สวัสดีครับ เพื่อนๆ "เดอะค็อป" ทุกคน ต้อนรับฮัลโลวีนกับค่ำคืนสุดหลอน สำหรับแฟนบอล ลิเวอร์พูล ที่กำลังตั้งตารอดูเกมสำคัญในค่ำคืนวันเสาร์ ลุ้นเอาใจช่วย"คล้อปป์" ที่ยังไม่สามารถเอาชนะเกมในลีคได้ ซึ่งก่อนหน้านั้นมีโอกาสที่จะเก็บ 3 คะแนน ในการเปิดบ้านรับการมาเยือนของ เซาท์แธมป์ตัน จากการโหม่งประตูขึ้นนำของ "เบนเทเก้" แต่ก็ไม่สามารถรักษาสกอร์เอาไว้ได้ โดน "มาเน่" ยิงเอาช่วงท้ายเกมก่อนหมดเวลา 5 นาที ทำให้พลาดโอกาสได้ 3 คะแนนในแอนฟิลด์
ขอกล่าวถึง "เบนเทเก้" สักหน่อย ต้องขอบอกเลยว่า ก่อนที่มีข่าว "ร็อดเจอร์ส" จะพาตัวกองหน้ารายนี้เข้ามาร่วมทีม ผมคนนึงล่ะที่ต้องบอกเลยว่าแหยงกับกองหน้าร่างโย่งที่ซื้อเข้ามา ทรงรูปร่างจนคิดว่าเขานี่ล่ะ "เอมิล เฮสกีย์" เพราะตั้งแต่ คาร์โรล์,แลมเบิร์ต จนมากระทั้ง เบนเทเก้ จากการที่ได้เห็นการลงสนามในช่วงที่ ร็อดเจอร์ คุมทีมนั้น แม้รูปทรงเกมจะดูแย่ แต่ฟอร์มของเบนเทเก้ นั้นต้องบอกว่าค่อนข้างดี มีส่วนร่วมและยังสามารถทำประตูได้ แต่ละลูกที่ยิงนั้นสวยงามอีกต่างหาก....และในเกมเมื่อคืนที่ผ่านมา
จากการที่นายใหญ่คนใหม่ เจอร์เกน คล้อปป์ จัดตัวผู้เล่น โดย"ไร้ศูนย์หน้า" (FALSE 9) วาง "เฟอร์มิโน่" ไปเล่นเป็นหน้าเป้า อย่างที่เคยเห็น สเปน ใช้ ฟาเบรกัส และ บาร์เซโลน่า ที่มี เมสซี่ เป็นตัวชูโรง แต่เจตนาของ คล้อปป์คงเป็นการใช้ตัวผู้เล่นที่มีสภาพความฟิตสมบูรณ์มากกว่าในการยืนตำแหน่ง เพราะสำหรับเฟอร์มิโน่ นั้นตัวคล้อปป์ย่อมรู้ดี
และไม่อยากรีบเร่งใช้ศูนย์หน้าอย่าง เบนเทเก้ เลยให้เป็นตัวสำรอง คงไม่อยากรีบเอาลงในช่วงต้นเกมด้วยในเรื่องของสภาพความฟิต ส่วนทางด้าน โอริกี้ก็คงถูกลักพาตัวไปซ่อนไว้แน่ๆ เพราะไม่มีแม้กระทั่งรายชื่อสำรอง คงเปิดโอกาสให้ผู้เล่นคนอื่นได้ลงเล่นจากที่ลองใช้มาหลายเกม
ลิเวอร์พูลเริ่มต้นเกมได้ไม่ดีนักเพียงเข้านาทีที่ 4 ก็เสียประตู รามิเรส วิ่งสอดเข้ามาโหม่งขึ้นทำประตูโดยที่ตัวประกยอย่างโมเรโน่ นั้นยืนขาตาย เป็นความผิดพลาดในช่วงต้นเกม หลังจากที่ ลิเวอร์พูล เสียประตูแรกให้กับ เชลซี ก็กลับกลายเป็นฝ่ายครองเกม และ มีโอกาสทำประตูหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่สามารถคลำเป้าเจอ ... จนกระทั่งมาถึงในช่วงต่อเวลา มาหยุดตรงนี้แป๊บนึง ....สังเกตมูริญโญ่ ถ้าเป็นเมื่อก่อนด้วยความมั่นใจในการปิดเกม ตัวเขาคงเดินหันหลังกลับเข้าไปในห้องพักเพื่อรอพูดคุยปรับแทคติกในครึ่งหลัง
