นั่งดูเดอะวอยซ์ไทยแลนด์ย้อนหลัง มีอยู่ช่วงหนึ่งที่โค้ชสิงโตพูดถึงความสำเร็จในฐานะนักดนตรี
ซึ่งพี่สิงโตหยอดข้อคิดของเขาไว้อย่างน่าประทับใจและซาบซึ้งมาก คัดออกมาให้อ่านอีกครั้ง สำหรับคนที่พลาดไม่ได้ดูรายการ:
" มีคนถามผมว่าถ้าไม่ประสบความสำเร็จทางด้านดนตรีชีวิตนี้จะไปทำอะไรต่อ?
ผมก็เลยถามเขากลับไปว่า แล้วอะไรคือคำว่าประสบความสำเร็จทางด้านดนตรี? ต้องมีชื่อเสียงโด่งดังใช่มั้ย? ต้องมีเพลงฮิตใช่มั้ย?
แบบนี้ใช่มั้ยถึงจะเรียกว่าสำเร็จ ถึงจะมีความสุข?
ผมว่าจริงๆ แล้วการที่เราได้ขึ้นมาร้องเพลงบนเวที การที่เราได้หยิบกีตาร์มาร้องเพลงในร้านอาหาร
ผมว่าสิ่งนี้แหละคือความสำเร็จแล้ว
ถ้ากลับบ้านไป มีคนถามคุณว่าประสบความสำเร็จมั้ย?
ให้คุณตอบไปเลยว่าประสบความสำเร็จ ตั้งแต่วันที่กล้าก้าวเข้ามาประกวดบนเวทีแห่งนี้แล้ว
เพราะฉะนั้น ไม่มีเหตุผลเลยที่คุณจะหยุดร้องเพลง เพียงเพราะไม่ได้ถูกผมเลือกให้เข้ารอบต่อ "
สิ่งที่โค้ชสิงโตพูดในรายการ ทำให้ผมย้อนนึกถึงความสำเร็จในฐานะนักกฎหมาย ว่าดัชนี้ชี้วัดความสำเร็จของนักกฎหมายมันอยู่ตรงไหนกัน?
อย่างไหนเหรอที่เรียกว่าประสบความสำเร็จ? เราจำเป็นต้องสอบเข้ารับราชการเป็นผู้พิพากษาอัยการหรือเปล่า? ต้องเป็นทนาย
หรือที่ปรึกษากฎหมายรายได้เดือนละหลายแสนมั้ย? หรือต้องเป็นอาจารย์สอนกฎหมายมหาวิทยาลัยดังใช่หรือเปล่า?
ผมก็เหมือนเด็กๆหลายๆคน ที่ถูกสังคมปลูกฝังความสำเร็จในแบบที่ตายตัว
สมัยที่ผมเพิ่งเรียนจบใหม่ อยู่ในวัยฮอร์โมนเอสโตรเจนพุ่งพล่านไปด้วยความทะเยอทะยานและความฝัน
อยากร่ำรวยมีเงินทองและคนนับหน้าถือตา จึงก้มหน้าก้มตาทุ่มเททำงาน
แต่อยู่มาวันหนึ่งซึ่งเป็นหนึ่งในวันที่ชีวิตบัดซบมาก ทำงานอะไรก็ไม่ดีไปหมด กลับบ้านฝนก็ตก รถก็ติดในซอยไม่ขยับมาหลายชั่วโมง
ขณะที่ผมมองออกไปนอกหน้าต่างรถแท็กซี่ กลับพบชายวัยกลางคนกำลังอุ้มลูกชายเคียงข้างภรรยาขายลูกชิ้นทอดข้างถนน
ชี้ให้ลูกดูรถหรูราคาแพงที่กำลังติดไม่ขยับ หยอกล้อกับภรรยา และหัวเราะมีความสุขกับสิ่งแวดล้อมรอบๆตัว
ผมมองดูชายคนนั้นหัวเราะประหนึ่งว่าเขากำลังเยาะเย้ยมาที่พวกผมว่า
"นี่เหรอ คือ สิ่งที่พวกทุ่มเทเวลาทั้งชีวิตเพื่อไล่ตามมัน พวกอาจจะมีรถหรูราคาหลายสิบล้าน แต่ก็ยังไปหน้าปากซอยช้ากว่ากูเดินเสียอีก 5555"
ผมแอบตอบโต้ความคิดของผมในใจว่า "กูยังนั่งแท็กซี่อยู่เลย สัส! " 55
แต่ภาพที่เห็นตรงหน้ามันก็กระตุกต่อมความคิดผมเหมือนกันว่า
นี่หรือ คือ หนทางที่เราเลือกจะเดิน เป็นหนทางสู่ความฝันที่ต้องแลกมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยใช่มั้ย?
