สวัสดีค่ะ นี่เป็นกระทู้แรกของเราในพันธ์ทิพย์ จะขอแนะนำตัวเป็นอย่างแรกเลยละกัน
ชื่อหวานนะคะ ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่คณะนิเทศศาสตร์ จุฬา ปี3 แล้วว ปีหน้าฝึกงาน TT
มือใหม่หัดถ่ายรูป รูปอาจจะกากบ้างอะไรบ้างโปรดอภัย รูปที่มีชื่อคือรูปที่ถ่ายเอง ส่วนอื่นๆคือหามาเพิ่มเติมค่ะ
Canonn 650d
18-55mm f3.5/5.6
มีบางรูปเป็น fix 50mm f1.8 แต่ทำแตกระหว่างทาง เฟล T____________T
นี่เป็นครั้งแรกของเราในการไปเที่ยวอินเดีย หลังจากมีแต่แม่ที่เคยไปแล้วมาเล่าให้เราฟังแบบเมามันส์
การได้ไปอินเดียครั้งนี้เริ่มมากจาก เรากับเพื่อนชนะการประกวดหนังสั้น Living In Harmony
ร่วมกับมูลนิธิ Path2Heath และ WHO เลยมีโอกาสได้ไปเที่ยวอินเดียแบบฟรี ฟรี๊!!
เลยต้องขออภัยล่วงหน้าที่ไม่สามารถบอกค่าใช้จ่ายโดยรวมได้ แต่จะบอกเท่าที่ได้จ่ายเองล่ะกัน
สุขขีสโมสรมาก แม้การบ้านวิชาเรียนรุมทึ้งก็อย่าได้หวั่น รออะไรล่ะคะ
Let's go!!!!!!!!!
เที่ยวบินที่เราไปคือการบินไทย เที่ยวบินอะไรจำไม่ได้ เริ่มได้กลิ่นไอความเป็นอินเดียตั้งแต่ที่สนามบิน
มีคนอินเดียมากมายรอกลับประเทศ และนักท่องเที่ยวเครื่องออกตอนสองทุ่ม(เวลาไทย) ถึงอินเดียประมาณสี่ทุ่ม(อินเดีย)
ที่อินเดียเวลาจะช้ากว่าที่ไทย 1ชั่วโมงครึ่งค่ะ สิ่งแรกที่รู้ว่ามาถึงอินเดียแล้วถ้าไม่นับคนอินเดียก็คืออากาศค่ะ ใช่ค่ะอินเดีย
เป็นประเทศที่มีมลภาวะสูงที่สุดในโลก ถ้าคิดไม่ออกลองนึกถึงคุณยืนอยู่ใต้ปล่องควันโรงงาน
ไม่ก็ถ้าประเทศไทยพีคสุด เหม็นสุด 120 อินเดียก็คูณไปอีก 7 เท่า เนื่องจากช่วงที่เราไปอากาศเริ่มเย็นแล้ว
มวลมลภาวะเลยลอยต่ำมาก มีหมอกเต็มไปหมด ไม่ใช้หมอกไอน้ำนะคะ มันคือหมอกคาร์บอนมอนออกไซด์ ใครคิดจะไปอินเดีย
หน้ากากอนามัยเป็นสิ่งจำเป็นมาก ควรพกติดตัวอย่างยิ่ง เอาไปหลายๆอันเลย หลังจากออกจากสนามบินเราก็ขึ้นรถของโรงแรม
ไปที่โรงแรมกันค่ะ โรงแรมที่เราพักชื่อ Tajmahal Hotel,Newdelhi ใครที่พอมีงบแนะนำเลยค่ะ ดีมากจริงๆ
ที่โรงแรมจะมีการต้อนรับแบบอินเดียคือเค้าจะเอาถาดใส่เทียนหอมมาวนรอบๆหน้าเรา แล้วก็คล้องดอกไม้ต้อนรับ
งงๆแต่ก็เออๆออๆห่อหมกไป น่ารักดีค่ะ
วันแรกของการเริ่มทริปคณะของเรา(ไปกัน 12คน)เดินทางไปที่ WHO เพื่อพรีเซ้นหนังกัน เราได้กินอาหารอินเดียมื้อแรกจาก
โรงอาหารของ WHO ราคาอยู่ที่ 65 รูบีแล้วแต่สั่ง ประมาณ 30 บาทไทยค่ะ ถูกมากๆ