และแน่นอนเหมือนมีอะไรดลใจทำให้ตัวเขาหยุดชะงักเฝ้ามองเกมการแข่งขันในช่วงทดเวลา 2 นาที ด้วยเกมรุกที่ยังต่อเนื่อง "มาร์ค แคลตเท่นเบิร์ก" ยังให้เกมการแข่งขันดำเนินต่อไป เป็นคูติญโญ่ ที่ทำท่าจะยิ่งด้วยเท้าขวา ล็อคหลบปั่นด้วยเท้าซ้ายเข้าไปอย่างสวยงาม หลังจากที่ยิงประตูในนัดแรกเอาชนะ สโต๊ค ในเกมเปิดฤดูกาลได้แล้ว เขาก็ยังไม่สามารถยิงประตูได้อีกเลย แถมมีฟอร์มการเล่นที่มุทะลุจนไม่สนใจคนรอบข้าง ทำให้แฟนบอลร้องยี้ได้เหมือนกัน
เมื่อลิเวอร์พูลยิงตีเสมอขึ้นมา 1-1 ทำให้มูริญโญ่ที่เฝ้ามองดูเกมอยู่นั้นเดินหันหลังกลับเข้าไปด้วยความเซ็ง และ ไม่ว่าทีมไหนก็ตามโดนยิงนาทีช่วงทดเจ็บแบบนี้ คงมีอาการเซ็งไม่ต่างกัน
แต่สำหรับแฟนบอลอย่างเราที่ตามลุ้นอยู่ก็ต้องบอกว่า "เฮลั่น" ล่ะครับ เพราะนั้นอาจจะส่งผลต่อรูปเกมในครึ่งหลัง
เข้าสู่ในช่วงครึ่งหลัง ลิเวอร์พูลยังคงเป็นฝ่ายครองเกมและเปิดเกมเข้าใส่เชลซีอยู่เป็นระลอก เกมเริ่มเข้มข้นขึ้น เมื่อจังหวะปะทะ คอสต้า กับ สเคอร์เทล นั้นล้มลงไปและมีลูกแถมของ คอสต้ายันเข้าไปที่หน้าอกของ สเคอร์เทล กรรมการไม่ได้ว่าอะไร หลังจากนั้นมีอีกเหตุการณ์ ลูคัส ซึ่งโดนใบเหลืองไปแล้วไปสกัด รามิเรส ที่กำลังพาบอลไปด้านหน้า ต้องบอกว่าโชคดีมากที่ไม่โดนเหลืองที่สอง เพราะเกมการตัดเกมจากการทำเกมรุกของเชลซี (ถือว่าหายกันไปนะ)
ลิเวอร์พูลเกือบจะเสียประตูเมื่อ ลูคัสเสียบอลจากแดนกลาง ออสก้ายิงประตูเกือบครึ่งสนามมิโญเล่ยังถอยตัวออกไปปัดได้ทัน และการทีเปลี่ยนตัวเบนเทเก้ เข้ามานั้น อาจจะมีหลายๆคนคิดเหมือนผมว่า "ลาลาน่า" จะต้องถูกถอดออกไป แต่กลับกลายเป็น "มิลเนอร์" ที่เคยครอสบอลให้กับ เบนเทเก้ ในเกมที่เจอกับ เซาท์แธมป์ตัน โหม่งทำประตู คงเปิดเกมจากริมเส้นด้านข้างมากขึ้น
บอลจากหลังไปหน้าของ ลิเวอร์พูลได้ผล เมื่อจุดเริ่มต้นจาก ซาโก้ โยนยาวไปที่เบนเทเก้
โหม่งตั้งเข้ามาตรงกลาง ต้องบอกว่า จังหวะนี้มีดวงพอสมควร หากลาลาน่าไม่วืด บอลคงไม่หลุดลอยมาถึง คูติญโญ่ เหมือนดูรีเพลย์จากลูกแรก แต่ลูกนี้แฉลบกองหลังของเทอร์รี่ เข้าประตูไป ทำให้ลิเวอร์พูลขึ้นนำไป 2-1
