มาค่ะมา ล้อมวงฟัง (่อ่าน) กัน จะเล่าประสบการณ์ปลูกกล้วยหอมทองด้วยเกษตรอินทรีย์ 100% !!! ให้ฟัง
มันดียังไง!
และอีกครั้ง มาค่ะมา จะเล่าให้ฟัง
คุณบรรหาร อินทรสุวรรณโณ ผู้จัดการโรงงาน บริษัท เอส.วี. การเกษตร จำกัด (ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายปุ๋ยอินทรีย์และนวัตกรรมเอนไซม์จ้า) จะเฉลยเคล็ดลับให้เราฟัง
บนพื้นที่ 3 ไร่ หน้าโรงงาน ณ จังหวัดราชบุรี ปลูกกล้วยหอมทองเรียงกันสวยงาม ลำต้นเท่ากันหมด และสูงไม่เกิน 2 เมตร
สูงพอดีให้เก็บกล้วยได้สะดวกกันเลยทีเดียว คุณบรรหารควบคุมความสูงต้นกล้วยด้วยการตอน อีกทั้งการตอนยังทำให้อาหารไปสะสมอยู่ที่เหง้าของต้นเป็นหลัก ลำต้นที่เราเห็นกันนั้น จริงๆ แล้วเป็นต้นเทียม เพราะต้นจริงคือ “เหง้า” ที่อยู่ในดินต่างหาก เมื่อปล่อยให้เจริญตามธรรมชาติ จะได้ต้นที่ไม่สูง แต่ให้ผลผลิตที่สมบูรณ์มาก
การตัดหน่อต้นกล้วยคือหลักสำคัญในการตอนต้นกล้วย
เริ่มปฏิบัติเมื่อมีหน่อขึ้นมากับต้นแม่ ตัดครั้งแรกเมื่อหน่อกล้วยแตกใบ 2-3 ใบ จากนั้นค่อยตัดทุก 2 เดือน จนต้นแม่เริ่มติดเครือในเดือนที่ 8-9 จะเริ่มไว้หน่อที่ต้องการให้เติบโตขึ้นมาทดแทนหลังจากตัดเครือแล้ว การตัดแบบนี้ไปเรื่อยๆ จะทำให้กล้วยมีทรงต้นไม่สูง ลดปัญหาการหักโค่นไปได้อีก
กล้วยหอมทองในแปลงของคุณบรรหารจะถูกส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่นทั้งหมด ซึ่งจะรับซื้อในราคาประกัน ที่กิโลกรัมละ 17.60-22.60 บาท ขึ้นอยู่กับช่วงสภาวะตลาดในการเริ่มต้นนั้น คุณบรรหารให้ข้อมูล ว่า
“สิ่งที่เน้นดำเนินการเป็นอันดับแรกคือการคืนชีวิตให้กับผืนดิน ซึ่งหมายถึงการ คืนความอุดมสมบูรณ์ให้กับดิน ด้วยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์และเอนไซม์ที่ผลิตขึ้นมาใส่เพื่อปรับปรุง จนประสบความสำเร็จสามารถ ปลูกกล้วยหอมทองได้อย่างมีคุณภาพ เป็นที่ต้องการของตลาดในวันนี้บริเวณส่วนแปลงเกษตรของ เอส.วี. การเกษตร นอกจากจะปลูกกล้วยหอมทองแล้ว ยังมีการปลูกพืชที่น่าสนใจอีกหลายชนิด เช่น เมล่อนสายพันธุ์จากญี่ปุ่น มะเขือเทศฮอลแลนด์ มัลเบอร์รี่ (หม่อนกินผล) แตงโม เป็นต้น โดยทุกอย่างปลูกแบบ พืชอินทรีย์เช่นเดียวกัน”