คนอินเดียเกิน 50% ของประเทศเป็นมัง เราจะเจออาหารมังหลายหลายสีสันในประเทศนี้ได้ไม่ยาก
เรียกได้ว่าหาง่ายกว่าเนื้อสัตว์อีก ส่วนเนื้อกับหมูอย่าหวังว่าจะเจอถ้าไม่ใช่อาหารนานาชาติ
ส่วนมากที่นี่จะทานเนื้อแกะ ไก่ ไม่ก็เนื้อควายค่ะ
หลังจากอิ่มหนำ เราก็ไปที่มหาวิทยาของอินเดียแผนก IIMC เรียนเหมือนนิเทศบ้านเรามั้ย
ก็ไม่นะคะพวกเค้าจะเรียนเน้นไปที่ Jounalism มากกว่าเรียนรวมๆกันค่ะ
นักเรียนที่นี่เก่งมาก ฉลาดมาก ประเทศอินเดียไม่ต้องกลัวว่าจะสื่อสารไม่รู้เรื่องนะคะ อย่างน้อยไปที่ที่ไม่ชนบทมาก
พูดภาษาอังกฤษได้แน่นอนค่ะ แต่ว่าจะฟังออกมั้ยนั่นก็อีกเรื่อง 555555 ตกเย็นเราไปทานอาหารกันที่ Khan Market
ร้าน Big Chill เป็นร้านอาหารฝรั่ง ใครกินอาหารอินเดียไม่ได้ แนะนำร้านนี้เลยค่ะ อร่อยเหาะจริงๆ
ค่าอาหารจะค่อนข้างสูงหน่อย ตกประมาณจานละ 450-500 รูปี ไม่ร่วม Tax นะคะ ยิ่งร้านดีดี Tax แพงมากก
มี Luxury Tax ด้วย สรุปแล้วค่าอาหารมื้อนี้จ่ายไปประมาณ 700-800 รูปีต่อคน ประมาณ 350 บาทค่ะ
แต่อร่อยมากจริงๆ น้ำหูน้ำตาไหล
วันที่สองวันที่พีคที่สุดของทริปเรา เราจะไปสลัมกันค่าาาาาา!
หากใครเคยดู Slamdog คงพอจะเคยเห็นสลัมในอินเดียมาบ้าง คิดว่าในหนังน่าจะเป็นที่มุมไบ(ไม่เคยดู แหะๆ)
ลักษณะของมุมไปคือ ตึกสลับสลัม เพราะอะไรทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ก็เพราะคนงานมาสร้างตึก
เค้าก็สร้างบ้านอยู่ สร้างเสร็จก็ไม่กลับเลย(อ้าว?) เราจึงเห็นสลัมอยู่ทั่วไปหมดในประเทศนี้
สลัมที่เราไปอยู่ที่ เมือง Delhi ค่ะไม่ใช่ New Delhi จริงๆสองเมืองนี้ก็คล้ายๆว่าเป็นเมืองเดียวกันแหละ
แต่ก่อน Delhi มีลักษณะเป็นแอ่ง พายุทรายโหมกระหน่ำทุกปี(เมืองนี้ห้ามสร้างตึกสูง)
จึงมี New Delhi เป็นที่อยู่ของตึกสูง คอยกั้นพายุ แต่ถึงอย่างนั้นเดลีก็ยังเป็นเมืองที่ฝุ่นเยอะมากอยู่ดี
ปาดทีหนาเป็นปื๊ดดดดดดด ขับรถออกจากโรงแรมมาสู่ใจกลางเมืองที่ไม่ใช่ย่านช้อปปิ้งอย่างสยามหรือเอมควอเตียร์
แต่มันคือ สลัม สลัมค่าาาท่านผู้ชม สลัมอยู่กลางเมือง รู้ได้ไงว่าถึงสลัมแล้ว คุณจะเริ่มเห็น ฝุ่นหนาตลบ ขยะลอยมา
ผู้คนขี่จักรยานไปทำงานจำนวณมาก เสียงแตรแป้นแป้นนนนนนนนนน แป้นแป้นจริงๆคนอินเดียไม่ดูสัญญาณไฟท้ายกันนะคะ
เค้าใช้แตรในการสื่อสัญญาณกัน พูดเลยว่าใครแตรเบาแพ้อะ ไม่ Strong!