เกมยังตกเป็นของ ลิเวอร์พูล และเกือบได้ประตูหนีห่างออกไป 3-1 เมื่อ โมเรโน่ วิ่งสอดทะลุขึ้นมาลากขึ้นไปยิงประตู แต่โดรเซฟเอาไว้ได้ หลังจากที่ประกบพลาดเสียประตูลูกแรกไปแล้ว ความเร็วของเจ้าหนูคนนี้ ช่วยได้ทั้งรับและรุก ดูเปลี่ยนไปคนละคนกับเมื่อก่อน การยืนตำแหน่งที่มักหลุดและโดนเจาะเข้าไปได้ง่าย ภายใต้การคุมทีมของ คล้อปป์ดูเปลี่ยนไป
เบนเทเก้ ลงมายิงปิดกล่องหนีห่างออกไป 3-1 ไม่รู้มีใครสังเกตเหมือนผมหรือเปล่านะ ประตูที่ 1 และ 2 อาการดีใจของ คล้อปป์ยังออกกั๊กๆ ยังไม่กล้ากระโดดแบบสะใจเหมือนนัดที่เจอกับ เซาท์แธมป์ตัน เพราะคงรู้ว่านั้นมันยังไม่สามารถการันตีในชัยชนะได้
แต่พอมาได้ประตูที่ 3 ดีใจแบบไม่ต้องกั๊ก....เสียงเพลง You'll never walk alone พร้อมดังกึกก้องที่ สแตรมฟอร์ด บริดจ์ แม้เชลซีจะอยู่ในช่วงขาลงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ..... แต่การที่ลิเวอร์พูลเอาชนะได้ถึง 3-1 นั้น ค่อนข้างเซอร์ไพร์ส
หากจะย้อมเกมกลับไปที่ลิเวอร์พูลสามารถเอาชนะเชลซีได้นั้นก็ต้องย้อนกลับไปในช่วงปลายฤดูกาล 2011/12 ถ้ายังจำกันได้ เชลซี เอาชนะ ลิเวอร์พูลในเกมนัดชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ไป 2-1 และ 4 วันให้หลังจากนั้น ลิเวอร์พูลเปิดบ้านถล่ม เชลซีไป 4-1 เป็นเวลาร่วมๆ เกือบ 4 ปี ที่ลิเวอร์พูลไม่สามารถเอาชนะเฃลซีได้เลยทั้ง เหย้าและเยือน โดยเฉพาะภายใต้การคุมทีมของ มูริญโญ่
ลิเวอร์พูลเปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละทีมในช่วง 2 เดือนก่อนหน้านี้ การเข้ามาของ คล้อปป์ ทำไมถึงทำให้ผู้เล่นเดิมๆ วิ่งมากขึ้น เป็นทีมเวิร์กมากขึ้น มีความดุดัน มีการเข้าทำที่แตกต่างในช่วงที่ผ่านมา
หน้าประตูฝั่งตรงข้าม จากที่ไม่ค่อยมีผู้เล่นอยู่ในกรอบเขตโทษ ผู้เล่นแดนกลาง แบคทั้งสองข้าง มีการวิ่งสอดเข้าไปหน้าประตูและดันเกมขึ้นสูง ในแดนกลางก็สามารถคอนโทรลเพื่อชะลอเกมรุกฝั่งตรงข้าม
ถึงแม้สถานการณ์ของเชลซีจะแตกต่างจากฤดูกาลที่แล้ว...แต่เกมเมื่อคืนนั้นทำให้แฟนบอลได้ลุ้นตลอด ในการสร้างสรรค์เกมบุกตลอด 90 นาที พยายามทำประตูมากกว่าตั้งรับ พยายามวิ่งเข้าหาบอล กดดัน เพื่อเอาบอลมาครอบครอง และความยายามเหล่านั้นไม่ได้สูญเปล่า
"โชคดีที่ก่อนหน้านั้นเรายังไม่ได้เจอเกมที่พ่ายแพ้และหวังว่าวันนั้นมันยังไม่มาเยือน...หากเป็นเกมที่เล่นแบบเมื่อคืนแม้เป็นเกมเกมที่พ่ายแพ้ แฟนบอลคงบ่นแค่ เสียดายแต่คงไม่เสียใจ สำหรับความลงเอยแบบนั้น"
และขอทิ้งคำพูดของ ผู้จัดการทีมเอาไว้ในช่วงท้ายว่า คุณได้ทำมันแล้ว เจอร์เก้น คล้อปป์
