เรื่องเล่าสบายๆ ค่ะ แค่อยากแชร์ประสบการณ์ที่มีทั้งดี สนุก เครียด เหนื่อย ปะปนกันไป จากชีวิตพนักงานห้องแอร์ สู่นายตัวเองกลางแดด ไม่ได้บอกว่าการเป็นพนักงานไม่ดี หรือดีอย่างไร แค่อยากเล่าเรื่องการลาออกที่ไม่รู้จะเป็นครั้งสุดท้ายหรือเปล่า แต่หวังให้เป็นเช่นนั้น
ก็ตามชื่อเรื่องเลยค่ะ เคยเป็นโปรแกรมเมอร์ในบริษัทหลายแห่งทั้งเมืองหลวงและหัวเมืองทางภาคเหนือ เจอมาหลายแบบ ตั้งแต่เป็นน้องจบใหม่ทำงานไม่ค่อยได้ แก้บั๊คยันเช้า(เหมือนโต้รุ่งก่อนสอบ) go live งานตีสอง (เพื่อเป็นช่วงเวลาที่โปรแกรมของลูกค้ามีคนเข้าใช้งานน้อยสุด) หอบกลับมาทำบ้าน เพราะestimate time ที่คาดไว้ไม่ตรงกับความสามารถจริง หรือบางทีมันค้างคาใจ แต่ตึกที่ทำงานจะปิด หลายรูปแบบชีวิต coding รายได้อยู่ในเกณฑ์มีกินมีใช้พอจะดูแลตัวเองได้ จ่ายค่าเทอมป.โทเองได้ พอจะมีโอกาสได้ตอบแทนพ่อแม่เป็นครั้งคราว ตามแต่ความสามารถ
เข้าเรื่อง... วันหนึ่งแต่งงาน มีลูก ลาออกมาทำหน้าที่คุณแม่ full time และวันหนึ่ง ลูกใกล้จะเข้า โรงเรียน สิ่งที่เราต้องเตรียมตัวคือ อาชีพหลังจากลูกเข้าโรงเรียน
คิดๆๆ ทำอะไรกันดี ที่พอจะมีรายได้ช่วยเหลือครอบครัว
- กลับไปเขียนโปรแกรม ??? ฉันก็แก่ขึ้นมากแล้ว ลาออกเลี้ยงลูกมาเกือบ 3 ปี การจะวิ่งตามเทคโนโลยีที่ก้าวไกลของโลกดิจิตอล ทีวี HD iOS ที่ปรับเปลี่ยรเวอร์ชั่นกันเป็นว่าเล่น smart phone ที่ขยันออกรุ่นใหม่ทุกปี ปีละทุกยี่ห้อ เอิ่ม... บอกตามตรง ด้วยความสามารถของสมอง ณ ปัจจุบันที่อัดแน่นด้วยเรื่อง สารอาหารครบ5หมู่สำหรับลูก กิจกรรมเสริมพัฒนาการตามวัย และจิตวิทยาการเลี้ยงลูกต่างๆนาๆที่ต้องรับมือ แทบจะไม่เหลือพื้นที่ให้เทคโนโลยีเข้ามาแทรกแซงได้ ประเด็นนี้เริ่มถูกเขี่ยเป็นอันดับท้ายๆ
- ทำขนมขาย??? อืม ก็ดีนะ ปกติก็ทำขนมตามออร์เดอร์บ้าง ทำเพื่อสอนลูกบ้าง รสชาติเหรอ??? อุ๊ปไว้ดีกว่า 555 แต่จะทำแบบไหนดี ส่งร้านกาแฟ เปิดร้านเอง หรือขายบนโซเชียล ประเด็นนี้น่าสนใจอยู่
มีอะไรอีกที่ชอบทำ...