“หากมาดูในพื้นที่ของเราจะเห็นชัดเลยว่าเป็นสภาพดินที่แย่มาก แต่บริษัทต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่า ถ้าใช้หลักการปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยอินทรีย์ของเราแล้วสามารถทำให้ดินกลับมา อุดมสมบูรณ์ได้เป็นอย่างดี โดยเริ่มแรกนั้นจะนำปุ๋ยอินทรีย์มาใส่ในพื้นที่ก่อนระยะหนึ่ง จนเริ่มเห็นว่าดินมีสภาพดีขึ้น จึง ทำการขุดหลุมปลูก โดยใช้ขนาด 30 x 30 x 30 เซนติเมตร แล้วรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยอินทรีย์ประมาณ 0.5 กิโลกรัม ต่อหลุม”
“ส่วนการปลูกจะต้องมีการยกร่องหรือไม่นั้น ขอให้พิจารณาจากสภาพพื้นที่เป็นหลัก ถ้าเป็นพื้นที่น้ำขัง แบบจังหวัดปทุมธานี จำเป็นต้องมีการยกร่องสูง แต่สำหรับที่สวนผึ้ง สภาพพื้นที่จะเป็นน้ำซับ ดังนั้นผมจะยกร่องขึ้นมานิดหนึ่งเพื่อให้น้ำระบายออกไปได้ จากนั้นคลุกเคล้าดินและปุ๋ยให้เข้ากัน เอาหน่อกล้วยหอมทองลงปลูก กลบหลุมแล้วให้น้ำโดยในแปลงปลูกแห่งนี้จะใช้ระบบการให้น้ำแบบ สปริงเกลอร์“
“หลังจากนั้น การดูแลจะเน้นการใส่ปุ๋ยอินทรีย์และเอนไซม์ เพื่อช่วยในการเจริญเติบโต โดยปุ๋ยอินทรีย์จะให้แบบเม็ดในอัตรา 0.5 กิโลกรัม ต่อหลุม ทุก 1 เดือนส่วนเอนไซม์จะใส่ไปพร้อมกับการให้น้ำแบบสปริงเกลอร์ ซึ่งผลจากการที่ปฏิบัติดังกล่าว ส่งผลทำให้ต้นกล้วยหอมทองมีความสมบูรณ์ ให้ผลผลิตออกมาดี โดยเครือหนึ่งจะมีจำนวนหวี 6-7 หวี หรือคิดเป็นน้ำหนัก อยู่ที่ประมาณ 16-17 กิโลกรัม ต่อเครือ”
กล้วยหอมทองที่คุณบรรหารส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่นนั้น เป็นที่พึงพอใจมาก เพราะมีคุณภาพดี ไม่มีโรคแมลง
“ดูง่ายๆ เลยว่า เครือกล้วยหอมทอง ของเราไม่มีการห่อเหมือนกับที่อื่นๆ สาเหตุเพราะโรคแมลงของเราไม่มีมารบกวน จาก ประสบการณ์ที่ผ่านมาของผมพบว่า ถ้าปลูกกล้วยหอมทองแล้ว เน้นการใช้ปุ๋ยอินทรีย์เป็นหลัก จะมีข้อดีมากกว่าการใช้ปุ๋ยเคมี อย่างแรกที่ผมเห็นชัดคือ โรคที่แถวนี้ จะเรียกว่า โรคหัวแตก ที่ สวนแห่งนี้ไม่พบเลย ในขณะที่แปลงที่เน้นการใช้ปุ๋ยเคมีจะพบปัญหาโรคนี้มาก และไม่สามารถแก้ไขได้ เช่น เดียวกับหนอนกอ ไม่พบว่ามีการระบาดเลย”
ในการทำเกษตรที่จะยั่งยืนเราต้องคืนทุนให้กับธรรมชาติด้วย วิถีการเกษตรแบบอินทรีย์จึงตอบโจทย์ตรงนี้นั่นเอง
ใครที่ฟัง(อ่าน) คุณบรรหารเล่าแล้ว สนใจวิถีเกษตรอินทรีย์ ก็เข้าพูดคุยได้ที่ แฟนเพจเฟซบุ๊ค SVgroup นะคะ
หรือ
- โทร: 090 880 1089
- LINE ID: sv.group
วิถีออแกนิค/เกษตรอินทรีย์กำลังมา รอช้าอยู่ไย ลงมือทำกันเลยเถอะค่ะ!