ตอนนั่งรถ ก็มีกลุ่มเด็กๆกายกรรมมาเต้นตีลังกาม้วนตัวไปมาเพื่อขอตังค์ แม้จากอยากให้ยังไงก็ไม่ควรให้มากๆเลยนะคะ
ไม่งั้นคุณอาจจะเจอกองทัพเด็กจากไหนไม่รู้มารุมทึ้งจนคุณหมดตัวได้ ชื่นชมอย่างเดียวพอ เค้าอาจจะวิ่งตามคุณอีกซักพัก
อย่าไปสนใจ ห้ามสบตาใครมั่วซั่ว ไม่มีมาปิ้งปั้งนะคะนางจะเดินมาขอเงินคุณทันที เออแต่บางครั้งก็มีส่งสายตาปิ้งปั้งอยู่นะ 55555
คนอินเดียฮิปสเตอร์ตัวจริงค่ะ ไม่มีกระแสอะไรทั้งนั้น นางนอนตรงเกาะกลางสี่แยกอ่านหนังสือสบายใจเชิบ มีที่ไหนกัน ก็ที่นี่ไง 0.0
เค้าเป็นคนเปิดเผยกันมาก ยิ้มง่าย ชอบก็แสดงออกว่าชอบ หลอกขอจับมือนี่ปกติ อย่าไปคิดไรมาก ขำๆไป
มุข Nice to meet you นี่มาตลอด อย่าคิดว่าไม่รู้นะ หึหึ
มาถึงสลัมเราไปที่โรงเรียนในสลัมกันก่อน ไปแลกเปลี่ยนเล่นกับน้องๆ เด็กที่นี่จะอยู่ชั้นประถมกันส่วนใหญ่
สูงสุดก็ ป.6 เด็กๆน่ารักมาก ตอนแรกเรากับเพื่อนๆสอนให้รำวงกัน ไปไปมาๆนางเต้นฮินดีกันมันส์มาก
เสียงดังลั่นไปหมด น่ารักมากๆจริงๆ
ออกจากโรงเรียนเราก็ไปศูนย์พัฒนาคอมพิวเตอร์และภาษาอังกฤษ คล้ายๆกับเรียนพิเศษวิชาคอมฯกับอังกฤษ
เราได้ไปคลาสอังกฤษ นักเรียนบางคนอายุเท่าเราบางคนก็แก่กว่า ทุกๆคนตื่นเต้นกันมาก เราก็ตื่นเต้น
คุยกันถึงเรื่องอาหารออกรสออกชาติมาก เราเลยให้เค้าช่วยแนะนำอาหารอินเดียให้หน่อย
นางก็ใจดีลิสมากให้เกือบทั้งประเทศ คำนิยามสำหรับอาหารอินเดียคือ แกงเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือแป้ง ยังไงโปรดติดตาม 5555
หลังจากไปสถานศึกษาหมดแล้วก็ไปต่อที่สลัม เดอะเรียลสลัมที่เราไปเป็นโซนของคนชั้นกลาง ภาพแรกคือเมืองที่โดนบอมบ์แต่มีคนอยู่
ตึกเป็นลักษณะปูนเปลือย ทาสีหยาบๆแต่มีเสน่ห์ ฝุ่นตลบอบอวน วันที่เราไปค่ามลพิษสูงมากจนเกือบตาย
อาจารย์จาก WHO เล่าให้ฟังว่า ที่เค้าติดแอร์ไม่ใช่ไรนะ กันอากาศเข้ามาในห้อง แต่นั่นแหละมันทำให้คนจนอยู่ยากขึ้น
ความเป็นอยู่ของชนชั้นกลางในอินเดียเรียกง่ายๆว่าฟรีแลนซ์ ไม่ใช่ฟรีแลนซ์แบบบ้านเรา คุณเลือกรับงานไม่ได้
แต่งานอะไรมา ต้องรับหมดไม่งั้นอดตาย ตั้งแต่ช่างไฟ ช่างซ่อม ช่างขัดรองเท้า ช่างขัดส้วม ทุกอย่างจริงๆ Multiskill สุดๆ
ไม่แปลกใจทีคนเค้าเป็นเจ้าไอที นางทำได้ทุกอย่างจริงๆ ที่อยู่เป็นแบบตึกแคบๆมีหลายๆห้องแคบๆ หนึ่งห้องแคบๆหนึ่งครอบครัว
ครอบครัวละ 4-6 คนแล้วแต่ ค่าเช่าต่างกันไป ค่าน้ำค่าไฟต่างหาก ระหว่างทางที่เราไปมีคนต่อแถวยาวๆมากๆ ถามได้ความว่า
เค้ามาต่อแถวซื้ออาหารจากรัฐบาลในราคาถูกกัน ที่นี่น้ำก็ต้องซื้อนะ นานๆจะมีรถขนน้ำเข้ามา ซื้อเป็นกระป๋องๆ
เรื่องอาบน้ำเช้าเย็นลืมไปได้เลย ล่าสุดตอนนี้มีท่อน้ำเข้ามาแล้ว แต่น้ำยังไม่มา(เอ๋?)