- ทำสวน ??? สวนอะไร พื้นฐานความรู้เรื่องการเกษตรมีนะ อย่าบอกว่า 0 ขอบอกว่า ปลูกถั่วงอกขึ้นอยู่นะ หรือจะปลูกถั่วงอกขาย? ก็ไม่ใช่เทรนด์ สมัยนี้มันต้อง ต้นอ่อนทานตะวันงอก นั่นก็เห็นราคาดีอยู่แพล๊บบบบเดียว จากถุง40 บาทตอนนี้เหลือถุงละ 20 บาท ใจร้ายจังราคาลงอย่างรวดเร็ว
จนวันหนึ่งในช่วงเทศกาลปีใหม่ ได้กลับบ้านเกิด ไปพูดคุยกับพ่อ พ่อเพิ่งเริ่มทำสวนเมล่อนอยู่แบบบ้านๆ ทำเองสร้างโรงเอง ช้าๆ เรื่อยๆ ตามสไตล์ชีวิตสบายหลังเกษียณ เอ๊ะ!! ดูดีมีความสุขแฮะ ถัดมาอีกวัน พี่สาวพาไปเก็บคะน้าไฮโดรโพนิค ที่สวนของเพื่อนพี่ เค้าส่งผักให้ห้างในตัวจังหวัด เอ๊ะ!!! นี่ก็ดูดีมีความสุขในชีวิตวัยกลางคนระยะเริ่มต้น
หันมามองตัวเอง ทำอะไร ให้มีความสุข... ความสุขเกิดจากอะไร ใช่...ความสุขคงอยู่ที่ใจ แต่ส่วนประกอบที่ช่วยให้มีความสุข คงหนีไม่พ้น การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ ว่าแล้วก็เกิดความคิด อยากปลูกผัก ผลไม้กินเอง แบบไม่ใส่สารเคมีใดๆ เพื่อสุขภาพที่ดีทั้งของตัวเอง ครอบครัว และของทุกคนที่กินผักผลไม้ของเรา
นั่งคุยกันกับหุ้นส่วนชีวิตได้ความเห็นลงเอยที่ การเลือกพื้นฐานเกษตรสมัยประถมมาเป็นอาชีพในวัย thirty something!!!
เอาจริงเหรอ?... จริงดิ... สักตั้งฟ่ะ...
ปลูกอะไรคะ??? อย่างที่หลายคนคงเคยผ่านหูมาบ้างว่าทำในสิ่งที่รัก เราจะพบความสุขและสุขที่จะทำ
เราเลือกที่จะปลูกผลไม้ที่เราชอบกิน เพราะอะไรน่ะเหรอ เราคิดว่าถ้าเราชอบกิน เราจะรู้ว่า อาหาร ผัก หรือผลไม้ชิ้นนี้ อร่อยหรือยัง ได้คุณภาพหรือยัง เหมือนคนไม่ชอบกินเค้กมาทำเค้ก ทำเค้กแล้วชิมก็ไม่รู้ว่ามันอร่อยหรือยัง เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่เราชอบ กินของไม่ชอบ คงยากที่จะรับรู้ถึงรสชาติอันวิจิตรของอาหารชิ้นนั้น
ใช่แล้ว เราชอบกินเมล่อน ลูกลิงที่บ้านก็ถูกปากนัก
ว่าแล้วก็ลงมือกันหลังจากกลับจากบ้านต่างจังหวัดช่วงปีใหม่นั่นเลย
เริ่มยังไงดี?
มาลองคิดดู จะปลูกเมล่อน ต้องมีอะไรบ้าง??? เอิ่ม... มิทราบค่าาา ไปขอดูงานคนอื่นที่เค้าปลูกและยินดีให้เข้าชมมั๊ย ไปสิคะ รออะไร ไปมันเดี๋ยวนั้นเลย เราไปมา3-4 ที่ พอได้ไอเดียว่าต้องเตรียมอะไร ทั้งโรงเรือน วัสดุปลูก เมล็ดพันธุ์ และที่สำคัญแรงกำลัง อันหลังที่ใช้เยอะเอาการ แต่จะปลูกของรักของข้า จงอย่าได้กลัว ลุย!!!