"มันเป็นประตูที่ยอดเยี่ยมมากๆ ผมเรียนรู้ในชีวิตของผมมาว่าถ้าคุณมีปาร์ตี้ครั้งนึงคุณก็ควรจะฉลองเพราะคุณไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่ มันเป็นเพียงชั่วครู่และตอนนี้ผมรู้แล้วว่าอย่าฉลองเร็วเกินไป หวังเป็นอย่างยิ่งนะว่าเราจะไม่ต้องรอนานสำหรับครั้งต่อไป"
สัมภาษณ์หลังจากเกมที่ ลิเวอร์พูลเปิดบ้านเสมอกับ เซาท์แธมตัน1-1
Kop คิด Kop ทอล์ค :(เก่งหลังเกม) ไม่ต้องรอนานสำหรับครั้งต่อไป "Klopp"
สวัสดีครับ เพื่อนๆ "เดอะค็อป" ทุกคน ต้อนรับฮัลโลวีนกับค่ำคืนสุดหลอน สำหรับแฟนบอล ลิเวอร์พูล ที่กำลังตั้งตารอดูเกมสำคัญในค่ำคืนวันเสาร์ ลุ้นเอาใจช่วย"คล้อปป์" ที่ยังไม่สามารถเอาชนะเกมในลีคได้ ซึ่งก่อนหน้านั้นมีโอกาสที่จะเก็บ 3 คะแนน ในการเปิดบ้านรับการมาเยือนของ เซาท์แธมป์ตัน จากการโหม่งประตูขึ้นนำของ "เบนเทเก้" แต่ก็ไม่สามารถรักษาสกอร์เอาไว้ได้ โดน "มาเน่" ยิงเอาช่วงท้ายเกมก่อนหมดเวลา 5 นาที ทำให้พลาดโอกาสได้ 3 คะแนนในแอนฟิลด์
ขอกล่าวถึง "เบนเทเก้" สักหน่อย ต้องขอบอกเลยว่า ก่อนที่มีข่าว "ร็อดเจอร์ส" จะพาตัวกองหน้ารายนี้เข้ามาร่วมทีม ผมคนนึงล่ะที่ต้องบอกเลยว่าแหยงกับกองหน้าร่างโย่งที่ซื้อเข้ามา ทรงรูปร่างจนคิดว่าเขานี่ล่ะ "เอมิล เฮสกีย์" เพราะตั้งแต่ คาร์โรล์,แลมเบิร์ต จนมากระทั้ง เบนเทเก้ จากการที่ได้เห็นการลงสนามในช่วงที่ ร็อดเจอร์ คุมทีมนั้น แม้รูปทรงเกมจะดูแย่ แต่ฟอร์มของเบนเทเก้ นั้นต้องบอกว่าค่อนข้างดี มีส่วนร่วมและยังสามารถทำประตูได้ แต่ละลูกที่ยิงนั้นสวยงามอีกต่างหาก....และในเกมเมื่อคืนที่ผ่านมา
จากการที่นายใหญ่คนใหม่ เจอร์เกน คล้อปป์ จัดตัวผู้เล่น โดย"ไร้ศูนย์หน้า" (FALSE 9) วาง "เฟอร์มิโน่" ไปเล่นเป็นหน้าเป้า อย่างที่เคยเห็น สเปน ใช้ ฟาเบรกัส และ บาร์เซโลน่า ที่มี เมสซี่ เป็นตัวชูโรง แต่เจตนาของ คล้อปป์คงเป็นการใช้ตัวผู้เล่นที่มีสภาพความฟิตสมบูรณ์มากกว่าในการยืนตำแหน่ง เพราะสำหรับเฟอร์มิโน่ นั้นตัวคล้อปป์ย่อมรู้ดี
และไม่อยากรีบเร่งใช้ศูนย์หน้าอย่าง เบนเทเก้ เลยให้เป็นตัวสำรอง คงไม่อยากรีบเอาลงในช่วงต้นเกมด้วยในเรื่องของสภาพความฟิต ส่วนทางด้าน โอริกี้ก็คงถูกลักพาตัวไปซ่อนไว้แน่ๆ เพราะไม่มีแม้กระทั่งรายชื่อสำรอง คงเปิดโอกาสให้ผู้เล่นคนอื่นได้ลงเล่นจากที่ลองใช้มาหลายเกม