เราไปเยี่ยมบ้านเด็กสองคนจากโรงเรียน ที่นี่อยู่กันแบบธรรมชาติมาก ไฟธรรมชาติ สายลมแสงแดด
ผู้คนไปมาหาสู่กัน เป็นชุมชนที่อบอุ่น ครอบครัวนึงมีลูกเยอะมากเพราะไม่สามาถคุมกำเนิดได้ ทำได้ก็ยาก
การแต่งงาน ผู้หญิงต้องหาเงินมาสู่ขอผู้ชายแล้วแต่ตามตกลง พอหลังแต่งงานผู้ชายจะเป็นคนหาเงินเข้าบ้าน
ผู้หญิงส่วนมากเป็นแม่บ้านเลี้ยงลูก สำหรับการมาสลัมครั้งแรกภาพสลัมในหัวเรากับการมาสลัมจริงๆมันต่างกัน
มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดผู้คนก็ไม่ได้โหด อย่างที่เคยได้ยินกันเพียงแค่เราต้องรู้จักกาละเทศะศึกษาให้ดีก่อนไป
ที่นี่มีอะไรให้เราศึกษา และเรียนรู้มากอย่างไม่น่าเชื่อ ที่เขียนมาเป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งจริงๆมีมากกว่านี้มากๆ
อยากให้ทุกคนได้ไปลองสัมผัสกัน ออกจากสลัมไปต่อกันที่ห้างสุดหรูใกล้ๆสลัม ใช่ค่ะฟังไม่ผิดใกล้ๆสลัมเลย
แต่คุณจะไม่เจอคนสลัมเดินเล่นหรอกนะ ไม่มีทาง เป็นอีกอย่างที่ทำให้เราได้เห็นความแตกต่างในประเทศนี้อย่างชัดเจน
หลังจากทานข้าวเรียบร้อยเราก็ไปต่อกันที่กุตุ๊มีนา เป็นหอคอยห้าชั้นเมื่อก่อนให้คนขึ้นได้
แต่มีคนพิเรนท์ไปตะโกนว่าไฟไหม้ คนกรูลงมาเหยียบกันตาย เลยบายห้ามขึ้นแล้ว
และ Indian Gate สวยมากปังมาก อังกฤษเป็นคนสร้างตอนสมัยอาณานิคม ไม่ต้องไปถึงฝรั่งเศษก็มีซุ้มประตูเหมือนกัน
ที่กุตุ๊ปมีนา เราเจอกลุ่มเด็กผู้หญิงมารุมขอถ่ายรูปเรา จนเราตกใจ นางให้เราพ้อยต์ขา จือปากโอเค สามสี่จือออออ
สืบความได้ว่าคนอินเดียตื่นเต้นกับชาวต่างชาติมาก นางจะมาถ่ายรูปเอาไปอวดว่ามีเพื่อนเป็นคนต่างชาติ
โอเค งงๆแต่ก็โอเค 555555555
วันสุดท้ายของการเดินทางเรากลับไปถกประเด็นที่ WHO อีกรอบ การมาอินเดียครั้งของเราตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย
กล้าพูดเลยว่ามันเปลี่ยนไปจริงๆ มันมีเหตุผลที่ทำให้ประเทศนี้เป็นศูนย์กลางอารยธรรม มากกว่าแค่เสียเงินมาเที่ยว
แต่คุณจะได้อะไรกลับไปมากกว่านั้นจริงๆ ก่อนกลับเราแวะไปช้อปปิ้งและทานอาหารอินเดียมื้อสุดท้ายที่ถนนจัมปั๊ด
ของถูกมาก ต่อได้ครึ่งต่อครึ่งใจแข็งๆไว้ โซฟินโซบันเทิงมาก ถ้าโดนแกล้งก็เฉยๆไว้ ดึงหน้าไว้ STRONG!
คนอินเดียขี้แกล้งมาก แง แกล้งเค้าทำไม TT แถมขายของแบบฮาร์ทเซลล์สุดๆ เอาเป็นใครเคยไปจีนก็ฟีลลิ่งนั้น
สินค้าคุณภาพดีราคาถูกแนะนำ ลิปมัน Himalaya เมืองไทยร้อยกว่า อินเดีย 15 บาท ขนมาเป็นลังๆ ฟิน ฮรี๊
สุดท้ายนี้ขอฝากคำแนะนำจากเราถ้าจะไปอินเดีย ห้ามไปคนเดียวถ้าไม่เซียน ควรวางแผนให้ดี การเที่ยวแบบอันแพลน
ไม่เหมาะกับที่นี่ จะถ่ายใครดูให้ดีไม่ควรถ่ายมั่วซั่ว(เผลอๆค่อยชัตเตอร์รัวๆ 5555)
ผู้หญิงไม่ควรเดินคนเดียวเปล่าเปลี่ยวเป็นเอมวีอกหัก ข้ามถนนข้ามให้ไวข้ามให้เร็ว จับมือกันได้จับ นางไม่มีเบรกนะจ๊ะ
การข้ามถนนที่อินเดียถือเป็นสตรองเควสสุด สุดตินจริง 555555 เจอขอทาน คนมาขอเงินอย่าให้ ไม่งั้นจะเกิดขบวนการดาวกระจาย
ไปอินเดียใจต้องแข็ง พกทิชชู่เปียกและหน้ากากอนามัยไว้ น้ำขวดคือสิ่งจำเป็น อาหารอินเดียอุดมไปด้วยแป้ง
อาจจะเกิดแก๊สในกะเพาะมหาศาล แอร์เอ๊กช่วยคุณได้ รสชาติค่อนไปทางเผ็ดร้อน ลองดูมันดยีเจรงเจรงงงงงงงง
และสุดท้ายของสุดท้าย "ไปเหอะมันส์เจรงงงงงงงงงงงง"
[INDIA FIRST TIME] อินเดียอินดี้จั๊กจี้หัวใจสลัมอะไรไปมาหมด
สวัสดีค่ะ นี่เป็นกระทู้แรกของเราในพันธ์ทิพย์ จะขอแนะนำตัวเป็นอย่างแรกเลยละกัน
ชื่อหวานนะคะ ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่คณะนิเทศศาสตร์ จุฬา ปี3 แล้วว ปีหน้าฝึกงาน TT
มือใหม่หัดถ่ายรูป รูปอาจจะกากบ้างอะไรบ้างโปรดอภัย รูปที่มีชื่อคือรูปที่ถ่ายเอง ส่วนอื่นๆคือหามาเพิ่มเติมค่ะ
Canonn 650d
18-55mm f3.5/5.6
มีบางรูปเป็น fix 50mm f1.8 แต่ทำแตกระหว่างทาง เฟล T____________T
นี่เป็นครั้งแรกของเราในการไปเที่ยวอินเดีย หลังจากมีแต่แม่ที่เคยไปแล้วมาเล่าให้เราฟังแบบเมามันส์
การได้ไปอินเดียครั้งนี้เริ่มมากจาก เรากับเพื่อนชนะการประกวดหนังสั้น Living In Harmony
ร่วมกับมูลนิธิ Path2Heath และ WHO เลยมีโอกาสได้ไปเที่ยวอินเดียแบบฟรี ฟรี๊!!