เริ่มจากการซื้อโครงเต๊นท์เก่ามาหลังนึง เพื่อทดลองปลูกที่สนามหญ้าข้างบ้าน วัสดุปลูกพร้อมเมล็ด เอาแบบด่วน จะทดลองละ พุ่งตรงไปกาดขายต้นไม้ ได้เมล็ดเจียไต๋มา2 ซอง รีบเปิดคอมหาวิธีเพาะเมล็ด step by step ต้องขอบคุณข้อมูลจากหลายๆท่านที่เปิดเผยไว้ในอินเตอร์เน็ต เราลงมือกันวันที่ได้เมล็ดทันที
โรงเรือนเต๊นท์เก่า ขนาด 3x6เมตร (ปลูกได้ประมาณ 60 ต้น อย่าถามว่าตอนจบเหลือกี่ต้น) เอามาคลุมพลาสติกใสสำหรับทำโรงเรือน พร้อมปิดรอบข้างด้วยมุ้งตาข่ายกันแมลง
วัสดุปลูก 3 อย่าง ตามบทความต่างๆแนะนำ ทราย แกลบดำ ขุยมะพร้าว
เตรียมเมล็ดโดยการแช่น้ำ แล้วเอามาอบในกระติก ต่อด้วย เอามาเพาะในถาดปลูก ผ่านไป10 วัน เริ่มเอาออกจากถาดมาใส่ถุงปลูก ในโรงเรือน(ลืมบอกไป เราปลูกในถุงปลูกขนาด8 นิ้วนะ ไม่ได้ปลูกลงพื้นดิน)
ผ่านไปแต่ละวัน รดน้ำ ใส่ปุ๋ย ปุ๋ยเราซื้อปุ๋ยน้ำแบบต่างๆของโครงการหลวง ทั้งปุ๋ยปลาฟิชที่เน้นธาตุ N เพื่อบำรุงใบ , น้ำหมักไส้เดือน เน้นธาตุ P และมีสารอาหารเสริมตัวอื่นๆในนั่นมากมาย, ปุ๋ยอินทรีย์น้ำเน้นธาตุ K เพื่อเพิ่มความหวานให้ผลไม้ นอกจากนั่นก็ตรวจสอบการเจริญเติบโต และโรคต่างๆ เอ๊ะๆๆๆ ทำไม10 วันละใบมันเหลืองๆ ใจหายแว๊บ เมล่อนกลอยใจอนาคตของฉันเหมือนจะไม่สบาย ทำไงดี ยกตัวอย่างมันไปหาคนที่เค้าปลูกพืชตระกลูแตงแถวบ้านไปถามผู้รู้ กลัวอธิบายไม่ถูก อ้ายแกสอนกลับมาอย่างดี ได้ความรู้มาเต็มๆ ว่าขาดสารอาหารค่าาา พร้อมกับคำแนะนำเสริมว่า คราวหน้าไม่ต้องยกถุงมานะ เดี๋ยวถ้ามันเป็นโรค ไม่ใช่แค่ขาดสารอาหาร มันจะเอาโรคไปปล่อยให้คนอื่น 555 เราก็ไม่ทันคิดระมัดระวัง เกือบสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นละ
กลับมาเราก็มาคิดคำนวนว่าควรใส่ปุ๋ยเพิ่มเท่าไรกันดี อัตราส่วนข้างกระป๋องคงจะไม่ค่อยเหมาะกับผลไม้เมล่อน ด้วยความเป็นมืออาชีพระดับประถม เราจึงอัดปุ๋ยกันเข้มข้นเลยทีเดียว ค่าปงค่าปุ๋ยค่อยมาคิด ณ จุดนั้น เมล่อนอย่าตาย... แต่แล้ว แม่เจ้า มันไม่ตายค่า โตขึ้นมา เขียวงดงามดี... ได้สักระยะ เรายังไม่หยุดยั้งการอัดปุ๋ยเนื่องด้วยมันโตช้าไปช่วงแรก ผลที่เกิดขึ้นคือ ใบสีเขียวเข้มจัดๆๆๆ และเริ่มห่อเหมือนกรวยทรงแหลม รีบถ่ายรูปส่งไปปรึกษาอ้ายคนเดิม พร้อมเพื่อนทางการเกษตรคนใหม่ที่รู้จักกันทางอินเตอร์เน็ต เค้าเป็นผู้มีบุญคุณกับสวนเราจริงๆ ช่วยให้คำตอบทั้งดึกมั่ง เช้าตรู่มั่ง ตอบแบบละเอียด แบบรู้สาเหตุ แบบอธิบายการวิเคราะห์ ว่าทำไมเกิดแบบนี้ หน้าตาแบบนี้น่าจะเป็นอะไร สังเกตุจากส่วนไหน โอ้วดีจริงที่ได้มาเจอ^^
