Essex, ประเทศอังกฤษ
หนูน้อยเดินออกจากชั้นด้วยความใจเสียปนความอายเมื่อเขาถูกเรียกชื่อโดยคุณครูให้ออกจากห้องเรียนปกติเพื่อไปเข้าชั้นเรียนสำหรับเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือ “พิเศษ”
เด็กๆคนอื่นร้องเพลงแซว โดยเอาทำนองเพลง let it be มาแปลงใส่คำว่า special need (ต้องการความช่วยเหลือพิเศษเข้าไปแทน) พลางหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
หนูน้อยคนนี้เป็นโรคที่เรารู้จักกันในนามดิสเล็กเซีย (Dyslexia) ซึ่งทำให้ความบกพร่องในการอ่าน ส่งผลต่อปัญหาในการอ่านเขียน การสะกดคำและผสมคำ จัดเป็นความไม่ปรกติด้านการเรียนรู้ (จริงๆแล้วไม่เรียกว่าเป็นโรคซะทีเดียว เพราะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยา ต้องอาศัยความเข้าใจและกำลังใจของตัวเองและคนรอบข้างเป็นหลัก) มีสาเหตุมาจากการทำงานที่เซลล์สมองซีกซ้ายที่ผิดปรกติ ซึ่งส่วนใหญ่จะทำให้เด็กมีปัญหาในการเรียนบ้างไม่มากก็น้อย
แม้จะมีอุปสรรคหนักหนาเรื่องการเรียน แต่หนูน้อยคนนี้สนุกกับการทำอาหารและโชคดีที่พ่อแม่ของเขามีร้านอาหารกึ่งผับเล็กๆ เขาจึงมีที่ซ้อมมือในการทำอาหารได้ตลอด
การทำอาหารเป็นสิ่งที่เขาหลงไหล เมื่อเรียนหนังสือจบเขาจึงพยายามหาร้านในร้านอาหารจะในที่สุดก็ได้โอกาสไปทำงานในร้านอาหารอิตาเลี่ยนแห่งหนึ่งและได้ค้นพบว่า อาหารอิตาเลี่ยนเป็นอาหารที่เขาทำได้ดีเป็นพิเศษ
ในปี 1997 ผู้จัดของ BBC เห็นแววของเขาหลังจากได้ออกทีวีสั้นๆในรายการทำอาหารรายการหนึ่ง เนื่องจากสไตล์การพูดที่ไม่เหมือนใครและการทำอาหารที่ทำให้เรื่องยากๆดูง่าย จึงชวนเขามาทำรายการให้ BBC
รายการนี้ชื่อ The Naked Chef ซึ่งทำให้ Jamie Oliver ดังเป็นพลุแตกและรายการทีวีอีกหลายสิบรายการตามมา เขาได้กลายเป็นเชฟที่ร่ำรวยที่สุดในโลก โดยนิตยสาร Forbes Magazine ประมาณการณ์ทรัพย์สินของเขาว่ามีเกิน 10,000 ล้านบาท
Jamie ยังมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนอาหารของในโรงเรียนของอังกฤษให้ดีต่อสุขภาพเด็กมากขึ้น เมื่อการเรียกร้องของเขา ส่งผลในการแก้กฏเกณฑ์เรื่องการจัดหาอาหารในโรงเรียน เมื่อทำสำเร็จที่อังกฤษแล้วเขายังรณรงค์เรื่องนี้ต่อในอเมริกาอีกด้วย
นอกจากนี้ ทุกๆปีเขายังมีโครงการที่ชื่อว่า fifteen ซึ่งเป็นการนำเอาเด็กด้อยโอกาสหรือมีปัญหา เข้ามาฝึกในร้านอาหารของเขาเพื่อที่จะมีโอกาสมีอาชีพและชีวิตที่ดีขึ้น
ปัจจุบัน Jamie Oliver เป็นเจ้าของร้านอาหารกว่า 50 ร้านและเป็นเจ้าของหนังสือทำอาหารขายดีกว่า 20 เล่ม ทั้งที่มีหนังสือของตัวเองมากมาย แต่เพราะโรคดิสเล็กเซียทำให้กว่าเขาจะอ่านหนังสือเล่มแรกในชีวิตจบ ก็อายุปาเข้าไป 38 ปีแล้ว หนังสือที่ว่าคือนิยายเรื่อง Hunger Games : Catching Fire
“ปัญหาไม่ได้มาจากอุปสรรคที่ทุกคนมี ปัญหาจะเกิดก็ต่อเมื่อคนเหล่านั้นเอาอุปสรรคมาเป็นข้ออ้างในการดำเนินชีวิตมากกว่า” เขากล่าว
ที่มา: WORKPOINT ENTERTAINMENT / Wegointer.com
======================================================================
ติดตามข่าวสาร ศูนย์รวมความรู้-บทความเรื่องการลงทุน, อสังหา, และธุรกิจ ได้ที่
https://www.facebook.com/thinkvestment