แล้ว.... ทำไมตอนนี้เราไม่มีความสุขวะ
เราดิ้นรนไล่ตามสิ่งที่คนทั่วไปมองว่าเป็นสิ่งบ่งชี้ความสำเร็จ เรามาถูกทางแล้ว แต่ทำไมเรายังเครียดทุกวัน
และดูเหมือนจะมากขึ้นเรื่อยๆ ทำไมเราไม่มีเวลาออกกำลังกายจนเจ็บป่วยออดๆแอดๆ?
แล้วครั้งสุดท้ายเรากลับบ้านไปหาพ่อแม่เมื่อไรนะ?
นี่แต่ละวันเราใช้เวลาอยู่กับใครไม่รู้มากกว่าอยู่กับคนที่เรารักเสียอีก
คิดได้อย่างนั้น ผมนี่ ตัวสั่น น้ำตาคลอเลยนะ
โชเฟอร์แท็กซี่เหมือนจะรู้ เพราะผมเห็นเหลือบมองผมจากกระจกส่องหลังอยู่บ่อยๆ แทบไม่คาดคิดว่าแกจะหันกลับมาปลอบใจผมว่า
"น้อง... เดี๋ยวลงไปต่อรถไฟฟ้าเร็วกว่านะ พี่จะรีบไปส่งรถ..."
ผมจ่ายเงินและลงจากแท็กซี่ด้วยหัวใจสั่นเทิ้ม ฝนยังคงไม่หยุดตก และผมก็เปียกปอนไปทั้งตัว เพราะไม่ได้พกร่มมา
มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้ผมเบิกบาน คือ อย่างน้อยผมรู้แล้วว่าดัชนีวัดความสำเร็จจริงๆแล้ว คือ อะไร ?
มันไม่ใช่วัดจากจำนวนเงินทอง ไม่ได้วัดจากความใหญ่โตของบ้าน หรือหน้าตาทางสังคม อะไรทั้งนั้น
แต่จริงๆแล้ว ดัชนีวัดความสำเร็จของเรา คือ ปริมาณความสุขจากสิ่งที่เรากำลังทุ่มเททำอยู่ ต่างหาก
หลายคนมีความสุขกับการทำงานเยอะๆ มีความสุขที่ตัวเองดูยุ่งตลอดเวลา
บางคนมีความสุขกับการเป็นที่สนใจ บางคนมีความสุขกับความร่ำรวย ยิ่งรวยยิ่งมีความสุข
ขณะที่บางคนอาจจะมีความสุขแบบพอเพียง มีความสุขกับเงินที่น้อยลงแต่เวลาที่มากขึ้น
และบางคนอาจจะมีความสุขกับการอยู่เพื่อช่วยเหลือสังคมและผู้อื่น
ของอย่างนี้มันชี้นำกันไม่ได้ ถ้าความรักจะออกแบบไม่ได้ ความสุขแต่ละคนก็ออกแบบไม่ได้เช่นกัน
และทำให้ดัชนีความสำเร็จของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันออกไป
อย่าเอาดัชนีความสำเร็จของตนเองไปวัดคนอื่น
ขณะที่อย่าเอาดัชนีความสำเร็จของคนอื่นมาใช้กับตัวเอง
สุดท้าย ขอจบการพร่ำเพ้อไปด้วยคำสอนขององค์ดาไลลามะ ที่ผมชอบมากๆ
"มนุษย์เรานี้ ยอมสูญเสียสุขภาพเพื่อทำให้ได้เงินมา แล้วต้องยอมสูญเสียเงินตรา เพื่อฟื้นฟูรักษาสุขภาพ
แล้วก็เฝ้าเป็นกังวลกับอนาคต จนไม่มีความรื่นรมย์กับปัจจุบัน
ผลที่เกิดขึ้นจริงๆ ก็คือ เขาไม่ได้อยู่กับปัจจุบันหรือแม้กระทั่งอยู่กับอนาคต
เขาดำเนินชีวิตเสมือนหนึ่งว่าเขาจะไม่มีวันตาย และแล้วเขาก็ตายอย่างไม่เคยมีชีวิตอยู่จริง"
ที่มา:
https://www.facebook.com/newheartnewworld/
อะไร คือคำว่าประสบความสำเร็จ?