แล้วเจ้าเมล่อนวัยหนุ่มของเราเป็นอะไรล่ะ อ่อ... ปุ๋ยเกินค่าาา 555 ผลจากความที่กลัวมันโตช้า อัดไม่ดูตาม้าตาเรือ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เดินทางสายกลางนะจ๊ะเด็กๆ
วันเป็นเดือนผ่านไปจนใกล้วันเก็บเกี่ยว ดีใจกันใหญ มีเมล่อนอินทรีย์ปลูกกันเองข้างสนามกินกันเองข้างสนาม แถมแจกข้างบ้านนิดหน่อย เนื่องจาก มีไม่มาก อำลากันกลางทางก็มี ลูกแคระไปก็มี แมลงขโมยบ้าง(ด้วยความเป็นอินทรีย์ หอมหวานปลอดภัย) แต่สุดท้ายก็ยังได้ลองกิน และที่แน่ๆ ได้ความรู้มากมาย ฝึกความอดทนต่อการต่อสู้กับโรคพืชแบบต่างๆในพื้นฐานเกษตรประถม ฝึกความพยายามและยึดมั่นในอุดมการณ์ที่จะเป็นเมล่อนอินทรีย์ ไม่ยอมต่อโรคพืชที่รุมเร้า ได้มิตรภาพดีๆจากคนไม่สนิทกลายเป็นคนเริ่มจะสนิท มิตรภาพดีๆจากคนไม่เคยเจอหน้ากัน จนวันนี้ หน้าสดๆก็ยังไม่เคยเจอกันอยู่ดี วันนึงเราจะไปขอบคุณเค้าด้วยคำพูดจากปาก ไม่ใช่แค่ตัวหนังสือบนอินเตอร์เน็ต
3เดือนผ่านไป เราได้เริ่มทำโรงเรือนใหญขึ้น จริงจังขึ้น เราเริ่มสร้างโรงเรือนขนาด 6x15 เมตร 3 โรงเรือน เพียงไม่กี่วันช่างขึ้นโรงเรือนเสร็จ พวกเราดีใจรีบนำวัสดุปลูกใส่ถุงปลูก พร้อมจะลงมือปลูกกันทันที "เย็นละ วันนี้พอแค่นี้ก่อนเนอะ" เราและผู้ร่วมอุดมการณ์คุยกัน เราขับรถออกจากสวนเวลา 18.30 เพื่อกลับบ้านกินข้าวพักผ่อนเตรียมลุยงานปลูกในเข้าสดใสวันถัดไป แต่... 19.00 ลมพายุเริ่มมา ผ่านไปไม่กี่นาที ฝนตกหนัก และตามมาด้วยไฟฟ้าดับนานหลายชั่วโมง และเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจากแฟนที่ยังอยู่สวน ออกมาไม่ทันก่อนฝนตก "โรงเรือนล้มหมดเลย..." เสียงตามสายทำเอาเราคิดในใจว่า จริงเหรอเนี่ย!!! เรารอฝนหยุดจน 20.00 ขับรถพาเจ้าลูกชายผ่าความมืดตามถนนเนื่องจากไฟดับทั้งอำเภอ และหลายอำเภอ ไปยังสวน สิ่งที่เจอ ภาพแรกคือ ความมืดและเงาของแฟนนั่งกุมขมับอยู่ข้างโรงเรือนที่ล้มระเนระนาด
เราพูดอะไรไม่ออก ได้แต่บอกกันว่า "ไม่เป็นไร เอาใหม่นะ"
หลังจากวันนั้น เรารวบรวมเงินก้อนสุดท้าย ขึ้นโรงเรือนใหม่ เน้นกับช่างขอแบบที่ ฝนตกแล้วยังนอนหลับอุ่นใจ คราวนี้ เราขึ้นโรงเรือนใหม่ 5 โรง และมีการวางระบบน้ำที่ควบคุมการปล่อยน้ำด้วยระบบคอมพิวเตอร์(ยังไม่ทิ้งมาดโปรแกรมเมอร์น่ะ555) ถึงตอนนี้จะยังอยู่ในระยะที่ยังต้องพัฒนาขีดความสามารถของระบบขึ้นเรื่อยๆ แต่มันก็ช่วยให้พวกเราสะดวกสบายในการปรับเปลี่ยนการให้น้ำในแต่ละช่วงฤดูกาล(ที่มักเปลี่ยนแปลงบ่อย)