ลิเวอร์พูลเริ่มต้นเกมได้ไม่ดีนักเพียงเข้านาทีที่ 4 ก็เสียประตู รามิเรส วิ่งสอดเข้ามาโหม่งขึ้นทำประตูโดยที่ตัวประกยอย่างโมเรโน่ นั้นยืนขาตาย เป็นความผิดพลาดในช่วงต้นเกม หลังจากที่ ลิเวอร์พูล เสียประตูแรกให้กับ เชลซี ก็กลับกลายเป็นฝ่ายครองเกม และ มีโอกาสทำประตูหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่สามารถคลำเป้าเจอ ... จนกระทั่งมาถึงในช่วงต่อเวลา มาหยุดตรงนี้แป๊บนึง ....สังเกตมูริญโญ่ ถ้าเป็นเมื่อก่อนด้วยความมั่นใจในการปิดเกม ตัวเขาคงเดินหันหลังกลับเข้าไปในห้องพักเพื่อรอพูดคุยปรับแทคติกในครึ่งหลัง
และแน่นอนเหมือนมีอะไรดลใจทำให้ตัวเขาหยุดชะงักเฝ้ามองเกมการแข่งขันในช่วงทดเวลา 2 นาที ด้วยเกมรุกที่ยังต่อเนื่อง "มาร์ค แคลตเท่นเบิร์ก" ยังให้เกมการแข่งขันดำเนินต่อไป เป็นคูติญโญ่ ที่ทำท่าจะยิ่งด้วยเท้าขวา ล็อคหลบปั่นด้วยเท้าซ้ายเข้าไปอย่างสวยงาม หลังจากที่ยิงประตูในนัดแรกเอาชนะ สโต๊ค ในเกมเปิดฤดูกาลได้แล้ว เขาก็ยังไม่สามารถยิงประตูได้อีกเลย แถมมีฟอร์มการเล่นที่มุทะลุจนไม่สนใจคนรอบข้าง ทำให้แฟนบอลร้องยี้ได้เหมือนกัน
เมื่อลิเวอร์พูลยิงตีเสมอขึ้นมา 1-1 ทำให้มูริญโญ่ที่เฝ้ามองดูเกมอยู่นั้นเดินหันหลังกลับเข้าไปด้วยความเซ็ง และ ไม่ว่าทีมไหนก็ตามโดนยิงนาทีช่วงทดเจ็บแบบนี้ คงมีอาการเซ็งไม่ต่างกัน
แต่สำหรับแฟนบอลอย่างเราที่ตามลุ้นอยู่ก็ต้องบอกว่า "เฮลั่น" ล่ะครับ เพราะนั้นอาจจะส่งผลต่อรูปเกมในครึ่งหลัง
เข้าสู่ในช่วงครึ่งหลัง ลิเวอร์พูลยังคงเป็นฝ่ายครองเกมและเปิดเกมเข้าใส่เชลซีอยู่เป็นระลอก เกมเริ่มเข้มข้นขึ้น เมื่อจังหวะปะทะ คอสต้า กับ สเคอร์เทล นั้นล้มลงไปและมีลูกแถมของ คอสต้ายันเข้าไปที่หน้าอกของ สเคอร์เทล กรรมการไม่ได้ว่าอะไร หลังจากนั้นมีอีกเหตุการณ์ ลูคัส ซึ่งโดนใบเหลืองไปแล้วไปสกัด รามิเรส ที่กำลังพาบอลไปด้านหน้า ต้องบอกว่าโชคดีมากที่ไม่โดนเหลืองที่สอง เพราะเกมการตัดเกมจากการทำเกมรุกของเชลซี (ถือว่าหายกันไปนะ)
ลิเวอร์พูลเกือบจะเสียประตูเมื่อ ลูคัสเสียบอลจากแดนกลาง ออสก้ายิงประตูเกือบครึ่งสนามมิโญเล่ยังถอยตัวออกไปปัดได้ทัน และการทีเปลี่ยนตัวเบนเทเก้ เข้ามานั้น อาจจะมีหลายๆคนคิดเหมือนผมว่า "ลาลาน่า" จะต้องถูกถอดออกไป แต่กลับกลายเป็น "มิลเนอร์" ที่เคยครอสบอลให้กับ เบนเทเก้ ในเกมที่เจอกับ เซาท์แธมป์ตัน โหม่งทำประตู คงเปิดเกมจากริมเส้นด้านข้างมากขึ้น