Cr : Kasetidea
http://kasetidea.svgroup.co.th/gros-michel-banana/
มีใครปลูกกล้วยหอมทองบ้าง? เคยปลูกด้วยเกษตรอินทรีย์รึยังคะ
มันดียังไง!
และอีกครั้ง มาค่ะมา จะเล่าให้ฟัง
คุณบรรหาร อินทรสุวรรณโณ ผู้จัดการโรงงาน บริษัท เอส.วี. การเกษตร จำกัด (ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายปุ๋ยอินทรีย์และนวัตกรรมเอนไซม์จ้า) จะเฉลยเคล็ดลับให้เราฟัง
บนพื้นที่ 3 ไร่ หน้าโรงงาน ณ จังหวัดราชบุรี ปลูกกล้วยหอมทองเรียงกันสวยงาม ลำต้นเท่ากันหมด และสูงไม่เกิน 2 เมตร
สูงพอดีให้เก็บกล้วยได้สะดวกกันเลยทีเดียว คุณบรรหารควบคุมความสูงต้นกล้วยด้วยการตอน อีกทั้งการตอนยังทำให้อาหารไปสะสมอยู่ที่เหง้าของต้นเป็นหลัก ลำต้นที่เราเห็นกันนั้น จริงๆ แล้วเป็นต้นเทียม เพราะต้นจริงคือ “เหง้า” ที่อยู่ในดินต่างหาก เมื่อปล่อยให้เจริญตามธรรมชาติ จะได้ต้นที่ไม่สูง แต่ให้ผลผลิตที่สมบูรณ์มาก
การตัดหน่อต้นกล้วยคือหลักสำคัญในการตอนต้นกล้วย
เริ่มปฏิบัติเมื่อมีหน่อขึ้นมากับต้นแม่ ตัดครั้งแรกเมื่อหน่อกล้วยแตกใบ 2-3 ใบ จากนั้นค่อยตัดทุก 2 เดือน จนต้นแม่เริ่มติดเครือในเดือนที่ 8-9 จะเริ่มไว้หน่อที่ต้องการให้เติบโตขึ้นมาทดแทนหลังจากตัดเครือแล้ว การตัดแบบนี้ไปเรื่อยๆ จะทำให้กล้วยมีทรงต้นไม่สูง ลดปัญหาการหักโค่นไปได้อีก
กล้วยหอมทองในแปลงของคุณบรรหารจะถูกส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่นทั้งหมด ซึ่งจะรับซื้อในราคาประกัน ที่กิโลกรัมละ 17.60-22.60 บาท ขึ้นอยู่กับช่วงสภาวะตลาดในการเริ่มต้นนั้น คุณบรรหารให้ข้อมูล ว่า
“สิ่งที่เน้นดำเนินการเป็นอันดับแรกคือการคืนชีวิตให้กับผืนดิน ซึ่งหมายถึงการ คืนความอุดมสมบูรณ์ให้กับดิน ด้วยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์และเอนไซม์ที่ผลิตขึ้นมาใส่เพื่อปรับปรุง จนประสบความสำเร็จสามารถ ปลูกกล้วยหอมทองได้อย่างมีคุณภาพ เป็นที่ต้องการของตลาดในวันนี้บริเวณส่วนแปลงเกษตรของ เอส.วี. การเกษตร นอกจากจะปลูกกล้วยหอมทองแล้ว ยังมีการปลูกพืชที่น่าสนใจอีกหลายชนิด เช่น เมล่อนสายพันธุ์จากญี่ปุ่น มะเขือเทศฮอลแลนด์ มัลเบอร์รี่ (หม่อนกินผล) แตงโม เป็นต้น โดยทุกอย่างปลูกแบบ พืชอินทรีย์เช่นเดียวกัน”