เราพบว่าความมุ่งมั่นที่จะต้องทำมันขึ้นมาให้ได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไร ความสามัคคี ความร่วมด้วยช่วยกันของครอบครัว จะทำให้พ้นวิกฤตไปได้
ปัจจุบัน ผ่านมา 11 เดือน พวกเรา ปลูกเมล่อนปลอดสารกันอย่างจริงจังและเริ่มมีผลผลิตออกวางขายทุกๆเดือน คงยังเป็นมูลค่าที่ไม่มาก แต่ได้คุณค่าทางจิตใจนับไม่ถ้วน
สุดท้ายที่ต้องขอบคุณคงเป็นคนในครอบครัวที่ร่วมด้วยช่วยกันมาตลอด อยากบอกว่าอย่าดูถูกความสามารถตัวเอง คนใกล้ชิด และเด็ก2 ขวบ
สวัสดี
ลาก่อนโปรแกรมเมอร์ สวัสดีชาวสวนเมล่อน
ก็ตามชื่อเรื่องเลยค่ะ เคยเป็นโปรแกรมเมอร์ในบริษัทหลายแห่งทั้งเมืองหลวงและหัวเมืองทางภาคเหนือ เจอมาหลายแบบ ตั้งแต่เป็นน้องจบใหม่ทำงานไม่ค่อยได้ แก้บั๊คยันเช้า(เหมือนโต้รุ่งก่อนสอบ) go live งานตีสอง (เพื่อเป็นช่วงเวลาที่โปรแกรมของลูกค้ามีคนเข้าใช้งานน้อยสุด) หอบกลับมาทำบ้าน เพราะestimate time ที่คาดไว้ไม่ตรงกับความสามารถจริง หรือบางทีมันค้างคาใจ แต่ตึกที่ทำงานจะปิด หลายรูปแบบชีวิต coding รายได้อยู่ในเกณฑ์มีกินมีใช้พอจะดูแลตัวเองได้ จ่ายค่าเทอมป.โทเองได้ พอจะมีโอกาสได้ตอบแทนพ่อแม่เป็นครั้งคราว ตามแต่ความสามารถ
เข้าเรื่อง... วันหนึ่งแต่งงาน มีลูก ลาออกมาทำหน้าที่คุณแม่ full time และวันหนึ่ง ลูกใกล้จะเข้า โรงเรียน สิ่งที่เราต้องเตรียมตัวคือ อาชีพหลังจากลูกเข้าโรงเรียน
คิดๆๆ ทำอะไรกันดี ที่พอจะมีรายได้ช่วยเหลือครอบครัว
- กลับไปเขียนโปรแกรม ??? ฉันก็แก่ขึ้นมากแล้ว ลาออกเลี้ยงลูกมาเกือบ 3 ปี การจะวิ่งตามเทคโนโลยีที่ก้าวไกลของโลกดิจิตอล ทีวี HD iOS ที่ปรับเปลี่ยรเวอร์ชั่นกันเป็นว่าเล่น smart phone ที่ขยันออกรุ่นใหม่ทุกปี ปีละทุกยี่ห้อ เอิ่ม... บอกตามตรง ด้วยความสามารถของสมอง ณ ปัจจุบันที่อัดแน่นด้วยเรื่อง สารอาหารครบ5หมู่สำหรับลูก กิจกรรมเสริมพัฒนาการตามวัย และจิตวิทยาการเลี้ยงลูกต่างๆนาๆที่ต้องรับมือ แทบจะไม่เหลือพื้นที่ให้เทคโนโลยีเข้ามาแทรกแซงได้ ประเด็นนี้เริ่มถูกเขี่ยเป็นอันดับท้ายๆ
- ทำขนมขาย??? อืม ก็ดีนะ ปกติก็ทำขนมตามออร์เดอร์บ้าง ทำเพื่อสอนลูกบ้าง รสชาติเหรอ??? อุ๊ปไว้ดีกว่า 555 แต่จะทำแบบไหนดี ส่งร้านกาแฟ เปิดร้านเอง หรือขายบนโซเชียล ประเด็นนี้น่าสนใจอยู่
มีอะไรอีกที่ชอบทำ...
