คติธรรม คำสอน สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสณมหาเถระ)
"หลักธรรมะทั้งหมด เป็นธรรมะที่ครองใจทั้งนั้น เพราะว่าธรรมะเป็นเรื่องของนามธรรมจริงๆ แม้จะตรัสสอนเรื่อง รูปธรรม แต่ก็เป็นคำสอนที่จะนำไปครองใจ เอาไปเก็บไว้ในใจ ธรรมะทั้งหมดจึงเป็นธรรม ที่ครองใจ"
คำว่า "นามธรรม" คือไม่สามารถจับต้องได้โดยอาศัยประสาทสำผัสทั้ง 5 อันประกอบไปด้วย ตา หู จมูก ลิ้น และร่างกาย เช่น ความรู้สึกต่างๆ ทุกคนเชื่อว่ามีอยู่จริง แต่ไม่สามารถจับต้องได้ นั่นคือ สิ่งที่เป็นนามธรรม
ด้วยเหตุนี้เอง "จิตใจ" จึงจัดอยู่ในสิ่งที่เป็นนามธรรมด้วย เพราะไม่สามารถสำผัสได้ทางประสาทสำผัสหยาบทั้ง 5 ก็ต่อเมื่อมีผู้ใด ฝึกเจริญสมาธิภาวนาจนถึงจุดๆหนึ่ง ก็จะทราบว่าจิตใจและอารมณ์ต่างๆมีอยู่จริง
ความรัก โลภ โกรธ หลง ต่างๆอยู่ที่ไหน? ถ้าอยู่ที่ร่างกายที่เป็นรูปธรรม คงไม่ต้องห่วง เพราะว่าถ้าอยากลดสิ่งใด ก็ไปหาหมอ ให้หมอช่วยตัดออกให้หรือฉีดยารักษาให้ หรือสักวันหนึ่งก็หายไปเอง ในวันที่อายุขัยหมด ก็ต้องทิ้งร่างกาย กิเลสทั้งหมดก็ย่อมถูกทิ้งตาม
แต่เหตุการณ์หาเป็นเช่นนั้นไม่ เนื่องจากว่ากิเลสทั้งหลายเป็นรูปธรรม ไม่สามารถจับต้องได้ด้วยประสาทหยาบทั้ง 5 ก็เลยกลายเป็นว่าต้องใช้เครื่องมือที่เป็นรูปธรรมจัดการเช่นกัน นั่นก็คือจิตใจนั่นเอง
ด้วยเหตุนี้ธรรมะทั้งหมด จึงอยู่ที่จิตใจเป็นสำคัญ ผู้ใดครองธรรมะในใจไว้มาก ทำมาก ปฏิบัติมาก กิเลสก็จะค่อยๆล้มหายตายจากไปทีละนิด จนหมดไป
แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสสอนเรื่องของรูปธรรม คือร่างกายด้วย เพราะแม้ว่ากิเลสไม่ได้อยู่ในร่างกาย แต่ร่างกายก็เป็นสิ่งที่มนุษย์หลงผิด คิดว่าเป็นตัวเรา ของเรา เมื่อมีใครมาทำให้เกิดเสื่อมเสียทางร่างกาย กิเลสในใจก็ปรุงแต่งให้มีอารมณ์รัก โลภ และโกรธ ขึ้นมา ด้วยความ "หลง" เป็นหัวหน้าใหญ่
อีกทั้งรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย และสำผัสที่พึงพอใจ ก็เป็นผลมาจากการที่ร่างกายรับมาทั้งนั้น
พระพุทธองค์จึงต้องแสดงความจริงของร่างกายให้เห็น เพื่อให้คนได้เข้าใจว่าแท้จริงแล้วร่างกายมันไม่เป็นเรา ไม่เป็นของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา สิ่งที่สำผัสได้ทั้งหมดนั้น เป็นของปลอม เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ สุดท้ายก็สูญสลายหายไปตามกาลเวลา
เมื่อบุคคลใดพิจารณาตาม ก็จะพบว่ารูปธรรมไม่มีอยู่จริง ตามที่ได้กล่าวไป ในเมื่อไม่มีอยู่จริง จะยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเราไปเพื่ออะไร เพราะเหมือนกับการไขว่คว้าอากาศ ไขว่คว้าความว่างเปล่า ไม่ได้อะไรเลย
เมื่อจิตใจพิจารณาจนเกิดปัญญา ก็เกิดอาการปล่อยวางในรูปธรรมทั้งหมด เหลือแต่ธรรมะที่ครองอยู่ภายในใจ
แหล่งที่มา : เดลินิวส์และ
http://dhammasawasde.blogspot.com
( ภาพลิขสิทธิ์เป็นของ "ทีมงานเว็บวัดท่าซุง" )
