ทักษิณสิ้นมนต์ขลัง ...สาวกเมิน ... ปิดตำนานแก๊งค์เสื้อแดง.... (โจ ขิง)

http://www.naewna.com/columnonline/21399



ทักษิณสิ้นมนต์ขลัง สาวกเมินปิดตำนานแก๊งค์เสื้อแดง

ไม่เคยมีครั้งไหนที่หากทักษิณ ชินวัตร นายใหญ่นักโทษหนีคุกออกมาปลุกระดมมวลชนเสื้อแดงแล้วจะไม่มีมวลชนออกมาแสดงพลังแดงทั่วแผ่นดิน อย่างเหตุการณ์ชุมนุมของคนเสื้อแดงและนำไปสู่การก่อจลาจลทั่วกทม.และบุกล้มการประชุมสุดยอดผู้นำชาติอาเซียนและผู้นำชาติมหาอำนาจคู่เจรจาที่พัทยาเมื่อปี 2552 ซึ่งครั้งนั้นนายใหญ่ทักษิณถึงกับประกาศขึงขังว่า หากฝ่ายทหารเปิดฉากลั่นกระสุนแม้แต่นัดเดียว ตัวเองจะเดินทางมานำทัพคนเสื้อแดงด้วยตัวเอง แต่แล้วกองทัพก็สลายม็อบเสื้อแดงได้สำเร็จโดยไม่เสียเลือดเนื้อขณะที่นายใหญ่ทักษิณหายเข้ากลีบเมฆเดินช็อปปิ้งในห้างหรูในต่างแดนอย่างสบายอารมณ์ หรือในเหตุการณ์ก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองในปี 2553 ก็เช่นกันนายใหญ่ทักษิณบงการผ่านบรรดาแกนนำเสื้อแดงทำให้มวลชนเสื้อแดงเกิดความฮึกเหิมพร้อมทำสงครามขั้นแตกหักเพื่อชิงอำนาจรัฐกลับมาเป็นของระบอบทักษิณ แต่สถานการณ์ล่าสุดแตกต่างอย่างสิ้นเชิงภายใต้อำนาจพิเศษและการเดินหน้าปฏิรูปประเทศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ซึ่งทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบเรียบร้อยและมวลชนเสื้อแดงเริ่มมีสติและเกิดปัญญารู้เท่าทันในเหตุการณ์ที่ผ่านมาว่าตัวเองเป็นเครื่องมือที่ถูกหลอกใช้เท่านั้น จึงไม่แปลกที่ขนาดนายใหญ่ทักษิณลงทุนถึงขนาดส่งสัญญาณปลุกระดมให้สาวกแดงทั้งแผ่นดินใส่เสื้อแดงอย่างพร้อมเพรียงเพื่อให้กำลังใจน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้เป็นน้องสาวซึ่งเป็นจำเลยคดีรับจำนำข้าวเมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา แต่สถานการณ์กลับเงียบสนิทไร้เสื้อแดงในจังหวัดต่างๆทั่วแผ่นดินแม้แต่ในจังหวัดภาคเหนือและอีสานซึ่งเป็นฐานที่มั่นสำคัญของระบอบทักษิณ

การที่มนต์ของนายใหญ่ทักษิณที่เคยขลังบงการสาวกเสื้อแดงให้ซ้ายหันขวาหันทำตามคำสั่งได้ตามใจปรารถนาเริ่มสิ้นความขลังอาจเพราะสาเหตุหลายประการกล่าวคือ ที่ผ่านมาไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสาวกเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยไม่ได้มาด้วยอุดมการณ์ แต่เป็นชาวบ้านที่ถูกจัดตั้งโดยเครือข่าย ส.ส.พรรคเพื่อไทยที่มีอยู่ทั่วประเทศในลักษณะใช้เงินจ้างผีโม่แป้งเป็นการเฉพาะกิจ แต่หลังการยึดอำนาจของคสช.ระบบจัดตั้งของระบอบทักษิณพังทลายซึ่งรวมถึงระบบท่อน้ำเลี้ยงจากการควบคุมของคสช. ดังนั้นเมื่อไม่มีเงินจึงไม่มีงานดังเช่นที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา

ประการที่สอง ภายใต้อำนาจพิเศษของ คสช.ที่เอาจริงทำให้สาวกเสื้อแดงไม่อยากเสี่ยงออกมาเคลื่อนไหวเพราะอาจเจอมาตรการขั้นเด็ดขาดขาดของคสช.จากเบาไปหาหนักโดยเบาสุดก็คือเรียกตัวไปปรับทัศนคติในค่ายทหารและอาจอยู่ยาว หรืออาจต้องติดคุกในข้อหาด้านความมั่นคง ดังนั้นจึงไม่แปลกที่สาวกเสื้อแดงกลัวอำนาจ คสช.มากกว่าการยอมทำตามมนต์ขลังของนายใหญ่ทักษิณ

ประการที่สาม มวลชนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยเริ่มกลับใจและมีความสุขที่บ้านเมืองเกิดความสงบเรียบร้อยภายใต้อำนาจและการควบคุมสถานการณ์ของคสช.ที่มุ่งปฏิรูปประเทศเพื่อส่วนรวมไม่ใช่ทำเพื่อคนตระกูลใดตระกูลหนึ่งหรือพรรคใดพรรคหนึ่ง ขณะเดียวกันก็อยากให้ชาติบ้านเมืองเกิดความปรองดองไม่กลับไปสู่วิกฤติความรุนแรงซ้ำซากเหมือนช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอีกโดยอยากเห็นบ้านเมืองเกิดความสงบสุขและเดินหน้าพัฒนาประเทศเสียที

