สองวันก่อนเวลาประมาณ 2 ทุ่มครึ่งกว่าๆ ได้มีโอกาสเข้าไปใช้บริการห้างสรรพสินค้า Big C สาขา สกลนคร ก็เดินเลือกซื้อสินค้าตามปรกติ บังเอิญเดินผ่านชั้นวางแปลงสีฟันยี่ห้อหนึ่ง ทางห้างขึ้นป้ายโชว์ราคาขายแพ็คละ 78 บาท
ผมก็เห็นว่าถูกดีเพราะมี 3 ด้าม เลยหยิบมา 2 แพ็ค เผื่อเอาให้เพื่อนฝูงหรือญาติพี่น้องใช้เวลามาพักที่บ้าน จากนั้นก็เดินเลือกซื้อสินค้าอีกไม่กี่อย่างแล้วก็ไปจ่ายเงินที่แคชเชียร์ พอน้องแคชเชียร์คิดเงินเสร็จก็แจ้งราคาสิ้นค้าทั้งหมด 389 บาท ผมก็สงสัยนิดๆอยู่ว่าของไม่กี่ชิ้น ทำไมราคาสูงกว่าที่กะไว้คร่าวๆนะ แต่ก็ยื่นบัตรเครดิตให้ เพราะผมดูไม่ทันว่าน้องเค้ายิงอะไรไปบ้าง ซึ่งโดยปรกติก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจที่จะดูอยู่แล้ว ซึ่งคิดว่าหลายๆท่านเองอาจจะเป็นแบบผมเหมือนกัน รอฟังแต่เวลารวมยอดราคาสินค้าทั้งหมดเท่านั้น แต่คราวนี้ของไม่กี่ชิ้นเลยทำให้ผมเอะใจ จึงได้ทำการตรวจสอบใบเสร็จดู ก็เห็นราคาแปลงสีฟันราคาแพ็คละ 98 บาท
ตอนแรกก็งงๆเพราะจำราคาที่แน่นอนตอนหยิบไม่ได้ เลยหันไปถามแฟนว่า แปลงสีฟันนี่มันแพ็คละเท่าไหร่กันแน่ แฟนก็บอกว่าน่าจะ 78 บาทนะ ผมก็เลยเดินกลับไปตรวจสอบที่ชั้นวางแปลงสีฟันเพื่อดูให้แน่ใจอีกครั้งว่าราคาเท่าไหร่กันแน่ ตกลงผมงงเองหรือราคาที่ติดมันทำให้ผมงงกันแน่ เพราะก็เคยมีบ่อยครั้งเหมือนกันที่ผมดูผิดไป ( คราวก่อนไปซื้อข้าวว่าจะมาหุงให้หมาที่บ้านกินสลับกับอาหารเม็ด เห็นราคาที่แขวนไว้ข้างบนถุงข้าวน่าจะ 85 กว่าๆนี้ละไม่แน่ใจ แต่เวลาไปคิดตังค์ดัน 180 กว่า พอเดินกลับไปดูอีกที ก็พยายามหาป้ายราคา ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะข้าวสารแบบถุงมันกองใหญ่มากและมีหลายยี่ห้อ จนในที่สุดก็สังเกตเห็นป้ายราคาเล็กๆด้านล่าง จึงทำให้รู้ว่าป้ายที่แขวนด้านบนกับด้านล่างมันไม่เหมือนกัน ป้ายด้านบนบางทีอาจจะมีแค่เอาไว้สับขาหลอก อันนี้ความคิดเห็นส่วนตัวนะ ^_^" )
พอเดินกลับไปดูก็เห็นราคาติดไว้ว่า 78 บาทนี่นา จึงได้ถ่ายรูปเก็บไว้ จากนั้นก็ได้เดินเข้าไปสอบถามพนักงานซึ่งใส่เสื้อสีขาวซึ่งยืนอยู่บริเวณด้านหน้าแคชเชียร์ว่า ทำไมราคาสินค้าในใบเสร็จกับราคาสินค้าที่ติดในแผ่นป้ายไม่เท่ากัน พร้อมโชว์ใบเสร็จและรูปราคาป้ายสินค้า จำไม่ได้ว่าตอนนั้นพนักงานได้เดินไปตรวจสอบหรือเปล่า แต่น้องพนักงานก็ได้พาไปที่เคาน์เตอร์รับฝากสิ่งของเพื่อที่จะ refund ประมาณนี้ และมีพนักงานเสื้อขาวอีกคนนึงได้วิทยุไปแจ้งให้ใครสักคนเอาป้ายสินค้าที่ติดไว้ลง