8 โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ผู้ชายทุกคนควรระวัง !!!

1.    โรคหนองในเทียม (Chlamydia)
          โรคหนองในเทียมเป็นโรคติดต่อทางเพศที่พบมากที่สุดในโลก ซึ่งโอกาสที่จะติดโรคนี้เกิดขึ้นได้เมื่อมีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีเชื้อแบคทีเรีย Chlamydia trachomatis ทั้งทางปาก ช่องคลอด หรือทวารหนัก โดยบางคนที่ติดเชื้อดังกล่าวอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะแสดงอาการ ซึ่งอาการของโรคหนองในเทียมในเพศชายที่เห็นได้ชัดคือ รู้สึกเจ็บแสบอวัยวะเพศขณะปัสสาวะ มีหนองไหลออกมาจากอวัยวะเพศ และอัณฑะบวม อย่างไรก็ดี แม้พบว่าอาการต่าง ๆ หายไปแล้ว ก็ควรรีบรักษาให้หายขาด เพราะเชื้อโรคยังอยู่ในร่างกายและพร้อมจะกำเริบอยู่เสมอนั่นเอง
2.    โรคหนองในแท้ (Gonorrhoea)
          โรคหนองในแท้จะติดต่อกับผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับคนที่ติดเชื้อ Neisseria Gonorrhoea อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นทางทวารหนัก ปาก หรือช่องคลอด โดยผู้ชายส่วนใหญ่ที่ติดโรคนี้จะแสดงอาการออกมาให้เห็น แต่บางคนจะมีอาการทันที เช่น รู้สึกแสบเวลาปัสสาวะ มีหนองไหลออกจากอวัยวะเพศ และอัณฑะอักเสบ ทั้งนี้ทั้งนั้น โรคหนองในแท้จะเกิดขึ้นพร้อมกับโรคหนองในเทียมเสมอ ซึ่งสามารถรักษาให้หายขาดพร้อมกันทั้งสองโรคได้
3.    โรคพยาธิไตรโคโมนีเอซิส (Trichomoniasis)
ทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่ติดโรคพยาธิไตรโคโมนีเอซิส โดยมากจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคนี้ เพราะมันจะไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาเลยในช่วงแรก แต่ในรายที่แสดงอาการ จะรู้สึกคันหรือแสบบริเวณอวัยวะเพศ มีหนองไหลออกจากอวัยวะเพศ และทำให้เป็นโรคท่อปัสสาวะอักเสบด้วย
4.    โรคติดเชื้อเอชไอวี (HIV)
          เรียกได้ว่าเชื้อเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus) เป็นเชื้อที่น่ากลัวที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ เพราะมันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือเอดส์นั่นเอง ซึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้ติดเชื้อเอชไอวีก็คือการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย เช่น ไม่สวมถุงยางอนามัย นอนกับคนที่ไม่ใช่คู่ของตน และเที่ยวสถานบริการ รวมถึงเด็กในครรภ์สามารถติดจากแม่ที่เป็นโรคดังกล่าวอยู่แล้วได้ โดยเชื้อดังกล่าวจะแสดงอาการระยะแรกหลังจากติดเชื้อประมาณ 2-4 สัปดาห์ คือผู้ป่วยจะมีไข้สูงหรือรู้สึกเหมือนเป็นไข้หวัดใหญ่ แต่มันจะใช้เวลาประมาณ 10 ปี ที่จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายเสียหายทั้งหมด ส่งผลให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมามากมาย เช่น วัณโรค มะเร็ง และความจำเสื่อม เป็นต้น ซึ่งในปัจจุบันมียาหลายชนิดที่ช่วยชะลออาการของโรคนี้ได้
5.  โรคเริมที่อวัยวะเพศ (Herpes)
          โรคเริมที่อวัยวะเพศเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อ Herpes Simplex Viruses ผ่านการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ติดเชื้ออยู่แล้ว ซึ่งผู้ที่ติดเชื้อจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคดังกล่าว เพราะมันจะไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาเลย อย่างไรก็ดี ผู้ชายมักจะพบตุ่มใส ๆ ขึ้นมากมายบริเวณต่าง ๆ เช่น อวัยวะสืบพันธุ์ ก้น ถุงอัณฑะ ทวารหนัก ผิวหนังที่ขาอ่อน และภายในท่อปัสสาวะ รวมถึงโรคเริมที่ปากสามารถติดต่อด้วยการจูบได้ ทั้งนี้ โรคเริมเป็นโรคที่รักษาให้หายขาดไม่ได้ เพราะเชื้อของมันจะซ่อนในร่างกายและจะกำเริบขึ้นเมื่อร่างกายอ่อนแอ
6.  โรคหูดที่อวัยวะสืบพันธุ์ (Genital Warts)
          เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อ Human Papillomavirus ผ่านการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ติดเชื้อหรือสัมผัสบริเวณที่มีเชื้อตัวนี้โดยตรง ซึ่งมีคนจำนวนกว่า 75 เปอร์เซ็นต์ ที่ติดเชื้อดังกล่าวหลังจากมีเพศสัมพันธ์ โดยอาการทั่วไปของโรคหูดที่เห็นได้ชัดเจนคือ แผลหูดจะมีลักษณะคล้ายเนื้อเยื่อนูนและตะปุ่มตะป่ำเกิดขึ้นที่อวัยวะสืบพันธุ์หรือทวารหนัก อย่างไรก็ดี ปัจจุบันมียาที่สามารถรักษาให้หายได้แล้ว หรือจะปล่อยให้มันหายเองก็ได้ แต่จะใช้เวลานานกว่าการรักษาด้วยยา
7. โรคไวรัสตับอักเสบ บี (Hepatitis B)
          โรคไวรัสตับอักเสบ บี เกิดจากเชื้อ Hepatitis B Virus ที่ผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางและสัมผัสเลือดหรือของเหลวกับคนที่ติดเชื้ออยู่แล้ว ซึ่งอาการทั่วไปของโรคไวรัสตับอักเสบ บี คือ ผู้ป่วยจะเบื่ออาหาร มีไข้ต่ำ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและข้อต่อ และทำให้เป็นโรคดีซ่านได้  
8. โรคซิฟิลิส (Syphilis)
          โรคซิฟิลิสเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema Pallidum ผ่านการร่วมเพศทางทวารหนัก ปาก หรือช่องคลอด ซึ่งระยะของโรคซิฟิลิสมี 4 ขั้น ได้แก่ ระยะแรกที่ติดเชื้อ จะมีแผลขนาดเล็กที่อวัยวะสืบพันธุ์ ซึ่งหากไม่รีบรักษาให้หาย มันจะเข้าสู่ระยะที่สอง ซึ่งเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวจะกระจายไปตามอวัยวะส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย จากนั้นในระยะที่สาม โรคซิฟิลิสจะไม่แสดงอาการออกมาสักเท่าไร และหากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมแล้ว เมื่อถึงระยะสุดท้าย มันจะทำให้สมองติดเชื้อ หูหนวก และตาบอดเลยทีเดียว

ขอขอบคุณข้อมูลจาก กระปุกดอทคอม

Report by LIV Capsule
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่