ไปอ่านกันเลยค่ะ.................... (ปล. บางประโยคขออนุญาตวิบัติภาษา เพื่อความมันส์ในอารมณ์นะค่ะ)
ชีวิตพนักงานออฟฟิตอย่างเราทำงานจนลืมวันลืมคืน ลืมมมมจนจำไม่ได้ว่าไปเที่ยวครั้งล่าสุดตอนไหน? ถึงเวลาลางานแล้วออกไปเปิดหูเปิดตามแล้วสินะ เราอยากไปที่มีอากาศดีดี ผู้คนไม่ต้องวุ่นวาย เราเลยเลือกเมืองเล็กๆที่อยู่ติดน้ำโขง ก็คือ “เมืองเชียงคาน” นั้นเอง
“หนีเมืองฟ้าอมร สู่ดินดรเมืองริมโขง”
เราออกเดินทางจากสนามบินดอนเมือง เวลา 06.10 น. วันนี้ทัศนวิสัยในการบินค่อนข้างไม่ดีนักเนื่องจาก พายุมูจีแก ทำให้เครื่องลงจอดที่สนามบิน จ.เลย ไม่ได้ กัปตันจึงตัดสินใจนำเครื่องลงจอดที่สนามบินนานาชาติอุดรธานี ชั่วคราว เห้ยยยย…นี่เราจะไปเลยนะ เลยจริงๆ เลยไปอุดรโน้นนนนน 555 ผ่านไป 2 ชม. ทัศนวิสัยการมองเห็นเริ่มดีขึ้น กัปตันตัดสินใจนำเครื่องขึ้น รู้สึกว่าเป็นการเดินทางที่คุ้มสุดๆ ได้นั่งเครื่องตั้ง 2 ครั้งแหนะ…… เครื่องลงจอดที่สนามบินจ.เลยได้แล้ว เย้ๆๆ ตามกำหนดการเราจะถึง จ. เลย เวลา 07.20 น. ปรากฏว่าถึง 10.45น. มูจีแก!!!!! โหดฟัด
……จากสนามบินเราได้ต่อสกายแลป ไปที่ บขส. จ.เลย คุณลุงที่ขับสกายแลปได้ถามขึ้นมาว่า เชียงคานมีอะไรดีเหรอถึงได้อยากไปเที่ยว เพื่อนเรารีบตอบทันควัน มีมะพร้าวแก้ว!!! แม่เจ้า.….นี่เราฟ่ามูจีแกเพื่อมากินมะพร้าวแก้วกันเหรอ
ค่ารถสกายแลปจากสนามบินเลย - บขส.เลย ราคา 150 บาท
จากนั้นก็ต่อ รถทัวร์ ป.1 ราชสีมา – เลย – เชียงคาน ค่ารถคนละ 34 บาท รถออกจาก บขส. เวลา 11.00 น. เราก็นั่งชมนกชมไม้สองข้างทางมีแต่ต้นไม้ดูเขียวสดชื่นไปหมด ด้วยความเพลียจากการเดินทางและตื่นเช้ามว๊ากกก เราก็เผลอหลับไป ตกใจตื่นอีกที พนักงานรถทัวร์ตะโกนขึ้นมาว่า “ถึงเชียงคานแล้วคร้า!!!!”
ถึงแล้วเหรอ….เชียงคาน…..
เชียงคานเป็นเมืองเล็กๆใน จ.เลย ที่ติดแม่น้ำโขง เราเคยมาสัมผัสบรรยากาศของเมืองนี้ เมื่อ 4 ปีที่แล้ว (สมัยเรียนมหาลัยเลยนะนั้น ยังเป็นสาววัยใส555
) ลองมาดูกันว่าเวลาผ่านไปเมืองเล็กๆแห่งนี้จะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน…..