นั่งดูเดอะวอยซ์ไทยแลนด์ย้อนหลัง มีอยู่ช่วงหนึ่งที่โค้ชสิงโตพูดถึงความสำเร็จในฐานะนักดนตรี
ซึ่งพี่สิงโตหยอดข้อคิดของเขาไว้อย่างน่าประทับใจและซาบซึ้งมาก คัดออกมาให้อ่านอีกครั้ง สำหรับคนที่พลาดไม่ได้ดูรายการ:
" มีคนถามผมว่าถ้าไม่ประสบความสำเร็จทางด้านดนตรีชีวิตนี้จะไปทำอะไรต่อ?
ผมก็เลยถามเขากลับไปว่า แล้วอะไรคือคำว่าประสบความสำเร็จทางด้านดนตรี? ต้องมีชื่อเสียงโด่งดังใช่มั้ย? ต้องมีเพลงฮิตใช่มั้ย?
แบบนี้ใช่มั้ยถึงจะเรียกว่าสำเร็จ ถึงจะมีความสุข?
ผมว่าจริงๆ แล้วการที่เราได้ขึ้นมาร้องเพลงบนเวที การที่เราได้หยิบกีตาร์มาร้องเพลงในร้านอาหาร
ผมว่าสิ่งนี้แหละคือความสำเร็จแล้ว
ถ้ากลับบ้านไป มีคนถามคุณว่าประสบความสำเร็จมั้ย?
ให้คุณตอบไปเลยว่าประสบความสำเร็จ ตั้งแต่วันที่กล้าก้าวเข้ามาประกวดบนเวทีแห่งนี้แล้ว
เพราะฉะนั้น ไม่มีเหตุผลเลยที่คุณจะหยุดร้องเพลง เพียงเพราะไม่ได้ถูกผมเลือกให้เข้ารอบต่อ "
สิ่งที่โค้ชสิงโตพูดในรายการ ทำให้ผมย้อนนึกถึงความสำเร็จในฐานะนักกฎหมาย ว่าดัชนี้ชี้วัดความสำเร็จของนักกฎหมายมันอยู่ตรงไหนกัน?
อย่างไหนเหรอที่เรียกว่าประสบความสำเร็จ? เราจำเป็นต้องสอบเข้ารับราชการเป็นผู้พิพากษาอัยการหรือเปล่า? ต้องเป็นทนาย
หรือที่ปรึกษากฎหมายรายได้เดือนละหลายแสนมั้ย? หรือต้องเป็นอาจารย์สอนกฎหมายมหาวิทยาลัยดังใช่หรือเปล่า?
ผมก็เหมือนเด็กๆหลายๆคน ที่ถูกสังคมปลูกฝังความสำเร็จในแบบที่ตายตัว
สมัยที่ผมเพิ่งเรียนจบใหม่ อยู่ในวัยฮอร์โมนเอสโตรเจนพุ่งพล่านไปด้วยความทะเยอทะยานและความฝัน
อยากร่ำรวยมีเงินทองและคนนับหน้าถือตา จึงก้มหน้าก้มตาทุ่มเททำงาน
แต่อยู่มาวันหนึ่งซึ่งเป็นหนึ่งในวันที่ชีวิตบัดซบมาก ทำงานอะไรก็ไม่ดีไปหมด กลับบ้านฝนก็ตก รถก็ติดในซอยไม่ขยับมาหลายชั่วโมง
ขณะที่ผมมองออกไปนอกหน้าต่างรถแท็กซี่ กลับพบชายวัยกลางคนกำลังอุ้มลูกชายเคียงข้างภรรยาขายลูกชิ้นทอดข้างถนน
ชี้ให้ลูกดูรถหรูราคาแพงที่กำลังติดไม่ขยับ หยอกล้อกับภรรยา และหัวเราะมีความสุขกับสิ่งแวดล้อมรอบๆตัว
ผมมองดูชายคนนั้นหัวเราะประหนึ่งว่าเขากำลังเยาะเย้ยมาที่พวกผมว่า
"นี่เหรอ คือ สิ่งที่พวกทุ่มเทเวลาทั้งชีวิตเพื่อไล่ตามมัน พวกอาจจะมีรถหรูราคาหลายสิบล้าน แต่ก็ยังไปหน้าปากซอยช้ากว่ากูเดินเสียอีก 5555"
ผมแอบตอบโต้ความคิดของผมในใจว่า "กูยังนั่งแท็กซี่อยู่เลย สัส! " 55
แต่ภาพที่เห็นตรงหน้ามันก็กระตุกต่อมความคิดผมเหมือนกันว่า
นี่หรือ คือ หนทางที่เราเลือกจะเดิน เป็นหนทางสู่ความฝันที่ต้องแลกมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยใช่มั้ย?
