสุดๆ สำหรับตอนนี้แล้วผมคิดว่าผมคลั่งไคล้เจ้า WordPress สุดๆ แล้วครับ
พอผมทำ WordPress ได้สักพัก ผมเริ่มประยุกต์หาธีมใหม่ๆ สวยๆ และไม่ฟรีมาใช้งาน เริ่มมีบล็อกของตนเอง เริ่มแนะนำเพื่อนครูที่โรงเรียนให้หันมาใช้ WordPress เพื่อเขียนบล็อกกัน จนกระทั่งผมเจอธีมจากนักเขียนบล็อกคนหนึ่งแนะนำ คือเว็บไซต์ wpzoom.com ธีมจากเว็บไซต์นี้ดูเหมือนจะมีอิทธิพลกับผมมาก ผมใช้มาจนถึงทุกวันนี้เว็บโรงเรียนหลายแห่งผมก็ใช้จากที่นี่ และบล็อกขายของผมก็เช่นกันครับใช้ธีมจากที่นี่ด้วย
ตอนที่ 3 เริ่มสนใจธุรกิจขายของออนไลน์
เมื่อผมทำเว็บและบล็อกจาก WordPress เป็นแล้ว เริ่มเขียนบทความ เช่าโฮสต์ เช่าโดเมน (ทักษะพวกนี้เรียนรู้จากอินเตอร์เน็ตฟรีครับ) ผมก็เริ่มอยากมีรายได้จากการขายของออนไลน์บ้างครับ จึงลองมองหาช่องทางดู ผมไปร้านหนังสือ Se-ed book เพื่อหาหนังสือขายของมาอ่านครับ เล่มแรกที่อ่านและเป็นจุดเริ่มต้นของผมคือ “Ex-IM ส่งออกนำเข้าออนไลน์ ฉบับเข้าใจง่าย” ผมสมัคร paypal จากคู่มือเล่มนี้เลยครับ แบบว่าเปิดหนังสือหน้าคอมทำตามไปเลย และแล้วผมก็ได้เจอเว็บขายสินค้าส่งที่เป็นรายใหญ่ที่สุดในโลกก็ว่าได้ คือเว็บไซต์ alibaba.com ผมรู้จักเว็บไซต์นี้จากหนังสือเล่มนี้เลยครับ ผมเริ่มค้นหาสินค้าที่อยากจะขาย ค้นไปค้นมา ก็เลยไปเจอ USB Kingston ซึ่งเป็นแฟลชไดร์ฟแบรนด์ที่ขายดีในประเทศไทย ผมจึงตัดสินใจติดต่อซื้อสินค้าไป ก็แน่นอนครับหนังสือไม่ได้บอกวิธีทุกอย่างกับเรา แต่ถ้าเราไม่ลองทำดูก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรบ้างใช่ไหมครับ ผมก็ทำใจดีสู้เสือและกล้าเสี่ยงทุกอย่าง พร้อมจะยอมรับผลของการกระทำครับ (หนังสือพัฒนาตนเองของพี่บอย วิสูตร แสงอรุณเลิศ บอกไว้อย่างนั้นครับ)
ตอนที่ 4 ซื้อสินค้ามาขายล็อตแรก
โชคเข้าข้างผมครับ ผมสั่งซื้อ USB Kingston มาขายได้สำเร็จ โอนเงินไปด้วยระบบ paypal ทั้งหมด 25000 บาท (ตอนหลังผมไม่ใช้ Paypal เพราะต้องเสียค่าธรรมเนียมเยอะ ใช้ Westurn Unionจากไปรษณีย์ไทยถูกกว่าครับ) ผมรอเขาส่งของมาถึงโรงเรียนของผมประมาณ 15 วัน ตอนนั้นผมทำเว็บที่มีตะกร้าสินค้าเรียบร้อย จึงคิดว่าจะเอาแฟลชไดร์ฟทั้งหมด