“หากมาดูในพื้นที่ของเราจะเห็นชัดเลยว่าเป็นสภาพดินที่แย่มาก แต่บริษัทต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่า ถ้าใช้หลักการปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยอินทรีย์ของเราแล้วสามารถทำให้ดินกลับมา อุดมสมบูรณ์ได้เป็นอย่างดี โดยเริ่มแรกนั้นจะนำปุ๋ยอินทรีย์มาใส่ในพื้นที่ก่อนระยะหนึ่ง จนเริ่มเห็นว่าดินมีสภาพดีขึ้น จึง ทำการขุดหลุมปลูก โดยใช้ขนาด 30 x 30 x 30 เซนติเมตร แล้วรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยอินทรีย์ประมาณ 0.5 กิโลกรัม ต่อหลุม”
“ส่วนการปลูกจะต้องมีการยกร่องหรือไม่นั้น ขอให้พิจารณาจากสภาพพื้นที่เป็นหลัก ถ้าเป็นพื้นที่น้ำขัง แบบจังหวัดปทุมธานี จำเป็นต้องมีการยกร่องสูง แต่สำหรับที่สวนผึ้ง สภาพพื้นที่จะเป็นน้ำซับ ดังนั้นผมจะยกร่องขึ้นมานิดหนึ่งเพื่อให้น้ำระบายออกไปได้ จากนั้นคลุกเคล้าดินและปุ๋ยให้เข้ากัน เอาหน่อกล้วยหอมทองลงปลูก กลบหลุมแล้วให้น้ำโดยในแปลงปลูกแห่งนี้จะใช้ระบบการให้น้ำแบบ สปริงเกลอร์“
“หลังจากนั้น การดูแลจะเน้นการใส่ปุ๋ยอินทรีย์และเอนไซม์ เพื่อช่วยในการเจริญเติบโต โดยปุ๋ยอินทรีย์จะให้แบบเม็ดในอัตรา 0.5 กิโลกรัม ต่อหลุม ทุก 1 เดือนส่วนเอนไซม์จะใส่ไปพร้อมกับการให้น้ำแบบสปริงเกลอร์ ซึ่งผลจากการที่ปฏิบัติดังกล่าว ส่งผลทำให้ต้นกล้วยหอมทองมีความสมบูรณ์ ให้ผลผลิตออกมาดี โดยเครือหนึ่งจะมีจำนวนหวี 6-7 หวี หรือคิดเป็นน้ำหนัก อยู่ที่ประมาณ 16-17 กิโลกรัม ต่อเครือ”
กล้วยหอมทองที่คุณบรรหารส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่นนั้น เป็นที่พึงพอใจมาก เพราะมีคุณภาพดี ไม่มีโรคแมลง
“ดูง่ายๆ เลยว่า เครือกล้วยหอมทอง ของเราไม่มีการห่อเหมือนกับที่อื่นๆ สาเหตุเพราะโรคแมลงของเราไม่มีมารบกวน จาก ประสบการณ์ที่ผ่านมาของผมพบว่า ถ้าปลูกกล้วยหอมทองแล้ว เน้นการใช้ปุ๋ยอินทรีย์เป็นหลัก จะมีข้อดีมากกว่าการใช้ปุ๋ยเคมี อย่างแรกที่ผมเห็นชัดคือ โรคที่แถวนี้ จะเรียกว่า โรคหัวแตก ที่ สวนแห่งนี้ไม่พบเลย ในขณะที่แปลงที่เน้นการใช้ปุ๋ยเคมีจะพบปัญหาโรคนี้มาก และไม่สามารถแก้ไขได้ เช่น เดียวกับหนอนกอ ไม่พบว่ามีการระบาดเลย”
ในการทำเกษตรที่จะยั่งยืนเราต้องคืนทุนให้กับธรรมชาติด้วย วิถีการเกษตรแบบอินทรีย์จึงตอบโจทย์ตรงนี้นั่นเอง
ใครที่ฟัง(อ่าน) คุณบรรหารเล่าแล้ว สนใจวิถีเกษตรอินทรีย์ ก็เข้าพูดคุยได้ที่ แฟนเพจเฟซบุ๊ค SVgroup นะคะ
หรือ
- โทร: 090 880 1089
- LINE ID: sv.group
วิถีออแกนิค/เกษตรอินทรีย์กำลังมา รอช้าอยู่ไย ลงมือทำกันเลยเถอะค่ะ!
Cr : Kasetidea
http://kasetidea.svgroup.co.th/gros-michel-banana/