แล้ว.... ทำไมตอนนี้เราไม่มีความสุขวะ
เราดิ้นรนไล่ตามสิ่งที่คนทั่วไปมองว่าเป็นสิ่งบ่งชี้ความสำเร็จ เรามาถูกทางแล้ว แต่ทำไมเรายังเครียดทุกวัน
และดูเหมือนจะมากขึ้นเรื่อยๆ ทำไมเราไม่มีเวลาออกกำลังกายจนเจ็บป่วยออดๆแอดๆ?
แล้วครั้งสุดท้ายเรากลับบ้านไปหาพ่อแม่เมื่อไรนะ?
นี่แต่ละวันเราใช้เวลาอยู่กับใครไม่รู้มากกว่าอยู่กับคนที่เรารักเสียอีก
คิดได้อย่างนั้น ผมนี่ ตัวสั่น น้ำตาคลอเลยนะ
โชเฟอร์แท็กซี่เหมือนจะรู้ เพราะผมเห็นเหลือบมองผมจากกระจกส่องหลังอยู่บ่อยๆ แทบไม่คาดคิดว่าแกจะหันกลับมาปลอบใจผมว่า
"น้อง... เดี๋ยวลงไปต่อรถไฟฟ้าเร็วกว่านะ พี่จะรีบไปส่งรถ..."
ผมจ่ายเงินและลงจากแท็กซี่ด้วยหัวใจสั่นเทิ้ม ฝนยังคงไม่หยุดตก และผมก็เปียกปอนไปทั้งตัว เพราะไม่ได้พกร่มมา
มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้ผมเบิกบาน คือ อย่างน้อยผมรู้แล้วว่าดัชนีวัดความสำเร็จจริงๆแล้ว คือ อะไร ?
มันไม่ใช่วัดจากจำนวนเงินทอง ไม่ได้วัดจากความใหญ่โตของบ้าน หรือหน้าตาทางสังคม อะไรทั้งนั้น
แต่จริงๆแล้ว ดัชนีวัดความสำเร็จของเรา คือ ปริมาณความสุขจากสิ่งที่เรากำลังทุ่มเททำอยู่ ต่างหาก
หลายคนมีความสุขกับการทำงานเยอะๆ มีความสุขที่ตัวเองดูยุ่งตลอดเวลา
บางคนมีความสุขกับการเป็นที่สนใจ บางคนมีความสุขกับความร่ำรวย ยิ่งรวยยิ่งมีความสุข
ขณะที่บางคนอาจจะมีความสุขแบบพอเพียง มีความสุขกับเงินที่น้อยลงแต่เวลาที่มากขึ้น
และบางคนอาจจะมีความสุขกับการอยู่เพื่อช่วยเหลือสังคมและผู้อื่น
ของอย่างนี้มันชี้นำกันไม่ได้ ถ้าความรักจะออกแบบไม่ได้ ความสุขแต่ละคนก็ออกแบบไม่ได้เช่นกัน
และทำให้ดัชนีความสำเร็จของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันออกไป
อย่าเอาดัชนีความสำเร็จของตนเองไปวัดคนอื่น
ขณะที่อย่าเอาดัชนีความสำเร็จของคนอื่นมาใช้กับตัวเอง
สุดท้าย ขอจบการพร่ำเพ้อไปด้วยคำสอนขององค์ดาไลลามะ ที่ผมชอบมากๆ
"มนุษย์เรานี้ ยอมสูญเสียสุขภาพเพื่อทำให้ได้เงินมา แล้วต้องยอมสูญเสียเงินตรา เพื่อฟื้นฟูรักษาสุขภาพ
แล้วก็เฝ้าเป็นกังวลกับอนาคต จนไม่มีความรื่นรมย์กับปัจจุบัน
ผลที่เกิดขึ้นจริงๆ ก็คือ เขาไม่ได้อยู่กับปัจจุบันหรือแม้กระทั่งอยู่กับอนาคต
เขาดำเนินชีวิตเสมือนหนึ่งว่าเขาจะไม่มีวันตาย และแล้วเขาก็ตายอย่างไม่เคยมีชีวิตอยู่จริง"
ที่มา: https://www.facebook.com/newheartnewworld/