- ทำสวน ??? สวนอะไร พื้นฐานความรู้เรื่องการเกษตรมีนะ อย่าบอกว่า 0 ขอบอกว่า ปลูกถั่วงอกขึ้นอยู่นะ หรือจะปลูกถั่วงอกขาย? ก็ไม่ใช่เทรนด์ สมัยนี้มันต้อง ต้นอ่อนทานตะวันงอก นั่นก็เห็นราคาดีอยู่แพล๊บบบบเดียว จากถุง40 บาทตอนนี้เหลือถุงละ 20 บาท ใจร้ายจังราคาลงอย่างรวดเร็ว
จนวันหนึ่งในช่วงเทศกาลปีใหม่ ได้กลับบ้านเกิด ไปพูดคุยกับพ่อ พ่อเพิ่งเริ่มทำสวนเมล่อนอยู่แบบบ้านๆ ทำเองสร้างโรงเอง ช้าๆ เรื่อยๆ ตามสไตล์ชีวิตสบายหลังเกษียณ เอ๊ะ!! ดูดีมีความสุขแฮะ ถัดมาอีกวัน พี่สาวพาไปเก็บคะน้าไฮโดรโพนิค ที่สวนของเพื่อนพี่ เค้าส่งผักให้ห้างในตัวจังหวัด เอ๊ะ!!! นี่ก็ดูดีมีความสุขในชีวิตวัยกลางคนระยะเริ่มต้น
หันมามองตัวเอง ทำอะไร ให้มีความสุข... ความสุขเกิดจากอะไร ใช่...ความสุขคงอยู่ที่ใจ แต่ส่วนประกอบที่ช่วยให้มีความสุข คงหนีไม่พ้น การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ ว่าแล้วก็เกิดความคิด อยากปลูกผัก ผลไม้กินเอง แบบไม่ใส่สารเคมีใดๆ เพื่อสุขภาพที่ดีทั้งของตัวเอง ครอบครัว และของทุกคนที่กินผักผลไม้ของเรา
นั่งคุยกันกับหุ้นส่วนชีวิตได้ความเห็นลงเอยที่ การเลือกพื้นฐานเกษตรสมัยประถมมาเป็นอาชีพในวัย thirty something!!!
เอาจริงเหรอ?... จริงดิ... สักตั้งฟ่ะ...
ปลูกอะไรคะ??? อย่างที่หลายคนคงเคยผ่านหูมาบ้างว่าทำในสิ่งที่รัก เราจะพบความสุขและสุขที่จะทำ
เราเลือกที่จะปลูกผลไม้ที่เราชอบกิน เพราะอะไรน่ะเหรอ เราคิดว่าถ้าเราชอบกิน เราจะรู้ว่า อาหาร ผัก หรือผลไม้ชิ้นนี้ อร่อยหรือยัง ได้คุณภาพหรือยัง เหมือนคนไม่ชอบกินเค้กมาทำเค้ก ทำเค้กแล้วชิมก็ไม่รู้ว่ามันอร่อยหรือยัง เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่เราชอบ กินของไม่ชอบ คงยากที่จะรับรู้ถึงรสชาติอันวิจิตรของอาหารชิ้นนั้น
ใช่แล้ว เราชอบกินเมล่อน ลูกลิงที่บ้านก็ถูกปากนัก
ว่าแล้วก็ลงมือกันหลังจากกลับจากบ้านต่างจังหวัดช่วงปีใหม่นั่นเลย
เริ่มยังไงดี?
มาลองคิดดู จะปลูกเมล่อน ต้องมีอะไรบ้าง??? เอิ่ม... มิทราบค่าาา ไปขอดูงานคนอื่นที่เค้าปลูกและยินดีให้เข้าชมมั๊ย ไปสิคะ รออะไร ไปมันเดี๋ยวนั้นเลย เราไปมา3-4 ที่ พอได้ไอเดียว่าต้องเตรียมอะไร ทั้งโรงเรือน วัสดุปลูก เมล็ดพันธุ์ และที่สำคัญแรงกำลัง อันหลังที่ใช้เยอะเอาการ แต่จะปลูกของรักของข้า จงอย่าได้กลัว ลุย!!!