สั่งมาประมาณ 10 กว่าแบบ ไปวางขายในเว็บของตนเอง แล้วจะมีคนมาสั่งกดสินค้าเข้าตะกร้าสินค้า โอนเงินมา แล้วผมก็จะส่งของไป ดูมันเรียบง่ายใช่ไหมครับ แน่นอนครับผมคิดอย่างนั้น แต่มันไม่เป็นอย่างนั้นสิครับ รอ 1 วันก็แล้ว 1 สัปดาห์ก็แล้ว 1 เดือนก็แล้ว ยังไม่มีคนสั่งสินค้าจากผมแม้แต่ชิ้นเดียว กำลังใจของผมดูเหมือนจะวูบดับไป ผมจึงคิดว่าคงต้องหาช่องทางอื่นในการขายบ้าง ผมจึงตั้ง page facebook ชื่อว่า “Flash Drive Kingston ราคาถูก” ผลปรากฏว่าเมื่อผมตัดสินใจลงโฆษณาไปมีคนสั่งสินค้าผมครับ ดีใจมากๆ หลังจากที่รอลูกค้ามาเป็นเดือน ผมมาวิเคราะห์ภายหลังว่าเว็บที่ผมทำขึ้นอาจเป็นเพราะว่า seo ยังไม่ดีพอ ผลการค้นหาใน google จึงไม่เจอเลย เพราะเป็นเว็บเปิดใหม่ ต้องทำใจไว้ก่อนว่าการทำเว็บตอนเริ่มต้นมันต้องเป็นแบบนี้กันทุกคนอยู่แล้วครับ
ดูเหมือนจะไปได้สวย เพราะมีคนสั่งของมาเยอะครับ ผมแพ็กของส่งไปแทบไม่ทัน สุดท้ายลองเดาดูสิครับว่าเกิดอะไรขึ้น ของทุกชิ้นเป็นของปลอมครับ USB Kingston ที่ผมนำมาขายเป็นของปลอมจากจีนจริงๆ ต้นทุนไม่ถึง 100 บาท แต่ราคาในตลาดบ้านเราราคาเกือบ 300 แค่นี้ก็พอจะนึกภาพออกใช่ไหมครับ ทำไมตอนสั่งของผมไม่เอะใจสักนิด เพราะผมคิดแต่เรื่องกำไรที่จะได้ครับ มันเป็นอะไรที่ตัดสินใจผิด แต่ก็อย่างที่บอกว่าผมยอมรับกับผลของการกระทำอยู่แล้ว และมันก็ต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบด้วย ผมรับของคืนจากลูกค้ามาทั้งหมด เพราะ format ไม่ได้บ้าง เสียบเครื่องเสียงไม่ได้บ้าง ช้าบ้าง สารพัดสารเพปัญหา ผมตัดสินใจคืนเงินให้ลูกค้าทั้งหมด และหยุดการโฆษณา facebook ทันที ตอนนั้นได้แต่นั่งมอง USB Kingston ปลอมๆที่กองอยู่ตรงหน้า มืดมนไปหมด และคิดว่าคงต้องเลิกราไป ไม่เอาอีกแล้ว ถึงแม้ว่าผมจะอีเมลไปต่อว่าโรงงาน สุดท้ายเขาก็ปิดเว็บหนีไป นี่แหละครับ มันโชคดีแบบสุดๆเลยสำหรับสินค้าล็อตแรก (ประชดครับ)
ตอนที่ 5 กลับมาอีกครั้ง