หลักธรรมคำสอนส่วนหนึ่ง ของสมเด็จเกี่ยว
"หลักธรรมะทั้งหมด เป็นธรรมะที่ครองใจทั้งนั้น เพราะว่าธรรมะเป็นเรื่องของนามธรรมจริงๆ แม้จะตรัสสอนเรื่อง รูปธรรม แต่ก็เป็นคำสอนที่จะนำไปครองใจ เอาไปเก็บไว้ในใจ ธรรมะทั้งหมดจึงเป็นธรรม ที่ครองใจ"
คำว่า "นามธรรม" คือไม่สามารถจับต้องได้โดยอาศัยประสาทสำผัสทั้ง 5 อันประกอบไปด้วย ตา หู จมูก ลิ้น และร่างกาย เช่น ความรู้สึกต่างๆ ทุกคนเชื่อว่ามีอยู่จริง แต่ไม่สามารถจับต้องได้ นั่นคือ สิ่งที่เป็นนามธรรม
ด้วยเหตุนี้เอง "จิตใจ" จึงจัดอยู่ในสิ่งที่เป็นนามธรรมด้วย เพราะไม่สามารถสำผัสได้ทางประสาทสำผัสหยาบทั้ง 5 ก็ต่อเมื่อมีผู้ใด ฝึกเจริญสมาธิภาวนาจนถึงจุดๆหนึ่ง ก็จะทราบว่าจิตใจและอารมณ์ต่างๆมีอยู่จริง
ความรัก โลภ โกรธ หลง ต่างๆอยู่ที่ไหน? ถ้าอยู่ที่ร่างกายที่เป็นรูปธรรม คงไม่ต้องห่วง เพราะว่าถ้าอยากลดสิ่งใด ก็ไปหาหมอ ให้หมอช่วยตัดออกให้หรือฉีดยารักษาให้ หรือสักวันหนึ่งก็หายไปเอง ในวันที่อายุขัยหมด ก็ต้องทิ้งร่างกาย กิเลสทั้งหมดก็ย่อมถูกทิ้งตาม
แต่เหตุการณ์หาเป็นเช่นนั้นไม่ เนื่องจากว่ากิเลสทั้งหลายเป็นรูปธรรม ไม่สามารถจับต้องได้ด้วยประสาทหยาบทั้ง 5 ก็เลยกลายเป็นว่าต้องใช้เครื่องมือที่เป็นรูปธรรมจัดการเช่นกัน นั่นก็คือจิตใจนั่นเอง
ด้วยเหตุนี้ธรรมะทั้งหมด จึงอยู่ที่จิตใจเป็นสำคัญ ผู้ใดครองธรรมะในใจไว้มาก ทำมาก ปฏิบัติมาก กิเลสก็จะค่อยๆล้มหายตายจากไปทีละนิด จนหมดไป
แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสสอนเรื่องของรูปธรรม คือร่างกายด้วย เพราะแม้ว่ากิเลสไม่ได้อยู่ในร่างกาย แต่ร่างกายก็เป็นสิ่งที่มนุษย์หลงผิด คิดว่าเป็นตัวเรา ของเรา เมื่อมีใครมาทำให้เกิดเสื่อมเสียทางร่างกาย กิเลสในใจก็ปรุงแต่งให้มีอารมณ์รัก โลภ และโกรธ ขึ้นมา ด้วยความ "หลง" เป็นหัวหน้าใหญ่
อีกทั้งรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย และสำผัสที่พึงพอใจ ก็เป็นผลมาจากการที่ร่างกายรับมาทั้งนั้น
พระพุทธองค์จึงต้องแสดงความจริงของร่างกายให้เห็น เพื่อให้คนได้เข้าใจว่าแท้จริงแล้วร่างกายมันไม่เป็นเรา ไม่เป็นของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา สิ่งที่สำผัสได้ทั้งหมดนั้น เป็นของปลอม เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ สุดท้ายก็สูญสลายหายไปตามกาลเวลา
เมื่อบุคคลใดพิจารณาตาม ก็จะพบว่ารูปธรรมไม่มีอยู่จริง ตามที่ได้กล่าวไป ในเมื่อไม่มีอยู่จริง จะยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเราไปเพื่ออะไร เพราะเหมือนกับการไขว่คว้าอากาศ ไขว่คว้าความว่างเปล่า ไม่ได้อะไรเลย
เมื่อจิตใจพิจารณาจนเกิดปัญญา ก็เกิดอาการปล่อยวางในรูปธรรมทั้งหมด เหลือแต่ธรรมะที่ครองอยู่ภายในใจ
แหล่งที่มา : เดลินิวส์และ http://dhammasawasde.blogspot.com
( ภาพลิขสิทธิ์เป็นของ "ทีมงานเว็บวัดท่าซุง" )