เริ่มจากการซื้อโครงเต๊นท์เก่ามาหลังนึง เพื่อทดลองปลูกที่สนามหญ้าข้างบ้าน วัสดุปลูกพร้อมเมล็ด เอาแบบด่วน จะทดลองละ พุ่งตรงไปกาดขายต้นไม้ ได้เมล็ดเจียไต๋มา2 ซอง รีบเปิดคอมหาวิธีเพาะเมล็ด step by step ต้องขอบคุณข้อมูลจากหลายๆท่านที่เปิดเผยไว้ในอินเตอร์เน็ต เราลงมือกันวันที่ได้เมล็ดทันที
โรงเรือนเต๊นท์เก่า ขนาด 3x6เมตร (ปลูกได้ประมาณ 60 ต้น อย่าถามว่าตอนจบเหลือกี่ต้น) เอามาคลุมพลาสติกใสสำหรับทำโรงเรือน พร้อมปิดรอบข้างด้วยมุ้งตาข่ายกันแมลง
วัสดุปลูก 3 อย่าง ตามบทความต่างๆแนะนำ ทราย แกลบดำ ขุยมะพร้าว
เตรียมเมล็ดโดยการแช่น้ำ แล้วเอามาอบในกระติก ต่อด้วย เอามาเพาะในถาดปลูก ผ่านไป10 วัน เริ่มเอาออกจากถาดมาใส่ถุงปลูก ในโรงเรือน(ลืมบอกไป เราปลูกในถุงปลูกขนาด8 นิ้วนะ ไม่ได้ปลูกลงพื้นดิน)
ผ่านไปแต่ละวัน รดน้ำ ใส่ปุ๋ย ปุ๋ยเราซื้อปุ๋ยน้ำแบบต่างๆของโครงการหลวง ทั้งปุ๋ยปลาฟิชที่เน้นธาตุ N เพื่อบำรุงใบ , น้ำหมักไส้เดือน เน้นธาตุ P และมีสารอาหารเสริมตัวอื่นๆในนั่นมากมาย, ปุ๋ยอินทรีย์น้ำเน้นธาตุ K เพื่อเพิ่มความหวานให้ผลไม้ นอกจากนั่นก็ตรวจสอบการเจริญเติบโต และโรคต่างๆ เอ๊ะๆๆๆ ทำไม10 วันละใบมันเหลืองๆ ใจหายแว๊บ เมล่อนกลอยใจอนาคตของฉันเหมือนจะไม่สบาย ทำไงดี ยกตัวอย่างมันไปหาคนที่เค้าปลูกพืชตระกลูแตงแถวบ้านไปถามผู้รู้ กลัวอธิบายไม่ถูก อ้ายแกสอนกลับมาอย่างดี ได้ความรู้มาเต็มๆ ว่าขาดสารอาหารค่าาา พร้อมกับคำแนะนำเสริมว่า คราวหน้าไม่ต้องยกถุงมานะ เดี๋ยวถ้ามันเป็นโรค ไม่ใช่แค่ขาดสารอาหาร มันจะเอาโรคไปปล่อยให้คนอื่น 555 เราก็ไม่ทันคิดระมัดระวัง เกือบสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นละ
กลับมาเราก็มาคิดคำนวนว่าควรใส่ปุ๋ยเพิ่มเท่าไรกันดี อัตราส่วนข้างกระป๋องคงจะไม่ค่อยเหมาะกับผลไม้เมล่อน ด้วยความเป็นมืออาชีพระดับประถม เราจึงอัดปุ๋ยกันเข้มข้นเลยทีเดียว ค่าปงค่าปุ๋ยค่อยมาคิด ณ จุดนั้น เมล่อนอย่าตาย... แต่แล้ว แม่เจ้า มันไม่ตายค่า โตขึ้นมา เขียวงดงามดี... ได้สักระยะ เรายังไม่หยุดยั้งการอัดปุ๋ยเนื่องด้วยมันโตช้าไปช่วงแรก ผลที่เกิดขึ้นคือ ใบสีเขียวเข้มจัดๆๆๆ และเริ่มห่อเหมือนกรวยทรงแหลม รีบถ่ายรูปส่งไปปรึกษาอ้ายคนเดิม พร้อมเพื่อนทางการเกษตรคนใหม่ที่รู้จักกันทางอินเตอร์เน็ต เค้าเป็นผู้มีบุญคุณกับสวนเราจริงๆ ช่วยให้คำตอบทั้งดึกมั่ง เช้าตรู่มั่ง ตอบแบบละเอียด แบบรู้สาเหตุ แบบอธิบายการวิเคราะห์ ว่าทำไมเกิดแบบนี้ หน้าตาแบบนี้น่าจะเป็นอะไร สังเกตุจากส่วนไหน โอ้วดีจริงที่ได้มาเจอ^^
แล้วเจ้าเมล่อนวัยหนุ่มของเราเป็นอะไรล่ะ อ่อ... ปุ๋ยเกินค่าาา 555 ผลจากความที่กลัวมันโตช้า อัดไม่ดูตาม้าตาเรือ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เดินทางสายกลางนะจ๊ะเด็กๆ