ประการที่สี่ เหตุผลในการนัดใส่เสื้อแดงวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมาเพียงเพื่อปกป้อง ยิ่งลักษณ์ ในฐานะจำเลยซึ่งปล่อยให้เกิดมหกรรมโกงชาติปล้นแผ่นดินที่สร้างความเสียหายแก่ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัตศาสตร์มูลค่ากว่า 7 แสนล้านบาททำให้เป็นการแสดงพลังที่ขาดความถูกต้องชอบธรรมทำลายชาติบ้านเมือง ด้วยเหตุนี้แม้แต่มวลชนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยที่รับไม่ได้หากจะออกมาปกป้องพวกโกงชาติทำลายแผ่นดินซึ่งเป็นคนแค่หยิบมือเดียวที่ร่ำรวยมหาศาลบนความพินาศของประเทศ หากคนเสื้อแดงออกมาปกป้อง ยิ่งลักษณ์ เท่ากับขัดต่ออุดมการณ์เพื่อประชาธิปไตยและความถูกต้องชอบธรรมที่ระบอบทักษิณมักสร้างภาพอ้างเป็นเหตุผลเคลื่อนไหวมาตลอด และเท่ากับสนับสนุนพวกโกงชาติปล้นแผ่นดินโดยไม่คำนึงถึงความหายนะของประเทศอย่างไม่ลืมหูลืมตา

ประการที่ห้า นับวันพลังคนเสื้อแดงจะเสื่อมถอยลงทุกขณะเนื่องจากความสับสนต่อจุดยืนของบรรดาแกนนำ และมวลชนเริ่มมีความรู้สึกว่าถูกหลอกใช้ ขณะที่แม้แต่ในหมู่แกนนำก็ขาดความเป็นเอกภาพและขัดแย้งกันเองซึ่งเห็นได้ชัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีการนัดใส่เสื้อแดงเพื่อปกป้อง ยิ่งลักษณ์ เมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมาปรากฏว่า ขณะที่นายใหญ่ทักษิณและแกนนำส่วนหนึ่งลงทุนใส่เสื้อแดงเพื่อเป็นการส่งสัญญาณปลุกให้สาวกเสื้อแดงออกมาแสดงพลังเชิงสัญญลักษณ์ แต่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานคนเสื้อแดง กลับเบรกการนัดแต่งแดงวันที่ 1 พ.ย.โดยย้ำว่าในฐานะประธานคนเสื้อแดงไม่ขอรับผิดชอบ  พร้อมทั้งโจมตีพวกที่นัดแต่งแดงว่าไร้สมองเดินไปตกหลุมพลาง คสช.จึงไม่แปลกที่การนัดใส่เสื้อแดงทั้งแผ่นดินเมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมากร่อยสนิทและสะท้อนให้เห็นว่านายใหญ่ทักษิณเริ่มสิ้นมนต์ขลัง

นายคารม พลพรกลาง ทนายเสื้อแดง เคยกล่าวว่า ขบวนการเสื้อแดงปัจจุบันอาจเรียกได้ว่าเหลือแต่เชื่อกลายเป็นตำนานไปแล้ว ซึ่งแทบไม่มีทางที่จะกลับมารวมตัวได้อีกต่อไปแล้ว เพราะชาวบ้านรับไม่ได้กับแกนนำ ขณะที่อุดมการณ์เสื้อแดงก็ไม่ชัดเจน ซ้ำยังมี พ.ร.บ.ควบคุมม็อบฉบับใหม่เป็นตัวล็อก พร้อมกันนี้ทนายเสื้อแดงยังแนะ คสช.ให้ซื้อใจดึงมวลชนเสื้อแดงมาเป็นพวกด้วยการนิรโทษกรรมมวลชนเสื้อแดงระดับล่างที่ถูกดำเนินคดีโดยไม่รวมตัวการใหญ่และพวกแกนนำ ขณะเดียวกันแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้สำเร็จรับรองปัญหาเสื้อแดงจบแน่นอน

ส่วน นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการเสื้อแดง เคยให้ความเห็นก่อนหน้านี้เชิงตั้งข้อสังเกตุว่า มวลชนเสื้อแดงถูกทักษิณและเหล่าแกนนำหลอกใช้เป็นเครื่องมือโดยมวลชนเสื้อแดงหลายคนถูกลอยแพให้อยู่ในคุกจนบัดนี้ทำให้มวลชนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยบัดนี้ตาสว่างแล้ว

จากปรากฏการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา จึงน่าจะสะท้อนให้เห็นถึงความเสื่อมของนายใหญ่ทักษิณที่ ณ วันนี้เริ่มสิ้นมนต์ขลังในสายตาสาวกเสื้อแดง ขณะที่ขบวนการเสื้อแดงคงกลายเป็นเพียงตำนานเท่านั้น




ไม่ไหวก็หยุดเถอะครับคุณทักษิณ   วันเวลาล่วงไป ๆ  ก็ใกล้จุดจบเข้าไปทุกวันๆ แล้ว    รัก โลภ โกรธ หลง  ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้หรอกครับ     สิ้นยุคคุณไป  ไม่นานคนก็ลืม    เดี๋ยวนี้ คนเขาชอบของแปลกใหม่  ไม่ซ้ำซากจำเจ       ผมพูดจริงๆนะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่