หลังจากได้ก้าวลงจากรถทัวร์ เวลาประมาณ 11.45 น. เหล่าบรรดาพลขับสกายแลปก็ปรี่เข้ามาหาเรา ต่างก็มาเสนอไปส่งที่พัก ด้วยความติสแตกของเรา เลยเลือกปฏิเสธ ขอเดินไปแบบติสๆ อยากเดินดูที่พักเอง อยากสัมผัสบรรยากาศแบบ Slow life เปล่าเลยที่จริง หึ…ไม่มีตังค์!!!! แต่มารู้ที่หลังค่าสกายแลปเข้าไปเชียงคาน 20 บาท โถ่ๆๆๆ เราไม่น่าเลย ตอนนั้นแดดเปรียง ข้าวก็ยังไม่ตกถึงท้อง คล้ายจะเป็นลม
เราตัดสินใจเดินเข้าซอย 7 โผล่อีกที่หน้าวัดศรีคุณเมือง เดินไม่ไหว หาที่พักก็ไม่ไหวแล้วเช่นกัน ร้อนสุดๆๆ นึกขึ้นได้ว่าอาทิตย์ที่แล้วมีน้องที่รู้จักมาเที่ยว เราเลยขอเบอร์ที่พักมา เราเลยรีบโทรหาที่พักนั้นทันที ที่พักอยู่ ซอย 18 แต่นี่เราอยู่ซอย 7 โหหหห เดินหรอเนี่ย หิวก็หิว ร้อนก็ร้อน (บ่นในใจน่ะ อิอิ) เราเลยถามทางคุณป้าว่าต้องไปทางไหน ยังไม่ทันสิ้นคำถาม คุณป้าเจ้าของเกสเฮ้าส์ก็พูดขึ้นมาว่า “อยู่ตรงนั้นแหละไม่ต้องเดินมา เดี๋ยวป้าแว๊นไปรับ” คุณพระ!!!หรือป้าจะได้ยินเสียงบ่นจากเรา คุณป้าใจดีเว่อร์ๆๆๆๆๆ ที่พักชื่อ “ศิริวรรณ เกสเฮ้าส์” ราคา 500 บาท/คืน ที่พักติดริมโขง บรรยากาศดีสุดๆๆ
….เห็นน้ำโขงแล้วลืมหิว…
พอถึงที่พัก เรายืนดูสายน้ำโขงสักพัก เป็นสายน้ำที่กว้างใหญ่ สายน้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิต ของผู้คนหลากหลายประเทศ ดูแล้วเพลินจริงๆ เพลินจนลืมไปว่า เรากำลังหิวอยู่นี่น่า
เก็บของเข้าห้องพักเสร็จเรียบร้อย เราก็พร้อมเดินทางมุ่งหน้าสู่แก่งคุดคู้ ตามหามะพร้าวแก้ว….. ว่าแต่ไปไงอ่ะ แง่ววววว!! ช้าอยู่ไยถามคุณป้าศิริวรรณสิค่ะ คุณป้าแนะนำ 2 วิธีการเดินทางคือ 1.สกายแลป ราคา ไป-กลับ 80 บาท/คน 2เช่ามอไซด์ ราคา 250 บาท/วัน ด้วยความติสแตกของเรากับเพื่อนอีกแล้วคร้าคุณผู้ชม เราก็เลือกแว๊นสิค่ะ สก๊อยอย่างเรา555+ ร้านเช่ามอไซด์ อยู่ซอย 9 คุณตาเจ้าของร้านใจดี ยิ้มตลอด
…..ไม่รู้ทาง แต่ก็อยากไป….
เราเดินทางไปแก่งคุดคู้ ด้วย “E แดง20” คือไร??? มันก็คือมอไซด์ที่เราเช่านั้นเอง ขอตั้งชื่อให้เลยยยย มอไซด์อะไรเนี๊ยยย บิดได้แค่ 20 กม./ชม. บิดไม่ไปจริงๆนะ กะจะบิดหนีแดดซะหน่อย แต่ไม่เป็นไรเพราะตอนนี้เราใช้ชีวิตในเมืองเล็กๆแบบ slow life อยู่นี่น่า การเดินทางไปแก่งคุดคู้ ไปง่ายเดินทางสะดวก มีป้ายบอกตลอดทาง….. รับรองไม่หลง ถึงแล้วจ้า “แก่งคุดคู้”
มื้อนี้ที่แก่งคุดคู้ ขอแนะนำเมนูนี้เลยค่ะ กุ้งฝอยทอด ราคา 60 บาท อร่อยใช้ได้เลย
หากันจนเจอ “มะพร้าวแก้ว”
ขอคอนเฟิร์มว่าอร่อยจริงของขึ้นชื่อของที่นี่เลย มะพร้าวแก้ว เกรด A เนื้อจะนิ่มๆเคลือบน้ำตาล ราคาถุงละ 100 บาท มะพร้าวแก้ว เกรด B เนื้อจะแข็งขึ้นมาหน่อย ราคาถุงละ 50 บาท ปล.คุณป้าคนขายมะพร้าวแก้วใจดีอีกแล้ว ยิ่งซื้อยิ่งแถม เผลอๆ ของแถมได้มากกว่าที่ซื้อซะอีก555
....เมื่ออาทิตย์ลับขอบฟ้า…..