เลยต้องขออภัยล่วงหน้าที่ไม่สามารถบอกค่าใช้จ่ายโดยรวมได้ แต่จะบอกเท่าที่ได้จ่ายเองล่ะกัน
สุขขีสโมสรมาก แม้การบ้านวิชาเรียนรุมทึ้งก็อย่าได้หวั่น รออะไรล่ะคะ
Let's go!!!!!!!!!
เที่ยวบินที่เราไปคือการบินไทย เที่ยวบินอะไรจำไม่ได้ เริ่มได้กลิ่นไอความเป็นอินเดียตั้งแต่ที่สนามบิน
มีคนอินเดียมากมายรอกลับประเทศ และนักท่องเที่ยวเครื่องออกตอนสองทุ่ม(เวลาไทย) ถึงอินเดียประมาณสี่ทุ่ม(อินเดีย)
ที่อินเดียเวลาจะช้ากว่าที่ไทย 1ชั่วโมงครึ่งค่ะ สิ่งแรกที่รู้ว่ามาถึงอินเดียแล้วถ้าไม่นับคนอินเดียก็คืออากาศค่ะ ใช่ค่ะอินเดีย
เป็นประเทศที่มีมลภาวะสูงที่สุดในโลก ถ้าคิดไม่ออกลองนึกถึงคุณยืนอยู่ใต้ปล่องควันโรงงาน
ไม่ก็ถ้าประเทศไทยพีคสุด เหม็นสุด 120 อินเดียก็คูณไปอีก 7 เท่า เนื่องจากช่วงที่เราไปอากาศเริ่มเย็นแล้ว
มวลมลภาวะเลยลอยต่ำมาก มีหมอกเต็มไปหมด ไม่ใช้หมอกไอน้ำนะคะ มันคือหมอกคาร์บอนมอนออกไซด์ ใครคิดจะไปอินเดีย
หน้ากากอนามัยเป็นสิ่งจำเป็นมาก ควรพกติดตัวอย่างยิ่ง เอาไปหลายๆอันเลย หลังจากออกจากสนามบินเราก็ขึ้นรถของโรงแรม
ไปที่โรงแรมกันค่ะ โรงแรมที่เราพักชื่อ Tajmahal Hotel,Newdelhi ใครที่พอมีงบแนะนำเลยค่ะ ดีมากจริงๆ
ที่โรงแรมจะมีการต้อนรับแบบอินเดียคือเค้าจะเอาถาดใส่เทียนหอมมาวนรอบๆหน้าเรา แล้วก็คล้องดอกไม้ต้อนรับ
งงๆแต่ก็เออๆออๆห่อหมกไป น่ารักดีค่ะ
วันแรกของการเริ่มทริปคณะของเรา(ไปกัน 12คน)เดินทางไปที่ WHO เพื่อพรีเซ้นหนังกัน เราได้กินอาหารอินเดียมื้อแรกจาก
โรงอาหารของ WHO ราคาอยู่ที่ 65 รูบีแล้วแต่สั่ง ประมาณ 30 บาทไทยค่ะ ถูกมากๆ
คนอินเดียเกิน 50% ของประเทศเป็นมัง เราจะเจออาหารมังหลายหลายสีสันในประเทศนี้ได้ไม่ยาก
เรียกได้ว่าหาง่ายกว่าเนื้อสัตว์อีก ส่วนเนื้อกับหมูอย่าหวังว่าจะเจอถ้าไม่ใช่อาหารนานาชาติ
ส่วนมากที่นี่จะทานเนื้อแกะ ไก่ ไม่ก็เนื้อควายค่ะ
หลังจากอิ่มหนำ เราก็ไปที่มหาวิทยาของอินเดียแผนก IIMC เรียนเหมือนนิเทศบ้านเรามั้ย