จากนั้นน้องพนักงานที่เดินไปกับผมก็ถามว่าต้องการคืนสินค้าไหมหรือยังต้องการสินค้าอยู่ ถ้ายังต้องการก็สินค้าอยู่จะคืนเงินเงินส่วนต่างให้ (ยอมรับว่าตอนนั้นก็โมโหมากอยู่เหมือนกัน ไม่ได้เสียดายเงินหรอกแค่ 40 บาท ซื้อข้าวในห้างกินยังไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่เสียความรู้สึก เหมือนถูกโกง ถูกหลอกลวง ถูกเอารัดเอาเปรียบ อาจไม่ถึงดีกรีระดับความร้อนแรงเท่ากับโครงการรับจำนำข้าวแต่ก็ค่อนข้างเดือด ตอนนั้นคิดในใจถ้าไม่ใช่แค่ 40 บาทละ ถ้าสินค้าราคา 300 แต่ดันรูดไป 3 หมื่น ก็จะคืนส่วนต่างให้ 29,700 เป็นเงินสดเหรอ... )
สุดท้ายน้องเค้าก็คืนเงินนส่วนต่างมาให้ 40 พร้อมทำใบเสร็จแยกมาให้อีกใบตามรูป
หลังจากเดินออกจาก Big C วันนั้น ผมมีคำถามเกิดขึ้นในใจมากมาย ซึ่งบางทีก็อาจจะเป็นแค่ คำถามซึ่งไร้คนตอบ...
1. วันนั้นหากผมไม่เดินกลับไปดูราคาสินค้าอีกครั้งแต่ดันขับรถกลับบ้านมาเลย ทาง Big C สกลนคร จะรู้มั้ยน๊าว่าคิดเงินลูกค้าผิดไป
( มองโลกในแง่ดีนะ เอาแบบว่าโลกสวยละกัน Big C สกลนคร อาจจะเกิดพบความผิดปรกติจากอะไรสักอย่างก็ช่างมัน จากนั้นก็ อาจจะโอนเงินคืนเข้าในบัญชีผม และทุกๆ คน ก่อนหน้านี้... หึ หึ )
2. ช่วงเวลาที่ผมไปซื้อของก็ค่อนข้างจะเย็นมากแล้ว ไม่แน่ใจว่าป้ายสินค้า กับราคาที่แคชเชียร์ปรับเปลี่ยนจนไม่ตรงกันตั้งแต่เมื่อไหร่
ตั้งแต่เช้าเลยหรือเปล่า แล้วมีกี่คนแล้วที่ซื้อไป ส่วนต่าง 1 แพ็ค 20 บาท 10 แพ็ค 200 บาท 100 แพ็ค 2,000 บาท ป้ายนี้ติดมากี่วันแล้ว? และยังจะติดต่อไปอีกกี่วันถ้าไม่มีลูกค้าทักท้วง ??? เข้าข่ายหลอกลวงผู้บริโภคหรือเปล่า??? ก็ไม่รู้สินะไม่ค่อยรู้กฎหมาย
3. เป็นหน้าที่ของลูกค้าหรือเปล่าที่ต้องตรวจสอบและจดจำราคาสินค้าที่โชว์ว่าตรงกับบนใบเสร็จทุกครั้ง??? เพราะผมเองก็ไม่เคยตรวจเช็คเลย เวลาที่ซื้อสินค้าเต็มรถเข็น หรือเวลาซื้อสินค้ามากๆ ถ้าใช่แล้วแบบนี้จะเชื่อใจกันต่อไปได้ยังไง!!!
ผมไม่อยากให้เรื่องนี้จบไปแบบง่ายๆเหมือนที่คนไทยชอบทำกัน ทำเป็น ขอๆหยวนๆกันไป สุดท้ายเรื่องก็เงียบ พอขอไม่ได้ก็พูด คนไทยหรือเปล่า ซึ่งมันค่อนข้างเหมือนตลกร้าย อยากให้ประสบการณ์ของผมเป็นบทเรียนแก่อีกหลายๆคน ที่ชอบทำอะไรแบบง่ายๆ ไม่ชอบความยุ่งยาก แต่ก็ไม่อยากให้ไปโทษพนักงานตัวเล็กๆ แค่คนสองคน “ไม่มีไพร่พลเลว มีแต่แม่ทัพนายกองที่เลว”
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน!! เอาที่สบายใจก็แล้วกัน ♡.(^_^)?