มีสิ่งหนึ่งที่เรามาที่นี้ที่ไรก็ตกหลุดรักทุกครั้ง การที่ได้ดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่ริมโขง
…..พระอาทิตย์ค่อยๆลับขอบฟ้า แสงของมันสะท้อนลงแม่น้ำ เหลืองอร่าม แล้วท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสี…
……พลาดไม่ได้ “ถนนคนเดินเชียงคาน”……
อีกหนึ่งสีสันแห่งเมืองริมโขง คือ ถนนคนเดินเชียงคาน ส่วนใหญ่จะเปิดเป็นร้านขายของที่ระลึก เช่น เสื้อ พวงกุญแจ โปสการ์ด เป็นต้น
สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเรา มาที่นี่ก็ขอหน่อย เขียนโปสการ์ดส่งถึงตัวเอง มโนว่ามีหนุ่มเชียงคานเขียนให้ 5555 บ้าจริงพี่ชาย เราเขินนะ
….เช้านี้ ที่ ภูทอก…
จุดประสงค์อีกอย่างของเราที่มาเชียงคานก็คือ อยากเห็นทะเลหมอก เราจึงให้สกายแลปมารับที่ที่พัก เวลา 05.30 น. เพื่อไปภูทอก ค่ารถสกายแลปไปภูทอก ไป-กลับ ราคา 100บาท
จุดขึ้นภูทอกจะมีรถรับส่ง และมีค่าขึ้นภู คนละ 25 บาท
จุดขึ้นภูทอก จะมีรถรับส่งให้ขึ้นภูโดยเฉพาะ และมีคนขับที่ชำนาญเส้นทาง
เราได้ขึ้นรถเปิดปะทุนด้วยนะ หง่อวววว ….รถกระบะนั้นเอง ระหว่างรถขับไปตามเส้นทางจะมีหมอกบางๆปะทะหน้าเรา ดั่งโดนน้ำแร่จากเทือกเขาแอลป์ ปะทะเข้าหน้า 555++เวอร์ตลอด
ยิ่งขึ้นไปสูงมากเท่าไหร่ เรายิ่งรู้สึกได้ว่าอากาศที่นี้ช่างสดชื่นจริงๆ
ถึงภูทอกแล้ว เราได้เห็นทะเลหมอกสมใจ
ครั้งแรกจริงๆนะเนี่ย อึ้งกับความมหัสจรรย์ของธรรมชาติไปเลย……
เฝ้ารอพระอาทิตย์ขึ้น น่าจะสวยมากกกก แต่เดี๋ยว! นั้นอะไร แม่เจ้า ทั้งเมฆทั้งหมอกลอยเข้ามาปกคลุมทั่วเลย
ไม่เห็นแม้แต่ภูเขาที่อยู่ตรงหน้า
เรานั่งรอซักพัก….ไม่นานนัก เมฆก็เคลื่อนตัว สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเราทำให้เราตื่นตาตื่นใจ
(เวอร์อีกแล้ว…. แต่เราตื่นเต้นจริงๆนะเพิ่งเคยเห็น 555 นี่เราไปอยู่หลุมไหนมา)เราตื่นเต้นที่ได้เห็นความสวยงามของธรรมชาติ
ความงามที่ไม่ต้องเติมแต่ง สวยในรูปแบบที่มันเป็นเห้ยยยพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว
อากาศบนยอดภูช่างสดชื่นมากจริงๆ เป็นโอกาสดีของเรา ไม่ได้เจออากาศที่บริสุทธิ์แบบนี้มานานแล้ว
สูดให้ปอดใสปริ้งไปเลยยย
หลังจากที่ฟอกปอดกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท้องก็เริ่มร้องว่าหิ๊วหิวๆๆๆแล้วสิ กลับกันเถอะ
บนภูจะมีรถเวียนขึ้นลงตลอด คันไหนว่างขึ้นได้เลยจ้า