หลายเดือนต่อมา ผมยังไม่ยอมเข็ดครับ ผมเข้าเว็บ alibaba.com อีกครั้งแล้วติดต่อซัพพลายเออร์ไปอีกประมาณสิบกว่าเจ้า เลือกดูว่าคนไหนให้ราคาอย่างไร คนไหนกล้ารับประกันสินค้า กล้าเปลี่ยนคืน อายุในเว็บ และประวัติของบริษัท แม้ว่าทักษะภาษาอังกฤษของผมจะอยู่แค่พองูๆ ปลาๆ ฝรั่งมาวิ่งหนี แต่ผมก็หัดใช้ google translate จนคล่อง ตอนขอใบเสนอราคา ผมจะเขียนเป็นภาษาไทยก่อนแล้วค่อยไปวางใน google translate แล้วก็อปปี้ไปวางเพื่อส่งไปขอใบเสนอราคาอีกที พอตอนเขาตอบกลับมาสิครับถ้าเป็น chat ธรรมดาก็พอได้ เพราะอยู่หน้าจอก็ใช้ google translate ช่วย แต่พอตอนเขาโทรมานี่สิครับ เหงื่อแตกเพราะฟังไม่ออก ฝรั่งสำเนียงอังกฤษว่ายาก จีนสำเนียงอังกฤษยากกว่าครับ ผมก็เลยตัดสินใจตอบแบบชัดถ้อยชัดคำไปว่า “Please email to me” แค่นั้นแหละครับ จบ เพราะถ้าเขาอีเมลมาเราก็แค่ใช้ google translate ช่วยก็จบครับ
สำหรับเจ้าที่สองที่ผมสั่งสินค้า โดยเลือกอย่างดีแล้ว ผมมั่นใจมากขึ้นว่าต้องเป็นของแท้แน่ๆ มันก็เป็นจริงตามนั้นครับ ผมไม่ซวยซ้ำซ้อนขนาดนั้นหรอกครับ แต่ราคาก็สูงพอๆ กับตลาดบ้านเรา ทำให้ผมเกิดปัญหาต่อมาคือ ขายของยาก เพราะเราไม่มีใบรับประกันให้คนซื้อ ถ้าราคาพอกัน ลูกค้าก็ต้องเลือกซื้อจากห้างร้านไอทีจะดีกว่ามาซื้อจากร้านโนเนมอย่างผม ส่วนแบรนด์ Kingston ในตลาดก็มีขายกันเยอะแยะเต็มไปหมด ถ้าราคาของเราสู้เขาไม่ได้ เราก็ตายเหมือนกันครับ อันนี้ก็เป็นประสบการณ์อีกอย่างหนึ่งเพราะของๆ เราไม่ได้แตกต่างจากตลาดเลยครับ ผมตัดสินใจขายแบบเท่าทุนบ้าง ขาดทุนบ้าง ลงทุนไปขายตามตลาดนัดเปิดท้ายบ้าง จนสินค้าหมดไปครับสำหรับล็อตนี้ แต่ไม่มีเคลมเลย เพราะเป็นสินค้าแท้ทุกตัว
ตอนที่ 6 โชคเริ่มเข้าข้าง
โชคเหมือนจะเข้าข้างผมอยู่บ้างนะครับ จากที่ผมขอใบเสนอราคาไปหลายเจ้า มีอยู่เจ้าหนึ่งที่เสนอขายแฟลชไดร์ฟแบบพรีเมี่ยมสำหรับผม คำว่าพรีเมี่ยมคือ แฟลชไดร์ฟสร้างขึ้นใหม่ ใส่โลโก้บริษัทได้ ใส่ไฟล์ของเราได้ และมีแพกเกจให้เลือกมากมาย ผมจึงเริ่มมองธุรกิจออกว่าถ้าเราลองโพสต์ข้อมูลในเว็บ ใส่ภาพสวยๆ แพกเกจ และรายละเอียดการรับประกันให้ครบ เมื่อมีคนสั่งมาเราค่อยไปสั่งที่ซัพพลายเออร์อีกทีก็ได้เพราะเราจะขายเป็นล็อตใหญ่ๆ อย่างน้อยก็ 100 up เมื่อคิดได้เช่นนั้นไม่รอช้าครับ ผมเริ่มงานทันทีโดยค้นหาเว็บที่ขายของลักษณะเดียวกันในไทย ลองขอใบเสนอราคาแบบเดียวกับสินค้าที่ผมจะขาย