=== Jamie Oliver จากเด็กผู้บกพร่อง สู่เส้นทางของเชฟที่รวยที่สุดในโลก ===
หนูน้อยเดินออกจากชั้นด้วยความใจเสียปนความอายเมื่อเขาถูกเรียกชื่อโดยคุณครูให้ออกจากห้องเรียนปกติเพื่อไปเข้าชั้นเรียนสำหรับเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือ “พิเศษ”
เด็กๆคนอื่นร้องเพลงแซว โดยเอาทำนองเพลง let it be มาแปลงใส่คำว่า special need (ต้องการความช่วยเหลือพิเศษเข้าไปแทน) พลางหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
หนูน้อยคนนี้เป็นโรคที่เรารู้จักกันในนามดิสเล็กเซีย (Dyslexia) ซึ่งทำให้ความบกพร่องในการอ่าน ส่งผลต่อปัญหาในการอ่านเขียน การสะกดคำและผสมคำ จัดเป็นความไม่ปรกติด้านการเรียนรู้ (จริงๆแล้วไม่เรียกว่าเป็นโรคซะทีเดียว เพราะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยา ต้องอาศัยความเข้าใจและกำลังใจของตัวเองและคนรอบข้างเป็นหลัก) มีสาเหตุมาจากการทำงานที่เซลล์สมองซีกซ้ายที่ผิดปรกติ ซึ่งส่วนใหญ่จะทำให้เด็กมีปัญหาในการเรียนบ้างไม่มากก็น้อย
แม้จะมีอุปสรรคหนักหนาเรื่องการเรียน แต่หนูน้อยคนนี้สนุกกับการทำอาหารและโชคดีที่พ่อแม่ของเขามีร้านอาหารกึ่งผับเล็กๆ เขาจึงมีที่ซ้อมมือในการทำอาหารได้ตลอด
การทำอาหารเป็นสิ่งที่เขาหลงไหล เมื่อเรียนหนังสือจบเขาจึงพยายามหาร้านในร้านอาหารจะในที่สุดก็ได้โอกาสไปทำงานในร้านอาหารอิตาเลี่ยนแห่งหนึ่งและได้ค้นพบว่า อาหารอิตาเลี่ยนเป็นอาหารที่เขาทำได้ดีเป็นพิเศษ
ในปี 1997 ผู้จัดของ BBC เห็นแววของเขาหลังจากได้ออกทีวีสั้นๆในรายการทำอาหารรายการหนึ่ง เนื่องจากสไตล์การพูดที่ไม่เหมือนใครและการทำอาหารที่ทำให้เรื่องยากๆดูง่าย จึงชวนเขามาทำรายการให้ BBC
รายการนี้ชื่อ The Naked Chef ซึ่งทำให้ Jamie Oliver ดังเป็นพลุแตกและรายการทีวีอีกหลายสิบรายการตามมา เขาได้กลายเป็นเชฟที่ร่ำรวยที่สุดในโลก โดยนิตยสาร Forbes Magazine ประมาณการณ์ทรัพย์สินของเขาว่ามีเกิน 10,000 ล้านบาท
Jamie ยังมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนอาหารของในโรงเรียนของอังกฤษให้ดีต่อสุขภาพเด็กมากขึ้น เมื่อการเรียกร้องของเขา ส่งผลในการแก้กฏเกณฑ์เรื่องการจัดหาอาหารในโรงเรียน เมื่อทำสำเร็จที่อังกฤษแล้วเขายังรณรงค์เรื่องนี้ต่อในอเมริกาอีกด้วย
นอกจากนี้ ทุกๆปีเขายังมีโครงการที่ชื่อว่า fifteen ซึ่งเป็นการนำเอาเด็กด้อยโอกาสหรือมีปัญหา เข้ามาฝึกในร้านอาหารของเขาเพื่อที่จะมีโอกาสมีอาชีพและชีวิตที่ดีขึ้น
ปัจจุบัน Jamie Oliver เป็นเจ้าของร้านอาหารกว่า 50 ร้านและเป็นเจ้าของหนังสือทำอาหารขายดีกว่า 20 เล่ม ทั้งที่มีหนังสือของตัวเองมากมาย แต่เพราะโรคดิสเล็กเซียทำให้กว่าเขาจะอ่านหนังสือเล่มแรกในชีวิตจบ ก็อายุปาเข้าไป 38 ปีแล้ว หนังสือที่ว่าคือนิยายเรื่อง Hunger Games : Catching Fire
“ปัญหาไม่ได้มาจากอุปสรรคที่ทุกคนมี ปัญหาจะเกิดก็ต่อเมื่อคนเหล่านั้นเอาอุปสรรคมาเป็นข้ออ้างในการดำเนินชีวิตมากกว่า” เขากล่าว
ที่มา: WORKPOINT ENTERTAINMENT / Wegointer.com
======================================================================
ติดตามข่าวสาร ศูนย์รวมความรู้-บทความเรื่องการลงทุน, อสังหา, และธุรกิจ ได้ที่ https://www.facebook.com/thinkvestment