ขอบคุณ คุณต้นสกายแลป บริการดีเยี่ยมพูดจาไพเราะ แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวได้ดีมาก
ถามอะไร ตอบได้ทุกคำถาม เป็นไกด์อีกอาชีพหนึ่งน่าจะดีนะค่ะพี่
[CR] "หนีเมืองฟ้าอมร สู่ดินดรเมืองริมโขง"
“หนีเมืองฟ้าอมร สู่ดินดรเมืองริมโขง”
ค่ารถสกายแลปจากสนามบินเลย - บขส.เลย ราคา 150 บาท
หลังจากได้ก้าวลงจากรถทัวร์ เวลาประมาณ 11.45 น. เหล่าบรรดาพลขับสกายแลปก็ปรี่เข้ามาหาเรา ต่างก็มาเสนอไปส่งที่พัก ด้วยความติสแตกของเรา เลยเลือกปฏิเสธ ขอเดินไปแบบติสๆ อยากเดินดูที่พักเอง อยากสัมผัสบรรยากาศแบบ Slow life เปล่าเลยที่จริง หึ…ไม่มีตังค์!!!! แต่มารู้ที่หลังค่าสกายแลปเข้าไปเชียงคาน 20 บาท โถ่ๆๆๆ เราไม่น่าเลย ตอนนั้นแดดเปรียง ข้าวก็ยังไม่ตกถึงท้อง คล้ายจะเป็นลม
ขอคอนเฟิร์มว่าอร่อยจริงของขึ้นชื่อของที่นี่เลย มะพร้าวแก้ว เกรด A เนื้อจะนิ่มๆเคลือบน้ำตาล ราคาถุงละ 100 บาท มะพร้าวแก้ว เกรด B เนื้อจะแข็งขึ้นมาหน่อย ราคาถุงละ 50 บาท ปล.คุณป้าคนขายมะพร้าวแก้วใจดีอีกแล้ว ยิ่งซื้อยิ่งแถม เผลอๆ ของแถมได้มากกว่าที่ซื้อซะอีก555
…..พระอาทิตย์ค่อยๆลับขอบฟ้า แสงของมันสะท้อนลงแม่น้ำ เหลืองอร่าม แล้วท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสี…
สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเรา มาที่นี่ก็ขอหน่อย เขียนโปสการ์ดส่งถึงตัวเอง มโนว่ามีหนุ่มเชียงคานเขียนให้ 5555 บ้าจริงพี่ชาย เราเขินนะ
จุดขึ้นภูทอกจะมีรถรับส่ง และมีค่าขึ้นภู คนละ 25 บาท
เราได้ขึ้นรถเปิดปะทุนด้วยนะ หง่อวววว ….รถกระบะนั้นเอง ระหว่างรถขับไปตามเส้นทางจะมีหมอกบางๆปะทะหน้าเรา ดั่งโดนน้ำแร่จากเทือกเขาแอลป์ ปะทะเข้าหน้า 555++เวอร์ตลอด
ยิ่งขึ้นไปสูงมากเท่าไหร่ เรายิ่งรู้สึกได้ว่าอากาศที่นี้ช่างสดชื่นจริงๆ
ครั้งแรกจริงๆนะเนี่ย อึ้งกับความมหัสจรรย์ของธรรมชาติไปเลย……
ไม่เห็นแม้แต่ภูเขาที่อยู่ตรงหน้า
(เวอร์อีกแล้ว…. แต่เราตื่นเต้นจริงๆนะเพิ่งเคยเห็น 555 นี่เราไปอยู่หลุมไหนมา)เราตื่นเต้นที่ได้เห็นความสวยงามของธรรมชาติ
ความงามที่ไม่ต้องเติมแต่ง สวยในรูปแบบที่มันเป็นเห้ยยยพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว
สูดให้ปอดใสปริ้งไปเลยยย
หลังจากที่ฟอกปอดกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท้องก็เริ่มร้องว่าหิ๊วหิวๆๆๆแล้วสิ กลับกันเถอะ
บนภูจะมีรถเวียนขึ้นลงตลอด คันไหนว่างขึ้นได้เลยจ้า
ถามอะไร ตอบได้ทุกคำถาม เป็นไกด์อีกอาชีพหนึ่งน่าจะดีนะค่ะพี่