วันเป็นเดือนผ่านไปจนใกล้วันเก็บเกี่ยว ดีใจกันใหญ มีเมล่อนอินทรีย์ปลูกกันเองข้างสนามกินกันเองข้างสนาม แถมแจกข้างบ้านนิดหน่อย เนื่องจาก มีไม่มาก อำลากันกลางทางก็มี ลูกแคระไปก็มี แมลงขโมยบ้าง(ด้วยความเป็นอินทรีย์ หอมหวานปลอดภัย) แต่สุดท้ายก็ยังได้ลองกิน และที่แน่ๆ ได้ความรู้มากมาย ฝึกความอดทนต่อการต่อสู้กับโรคพืชแบบต่างๆในพื้นฐานเกษตรประถม ฝึกความพยายามและยึดมั่นในอุดมการณ์ที่จะเป็นเมล่อนอินทรีย์ ไม่ยอมต่อโรคพืชที่รุมเร้า ได้มิตรภาพดีๆจากคนไม่สนิทกลายเป็นคนเริ่มจะสนิท มิตรภาพดีๆจากคนไม่เคยเจอหน้ากัน จนวันนี้ หน้าสดๆก็ยังไม่เคยเจอกันอยู่ดี วันนึงเราจะไปขอบคุณเค้าด้วยคำพูดจากปาก ไม่ใช่แค่ตัวหนังสือบนอินเตอร์เน็ต
3เดือนผ่านไป เราได้เริ่มทำโรงเรือนใหญขึ้น จริงจังขึ้น เราเริ่มสร้างโรงเรือนขนาด 6x15 เมตร 3 โรงเรือน เพียงไม่กี่วันช่างขึ้นโรงเรือนเสร็จ พวกเราดีใจรีบนำวัสดุปลูกใส่ถุงปลูก พร้อมจะลงมือปลูกกันทันที "เย็นละ วันนี้พอแค่นี้ก่อนเนอะ" เราและผู้ร่วมอุดมการณ์คุยกัน เราขับรถออกจากสวนเวลา 18.30 เพื่อกลับบ้านกินข้าวพักผ่อนเตรียมลุยงานปลูกในเข้าสดใสวันถัดไป แต่... 19.00 ลมพายุเริ่มมา ผ่านไปไม่กี่นาที ฝนตกหนัก และตามมาด้วยไฟฟ้าดับนานหลายชั่วโมง และเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจากแฟนที่ยังอยู่สวน ออกมาไม่ทันก่อนฝนตก "โรงเรือนล้มหมดเลย..." เสียงตามสายทำเอาเราคิดในใจว่า จริงเหรอเนี่ย!!! เรารอฝนหยุดจน 20.00 ขับรถพาเจ้าลูกชายผ่าความมืดตามถนนเนื่องจากไฟดับทั้งอำเภอ และหลายอำเภอ ไปยังสวน สิ่งที่เจอ ภาพแรกคือ ความมืดและเงาของแฟนนั่งกุมขมับอยู่ข้างโรงเรือนที่ล้มระเนระนาด
เราพูดอะไรไม่ออก ได้แต่บอกกันว่า "ไม่เป็นไร เอาใหม่นะ"
หลังจากวันนั้น เรารวบรวมเงินก้อนสุดท้าย ขึ้นโรงเรือนใหม่ เน้นกับช่างขอแบบที่ ฝนตกแล้วยังนอนหลับอุ่นใจ คราวนี้ เราขึ้นโรงเรือนใหม่ 5 โรง และมีการวางระบบน้ำที่ควบคุมการปล่อยน้ำด้วยระบบคอมพิวเตอร์(ยังไม่ทิ้งมาดโปรแกรมเมอร์น่ะ555) ถึงตอนนี้จะยังอยู่ในระยะที่ยังต้องพัฒนาขีดความสามารถของระบบขึ้นเรื่อยๆ แต่มันก็ช่วยให้พวกเราสะดวกสบายในการปรับเปลี่ยนการให้น้ำในแต่ละช่วงฤดูกาล(ที่มักเปลี่ยนแปลงบ่อย)
เราพบว่าความมุ่งมั่นที่จะต้องทำมันขึ้นมาให้ได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไร ความสามัคคี ความร่วมด้วยช่วยกันของครอบครัว จะทำให้พ้นวิกฤตไปได้
ปัจจุบัน ผ่านมา 11 เดือน พวกเรา ปลูกเมล่อนปลอดสารกันอย่างจริงจังและเริ่มมีผลผลิตออกวางขายทุกๆเดือน คงยังเป็นมูลค่าที่ไม่มาก แต่ได้คุณค่าทางจิตใจนับไม่ถ้วน
สุดท้ายที่ต้องขอบคุณคงเป็นคนในครอบครัวที่ร่วมด้วยช่วยกันมาตลอด อยากบอกว่าอย่าดูถูกความสามารถตัวเอง คนใกล้ชิด และเด็ก2 ขวบ
สวัสดี