ก็ไม่นะคะพวกเค้าจะเรียนเน้นไปที่ Jounalism มากกว่าเรียนรวมๆกันค่ะ
นักเรียนที่นี่เก่งมาก ฉลาดมาก ประเทศอินเดียไม่ต้องกลัวว่าจะสื่อสารไม่รู้เรื่องนะคะ อย่างน้อยไปที่ที่ไม่ชนบทมาก
พูดภาษาอังกฤษได้แน่นอนค่ะ แต่ว่าจะฟังออกมั้ยนั่นก็อีกเรื่อง 555555 ตกเย็นเราไปทานอาหารกันที่ Khan Market
ร้าน Big Chill เป็นร้านอาหารฝรั่ง ใครกินอาหารอินเดียไม่ได้ แนะนำร้านนี้เลยค่ะ อร่อยเหาะจริงๆ
ค่าอาหารจะค่อนข้างสูงหน่อย ตกประมาณจานละ 450-500 รูปี ไม่ร่วม Tax นะคะ ยิ่งร้านดีดี Tax แพงมากก
มี Luxury Tax ด้วย สรุปแล้วค่าอาหารมื้อนี้จ่ายไปประมาณ 700-800 รูปีต่อคน ประมาณ 350 บาทค่ะ
แต่อร่อยมากจริงๆ น้ำหูน้ำตาไหล
วันที่สองวันที่พีคที่สุดของทริปเรา เราจะไปสลัมกันค่าาาาาา!
หากใครเคยดู Slamdog คงพอจะเคยเห็นสลัมในอินเดียมาบ้าง คิดว่าในหนังน่าจะเป็นที่มุมไบ(ไม่เคยดู แหะๆ)
ลักษณะของมุมไปคือ ตึกสลับสลัม เพราะอะไรทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ก็เพราะคนงานมาสร้างตึก
เค้าก็สร้างบ้านอยู่ สร้างเสร็จก็ไม่กลับเลย(อ้าว?) เราจึงเห็นสลัมอยู่ทั่วไปหมดในประเทศนี้
สลัมที่เราไปอยู่ที่ เมือง Delhi ค่ะไม่ใช่ New Delhi จริงๆสองเมืองนี้ก็คล้ายๆว่าเป็นเมืองเดียวกันแหละ
แต่ก่อน Delhi มีลักษณะเป็นแอ่ง พายุทรายโหมกระหน่ำทุกปี(เมืองนี้ห้ามสร้างตึกสูง)
จึงมี New Delhi เป็นที่อยู่ของตึกสูง คอยกั้นพายุ แต่ถึงอย่างนั้นเดลีก็ยังเป็นเมืองที่ฝุ่นเยอะมากอยู่ดี
ปาดทีหนาเป็นปื๊ดดดดดดด ขับรถออกจากโรงแรมมาสู่ใจกลางเมืองที่ไม่ใช่ย่านช้อปปิ้งอย่างสยามหรือเอมควอเตียร์
แต่มันคือ สลัม สลัมค่าาาท่านผู้ชม สลัมอยู่กลางเมือง รู้ได้ไงว่าถึงสลัมแล้ว คุณจะเริ่มเห็น ฝุ่นหนาตลบ ขยะลอยมา
ผู้คนขี่จักรยานไปทำงานจำนวณมาก เสียงแตรแป้นแป้นนนนนนนนนน แป้นแป้นจริงๆคนอินเดียไม่ดูสัญญาณไฟท้ายกันนะคะ
เค้าใช้แตรในการสื่อสัญญาณกัน พูดเลยว่าใครแตรเบาแพ้อะ ไม่ Strong!