สะเพร่าหรือเจตนาอย่างจงใจ Big C สกลนคร
ผมก็เห็นว่าถูกดีเพราะมี 3 ด้าม เลยหยิบมา 2 แพ็ค เผื่อเอาให้เพื่อนฝูงหรือญาติพี่น้องใช้เวลามาพักที่บ้าน จากนั้นก็เดินเลือกซื้อสินค้าอีกไม่กี่อย่างแล้วก็ไปจ่ายเงินที่แคชเชียร์ พอน้องแคชเชียร์คิดเงินเสร็จก็แจ้งราคาสิ้นค้าทั้งหมด 389 บาท ผมก็สงสัยนิดๆอยู่ว่าของไม่กี่ชิ้น ทำไมราคาสูงกว่าที่กะไว้คร่าวๆนะ แต่ก็ยื่นบัตรเครดิตให้ เพราะผมดูไม่ทันว่าน้องเค้ายิงอะไรไปบ้าง ซึ่งโดยปรกติก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจที่จะดูอยู่แล้ว ซึ่งคิดว่าหลายๆท่านเองอาจจะเป็นแบบผมเหมือนกัน รอฟังแต่เวลารวมยอดราคาสินค้าทั้งหมดเท่านั้น แต่คราวนี้ของไม่กี่ชิ้นเลยทำให้ผมเอะใจ จึงได้ทำการตรวจสอบใบเสร็จดู ก็เห็นราคาแปลงสีฟันราคาแพ็คละ 98 บาท
ตอนแรกก็งงๆเพราะจำราคาที่แน่นอนตอนหยิบไม่ได้ เลยหันไปถามแฟนว่า แปลงสีฟันนี่มันแพ็คละเท่าไหร่กันแน่ แฟนก็บอกว่าน่าจะ 78 บาทนะ ผมก็เลยเดินกลับไปตรวจสอบที่ชั้นวางแปลงสีฟันเพื่อดูให้แน่ใจอีกครั้งว่าราคาเท่าไหร่กันแน่ ตกลงผมงงเองหรือราคาที่ติดมันทำให้ผมงงกันแน่ เพราะก็เคยมีบ่อยครั้งเหมือนกันที่ผมดูผิดไป ( คราวก่อนไปซื้อข้าวว่าจะมาหุงให้หมาที่บ้านกินสลับกับอาหารเม็ด เห็นราคาที่แขวนไว้ข้างบนถุงข้าวน่าจะ 85 กว่าๆนี้ละไม่แน่ใจ แต่เวลาไปคิดตังค์ดัน 180 กว่า พอเดินกลับไปดูอีกที ก็พยายามหาป้ายราคา ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะข้าวสารแบบถุงมันกองใหญ่มากและมีหลายยี่ห้อ จนในที่สุดก็สังเกตเห็นป้ายราคาเล็กๆด้านล่าง จึงทำให้รู้ว่าป้ายที่แขวนด้านบนกับด้านล่างมันไม่เหมือนกัน ป้ายด้านบนบางทีอาจจะมีแค่เอาไว้สับขาหลอก อันนี้ความคิดเห็นส่วนตัวนะ ^_^" )
พอเดินกลับไปดูก็เห็นราคาติดไว้ว่า 78 บาทนี่นา จึงได้ถ่ายรูปเก็บไว้ จากนั้นก็ได้เดินเข้าไปสอบถามพนักงานซึ่งใส่เสื้อสีขาวซึ่งยืนอยู่บริเวณด้านหน้าแคชเชียร์ว่า ทำไมราคาสินค้าในใบเสร็จกับราคาสินค้าที่ติดในแผ่นป้ายไม่เท่ากัน พร้อมโชว์ใบเสร็จและรูปราคาป้ายสินค้า จำไม่ได้ว่าตอนนั้นพนักงานได้เดินไปตรวจสอบหรือเปล่า แต่น้องพนักงานก็ได้พาไปที่เคาน์เตอร์รับฝากสิ่งของเพื่อที่จะ refund ประมาณนี้ และมีพนักงานเสื้อขาวอีกคนนึงได้วิทยุไปแจ้งให้ใครสักคนเอาป้ายสินค้าที่ติดไว้ลง จากนั้นน้องพนักงานที่เดินไปกับผมก็ถามว่าต้องการคืนสินค้าไหมหรือยังต้องการสินค้าอยู่ ถ้ายังต้องการก็สินค้าอยู่จะคืนเงินเงินส่วนต่างให้ (ยอมรับว่าตอนนั้นก็โมโหมากอยู่เหมือนกัน ไม่ได้เสียดายเงินหรอกแค่ 40 บาท ซื้อข้าวในห้างกินยังไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่เสียความรู้สึก เหมือนถูกโกง ถูกหลอกลวง ถูกเอารัดเอาเปรียบ อาจไม่ถึงดีกรีระดับความร้อนแรงเท่ากับโครงการรับจำนำข้าวแต่ก็ค่อนข้างเดือด ตอนนั้นคิดในใจถ้าไม่ใช่แค่ 40 บาทละ ถ้าสินค้าราคา 300 แต่ดันรูดไป 3 หมื่น ก็จะคืนส่วนต่างให้ 29,700 เป็นเงินสดเหรอ... )
สุดท้ายน้องเค้าก็คืนเงินนส่วนต่างมาให้ 40 พร้อมทำใบเสร็จแยกมาให้อีกใบตามรูป
หลังจากเดินออกจาก Big C วันนั้น ผมมีคำถามเกิดขึ้นในใจมากมาย ซึ่งบางทีก็อาจจะเป็นแค่ คำถามซึ่งไร้คนตอบ...
1. วันนั้นหากผมไม่เดินกลับไปดูราคาสินค้าอีกครั้งแต่ดันขับรถกลับบ้านมาเลย ทาง Big C สกลนคร จะรู้มั้ยน๊าว่าคิดเงินลูกค้าผิดไป
( มองโลกในแง่ดีนะ เอาแบบว่าโลกสวยละกัน Big C สกลนคร อาจจะเกิดพบความผิดปรกติจากอะไรสักอย่างก็ช่างมัน จากนั้นก็ อาจจะโอนเงินคืนเข้าในบัญชีผม และทุกๆ คน ก่อนหน้านี้... หึ หึ )
2. ช่วงเวลาที่ผมไปซื้อของก็ค่อนข้างจะเย็นมากแล้ว ไม่แน่ใจว่าป้ายสินค้า กับราคาที่แคชเชียร์ปรับเปลี่ยนจนไม่ตรงกันตั้งแต่เมื่อไหร่
ตั้งแต่เช้าเลยหรือเปล่า แล้วมีกี่คนแล้วที่ซื้อไป ส่วนต่าง 1 แพ็ค 20 บาท 10 แพ็ค 200 บาท 100 แพ็ค 2,000 บาท ป้ายนี้ติดมากี่วันแล้ว? และยังจะติดต่อไปอีกกี่วันถ้าไม่มีลูกค้าทักท้วง ??? เข้าข่ายหลอกลวงผู้บริโภคหรือเปล่า??? ก็ไม่รู้สินะไม่ค่อยรู้กฎหมาย
3. เป็นหน้าที่ของลูกค้าหรือเปล่าที่ต้องตรวจสอบและจดจำราคาสินค้าที่โชว์ว่าตรงกับบนใบเสร็จทุกครั้ง??? เพราะผมเองก็ไม่เคยตรวจเช็คเลย เวลาที่ซื้อสินค้าเต็มรถเข็น หรือเวลาซื้อสินค้ามากๆ ถ้าใช่แล้วแบบนี้จะเชื่อใจกันต่อไปได้ยังไง!!!
ผมไม่อยากให้เรื่องนี้จบไปแบบง่ายๆเหมือนที่คนไทยชอบทำกัน ทำเป็น ขอๆหยวนๆกันไป สุดท้ายเรื่องก็เงียบ พอขอไม่ได้ก็พูด คนไทยหรือเปล่า ซึ่งมันค่อนข้างเหมือนตลกร้าย อยากให้ประสบการณ์ของผมเป็นบทเรียนแก่อีกหลายๆคน ที่ชอบทำอะไรแบบง่ายๆ ไม่ชอบความยุ่งยาก แต่ก็ไม่อยากให้ไปโทษพนักงานตัวเล็กๆ แค่คนสองคน “ไม่มีไพร่พลเลว มีแต่แม่ทัพนายกองที่เลว”
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน!! เอาที่สบายใจก็แล้วกัน ♡.(^_^)?