ดูว่าเขาขายกันเท่าไหร่ พอจะสู้ไหวไหม ผลปรากฏว่าผมสู้ราคาพวกนั้นได้แน่นอนครับ เป็นเพราะอะไรนะหรอครับ ถ้าให้ผมคิดเหตุผล ก็คงเป็นเพราะว่า ผมทำงานคนเดียว ไม่ได้จ้างใคร ทุกอย่างผมทำเองหมดแบบใช้ต้นทุนต่ำมาก ไม่มีค่าออฟฟิต เพราะไม่มีหน้าร้าน ไม่มีค่าจดทะเบียนบริษัท ค่าพนักงานก็ไม่มี ทำให้ราคาที่ผมจะตั้งไว้สู้บริษัทใหญ่ได้แน่ๆ ครับ เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว ผมจึงเริ่มมองหาลูกค้ารายแรกที่จะมาสั่งของกับผม โดยผมโพสต์รูปภาพสินค้าที่ได้จากเว็บของซัพพลายเออร์ นำรายละเอียดมาแปลเป็นไทย และเขียนใหม่เป็นสำนวนง่ายๆ แม้ว่าจะสเปะสปะไปบ้างก็ไม่ใช่ปัญหาครับ มีรายละเอียดให้ครบก็พอ การรับประกันสินค้า ระยะเวลาการผลิต และรายละเอียดอื่นๆ แน่นอนครับการทำครั้งแรกเราอาจต้องใช้เวลาอยู่กับมันนานหน่อย ผมทำบนบล็อกของผมที่จดชื่อโดเมนเป็น flashdrivedd.com เช่าโฮสต์และโดเมนรายปีประมาณ 1000 กว่าบาท จาก Hostneverdie.com และผมอยากให้ลูกค้ามั่นใจในตัวผมมากกว่านั้น ผมศึกษาข้อมูลการไปจดทะเบียนอิเล็กทรอนิกส์ได้ความว่า ผมต้องไปจดทะเบียนอิเล็กทรอนิกส์ที่ อบต.ที่เป็นที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน ค่าจดทะเบียนก็ไม่กี่ร้อยบาทต่อปีครับ คุ้มกับความเชื่อใจของลูกค้าเราครับ แล้วนำมาแปะใส่ในเว็บของผม
และแล้วลูกค้ารายแรกก็มาครับ ผมทำออเดอร์ลูกค้ารายแรกสำเร็จ สินค้าใช้งานได้ดี ไม่เสียหาย ไม่เป็นของปลอมอีกแล้วครับ ผมทดสอบความเร็ว ทดสอบคุณภาพชิพเอง โดยศึกษาจากอินเตอร์เน็ต เป็นที่น่าพอใจ และที่สำคัญซัพพลายเออร์ของผมก็ตอบคำถามได้เร็วมาก ตอบทุกคำถามที่ผมถามไป เราใช้ App ที่เรียกว่า WhatsApp เพื่อติดต่อกันครับ ทุกวันนี้ก็ยังติดต่อกันอยู่เรื่อยๆ แม้ว่าผมจะแอบพยายามหาซัพพลายเออร์คนอื่นๆ มาทดแทน และเสนอราคาได้ถูกกว่าเยอะ แต่เขาก็มีข้อเสียอย่างหนึ่งคือ ตอบคำถามผมช้าครับ นี่คือประเด็นสำคัญที่ผมถือว่าสำคัญที่สุด และอาจจะเสี่ยงเป็นของปลอมอีกก็เป็นได้ ผมก็เลยตัดสินใจยังไม่เลือกซัพพลายเออร์คนอื่นมาทดแทนคนนี้ แม้ว่าจะลองเลือกแล้วกว่า 5 เจ้าก็ตามที
โปรดติดตามตอนต่อไปที่นี่ครับ ^_^