ตอนนั่งรถ ก็มีกลุ่มเด็กๆกายกรรมมาเต้นตีลังกาม้วนตัวไปมาเพื่อขอตังค์ แม้จากอยากให้ยังไงก็ไม่ควรให้มากๆเลยนะคะ
ไม่งั้นคุณอาจจะเจอกองทัพเด็กจากไหนไม่รู้มารุมทึ้งจนคุณหมดตัวได้ ชื่นชมอย่างเดียวพอ เค้าอาจจะวิ่งตามคุณอีกซักพัก
อย่าไปสนใจ ห้ามสบตาใครมั่วซั่ว ไม่มีมาปิ้งปั้งนะคะนางจะเดินมาขอเงินคุณทันที เออแต่บางครั้งก็มีส่งสายตาปิ้งปั้งอยู่นะ 55555
คนอินเดียฮิปสเตอร์ตัวจริงค่ะ ไม่มีกระแสอะไรทั้งนั้น นางนอนตรงเกาะกลางสี่แยกอ่านหนังสือสบายใจเชิบ มีที่ไหนกัน ก็ที่นี่ไง 0.0
เค้าเป็นคนเปิดเผยกันมาก ยิ้มง่าย ชอบก็แสดงออกว่าชอบ หลอกขอจับมือนี่ปกติ อย่าไปคิดไรมาก ขำๆไป
มุข Nice to meet you นี่มาตลอด อย่าคิดว่าไม่รู้นะ หึหึ
มาถึงสลัมเราไปที่โรงเรียนในสลัมกันก่อน ไปแลกเปลี่ยนเล่นกับน้องๆ เด็กที่นี่จะอยู่ชั้นประถมกันส่วนใหญ่
สูงสุดก็ ป.6 เด็กๆน่ารักมาก ตอนแรกเรากับเพื่อนๆสอนให้รำวงกัน ไปไปมาๆนางเต้นฮินดีกันมันส์มาก
เสียงดังลั่นไปหมด น่ารักมากๆจริงๆ
ออกจากโรงเรียนเราก็ไปศูนย์พัฒนาคอมพิวเตอร์และภาษาอังกฤษ คล้ายๆกับเรียนพิเศษวิชาคอมฯกับอังกฤษ
เราได้ไปคลาสอังกฤษ นักเรียนบางคนอายุเท่าเราบางคนก็แก่กว่า ทุกๆคนตื่นเต้นกันมาก เราก็ตื่นเต้น
คุยกันถึงเรื่องอาหารออกรสออกชาติมาก เราเลยให้เค้าช่วยแนะนำอาหารอินเดียให้หน่อย
นางก็ใจดีลิสมากให้เกือบทั้งประเทศ คำนิยามสำหรับอาหารอินเดียคือ แกงเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือแป้ง ยังไงโปรดติดตาม 5555
หลังจากไปสถานศึกษาหมดแล้วก็ไปต่อที่สลัม เดอะเรียลสลัมที่เราไปเป็นโซนของคนชั้นกลาง ภาพแรกคือเมืองที่โดนบอมบ์แต่มีคนอยู่
ตึกเป็นลักษณะปูนเปลือย ทาสีหยาบๆแต่มีเสน่ห์ ฝุ่นตลบอบอวน วันที่เราไปค่ามลพิษสูงมากจนเกือบตาย
อาจารย์จาก WHO เล่าให้ฟังว่า ที่เค้าติดแอร์ไม่ใช่ไรนะ กันอากาศเข้ามาในห้อง แต่นั่นแหละมันทำให้คนจนอยู่ยากขึ้น
ความเป็นอยู่ของชนชั้นกลางในอินเดียเรียกง่ายๆว่าฟรีแลนซ์ ไม่ใช่ฟรีแลนซ์แบบบ้านเรา คุณเลือกรับงานไม่ได้
แต่งานอะไรมา ต้องรับหมดไม่งั้นอดตาย ตั้งแต่ช่างไฟ ช่างซ่อม ช่างขัดรองเท้า ช่างขัดส้วม ทุกอย่างจริงๆ Multiskill สุดๆ
ไม่แปลกใจทีคนเค้าเป็นเจ้าไอที นางทำได้ทุกอย่างจริงๆ ที่อยู่เป็นแบบตึกแคบๆมีหลายๆห้องแคบๆ หนึ่งห้องแคบๆหนึ่งครอบครัว
ครอบครัวละ 4-6 คนแล้วแต่ ค่าเช่าต่างกันไป ค่าน้ำค่าไฟต่างหาก ระหว่างทางที่เราไปมีคนต่อแถวยาวๆมากๆ ถามได้ความว่า
เค้ามาต่อแถวซื้ออาหารจากรัฐบาลในราคาถูกกัน ที่นี่น้ำก็ต้องซื้อนะ นานๆจะมีรถขนน้ำเข้ามา ซื้อเป็นกระป๋องๆ
เรื่องอาบน้ำเช้าเย็นลืมไปได้เลย ล่าสุดตอนนี้มีท่อน้ำเข้ามาแล้ว แต่น้ำยังไม่มา(เอ๋?)
เราไปเยี่ยมบ้านเด็กสองคนจากโรงเรียน ที่นี่อยู่กันแบบธรรมชาติมาก ไฟธรรมชาติ สายลมแสงแดด
ผู้คนไปมาหาสู่กัน เป็นชุมชนที่อบอุ่น ครอบครัวนึงมีลูกเยอะมากเพราะไม่สามาถคุมกำเนิดได้ ทำได้ก็ยาก
การแต่งงาน ผู้หญิงต้องหาเงินมาสู่ขอผู้ชายแล้วแต่ตามตกลง พอหลังแต่งงานผู้ชายจะเป็นคนหาเงินเข้าบ้าน
ผู้หญิงส่วนมากเป็นแม่บ้านเลี้ยงลูก สำหรับการมาสลัมครั้งแรกภาพสลัมในหัวเรากับการมาสลัมจริงๆมันต่างกัน
มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดผู้คนก็ไม่ได้โหด อย่างที่เคยได้ยินกันเพียงแค่เราต้องรู้จักกาละเทศะศึกษาให้ดีก่อนไป
ที่นี่มีอะไรให้เราศึกษา และเรียนรู้มากอย่างไม่น่าเชื่อ ที่เขียนมาเป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งจริงๆมีมากกว่านี้มากๆ
อยากให้ทุกคนได้ไปลองสัมผัสกัน ออกจากสลัมไปต่อกันที่ห้างสุดหรูใกล้ๆสลัม ใช่ค่ะฟังไม่ผิดใกล้ๆสลัมเลย
แต่คุณจะไม่เจอคนสลัมเดินเล่นหรอกนะ ไม่มีทาง เป็นอีกอย่างที่ทำให้เราได้เห็นความแตกต่างในประเทศนี้อย่างชัดเจน
หลังจากทานข้าวเรียบร้อยเราก็ไปต่อกันที่กุตุ๊มีนา เป็นหอคอยห้าชั้นเมื่อก่อนให้คนขึ้นได้
แต่มีคนพิเรนท์ไปตะโกนว่าไฟไหม้ คนกรูลงมาเหยียบกันตาย เลยบายห้ามขึ้นแล้ว
และ Indian Gate สวยมากปังมาก อังกฤษเป็นคนสร้างตอนสมัยอาณานิคม ไม่ต้องไปถึงฝรั่งเศษก็มีซุ้มประตูเหมือนกัน
ที่กุตุ๊ปมีนา เราเจอกลุ่มเด็กผู้หญิงมารุมขอถ่ายรูปเรา จนเราตกใจ นางให้เราพ้อยต์ขา จือปากโอเค สามสี่จือออออ
สืบความได้ว่าคนอินเดียตื่นเต้นกับชาวต่างชาติมาก นางจะมาถ่ายรูปเอาไปอวดว่ามีเพื่อนเป็นคนต่างชาติ
โอเค งงๆแต่ก็โอเค 555555555
วันสุดท้ายของการเดินทางเรากลับไปถกประเด็นที่ WHO อีกรอบ การมาอินเดียครั้งของเราตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย
กล้าพูดเลยว่ามันเปลี่ยนไปจริงๆ มันมีเหตุผลที่ทำให้ประเทศนี้เป็นศูนย์กลางอารยธรรม มากกว่าแค่เสียเงินมาเที่ยว
แต่คุณจะได้อะไรกลับไปมากกว่านั้นจริงๆ ก่อนกลับเราแวะไปช้อปปิ้งและทานอาหารอินเดียมื้อสุดท้ายที่ถนนจัมปั๊ด
ของถูกมาก ต่อได้ครึ่งต่อครึ่งใจแข็งๆไว้ โซฟินโซบันเทิงมาก ถ้าโดนแกล้งก็เฉยๆไว้ ดึงหน้าไว้ STRONG!
คนอินเดียขี้แกล้งมาก แง แกล้งเค้าทำไม TT แถมขายของแบบฮาร์ทเซลล์สุดๆ เอาเป็นใครเคยไปจีนก็ฟีลลิ่งนั้น
สินค้าคุณภาพดีราคาถูกแนะนำ ลิปมัน Himalaya เมืองไทยร้อยกว่า อินเดีย 15 บาท ขนมาเป็นลังๆ ฟิน ฮรี๊
สุดท้ายนี้ขอฝากคำแนะนำจากเราถ้าจะไปอินเดีย ห้ามไปคนเดียวถ้าไม่เซียน ควรวางแผนให้ดี การเที่ยวแบบอันแพลน
ไม่เหมาะกับที่นี่ จะถ่ายใครดูให้ดีไม่ควรถ่ายมั่วซั่ว(เผลอๆค่อยชัตเตอร์รัวๆ 5555)
ผู้หญิงไม่ควรเดินคนเดียวเปล่าเปลี่ยวเป็นเอมวีอกหัก ข้ามถนนข้ามให้ไวข้ามให้เร็ว จับมือกันได้จับ นางไม่มีเบรกนะจ๊ะ
การข้ามถนนที่อินเดียถือเป็นสตรองเควสสุด สุดตินจริง 555555 เจอขอทาน คนมาขอเงินอย่าให้ ไม่งั้นจะเกิดขบวนการดาวกระจาย
ไปอินเดียใจต้องแข็ง พกทิชชู่เปียกและหน้ากากอนามัยไว้ น้ำขวดคือสิ่งจำเป็น อาหารอินเดียอุดมไปด้วยแป้ง
อาจจะเกิดแก๊สในกะเพาะมหาศาล แอร์เอ๊กช่วยคุณได้ รสชาติค่อนไปทางเผ็ดร้อน ลองดูมันดยีเจรงเจรงงงงงงงง
และสุดท้ายของสุดท้าย "ไปเหอะมันส์เจรงงงงงงงงงงงง"