บอลจากหลังไปหน้าของ ลิเวอร์พูลได้ผล เมื่อจุดเริ่มต้นจาก ซาโก้ โยนยาวไปที่เบนเทเก้
โหม่งตั้งเข้ามาตรงกลาง ต้องบอกว่า จังหวะนี้มีดวงพอสมควร หากลาลาน่าไม่วืด บอลคงไม่หลุดลอยมาถึง คูติญโญ่ เหมือนดูรีเพลย์จากลูกแรก แต่ลูกนี้แฉลบกองหลังของเทอร์รี่ เข้าประตูไป ทำให้ลิเวอร์พูลขึ้นนำไป 2-1
เกมยังตกเป็นของ ลิเวอร์พูล และเกือบได้ประตูหนีห่างออกไป 3-1 เมื่อ โมเรโน่ วิ่งสอดทะลุขึ้นมาลากขึ้นไปยิงประตู แต่โดรเซฟเอาไว้ได้ หลังจากที่ประกบพลาดเสียประตูลูกแรกไปแล้ว ความเร็วของเจ้าหนูคนนี้ ช่วยได้ทั้งรับและรุก ดูเปลี่ยนไปคนละคนกับเมื่อก่อน การยืนตำแหน่งที่มักหลุดและโดนเจาะเข้าไปได้ง่าย ภายใต้การคุมทีมของ คล้อปป์ดูเปลี่ยนไป
เบนเทเก้ ลงมายิงปิดกล่องหนีห่างออกไป 3-1 ไม่รู้มีใครสังเกตเหมือนผมหรือเปล่านะ ประตูที่ 1 และ 2 อาการดีใจของ คล้อปป์ยังออกกั๊กๆ ยังไม่กล้ากระโดดแบบสะใจเหมือนนัดที่เจอกับ เซาท์แธมป์ตัน เพราะคงรู้ว่านั้นมันยังไม่สามารถการันตีในชัยชนะได้
แต่พอมาได้ประตูที่ 3 ดีใจแบบไม่ต้องกั๊ก....เสียงเพลง You'll never walk alone พร้อมดังกึกก้องที่ สแตรมฟอร์ด บริดจ์ แม้เชลซีจะอยู่ในช่วงขาลงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ..... แต่การที่ลิเวอร์พูลเอาชนะได้ถึง 3-1 นั้น ค่อนข้างเซอร์ไพร์ส
หากจะย้อมเกมกลับไปที่ลิเวอร์พูลสามารถเอาชนะเชลซีได้นั้นก็ต้องย้อนกลับไปในช่วงปลายฤดูกาล 2011/12 ถ้ายังจำกันได้ เชลซี เอาชนะ ลิเวอร์พูลในเกมนัดชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ไป 2-1 และ 4 วันให้หลังจากนั้น ลิเวอร์พูลเปิดบ้านถล่ม เชลซีไป 4-1 เป็นเวลาร่วมๆ เกือบ 4 ปี ที่ลิเวอร์พูลไม่สามารถเอาชนะเฃลซีได้เลยทั้ง เหย้าและเยือน โดยเฉพาะภายใต้การคุมทีมของ มูริญโญ่
ลิเวอร์พูลเปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละทีมในช่วง 2 เดือนก่อนหน้านี้ การเข้ามาของ คล้อปป์ ทำไมถึงทำให้ผู้เล่นเดิมๆ วิ่งมากขึ้น เป็นทีมเวิร์กมากขึ้น มีความดุดัน มีการเข้าทำที่แตกต่างในช่วงที่ผ่านมา
หน้าประตูฝั่งตรงข้าม จากที่ไม่ค่อยมีผู้เล่นอยู่ในกรอบเขตโทษ ผู้เล่นแดนกลาง แบคทั้งสองข้าง มีการวิ่งสอดเข้าไปหน้าประตูและดันเกมขึ้นสูง ในแดนกลางก็สามารถคอนโทรลเพื่อชะลอเกมรุกฝั่งตรงข้าม
ถึงแม้สถานการณ์ของเชลซีจะแตกต่างจากฤดูกาลที่แล้ว...แต่เกมเมื่อคืนนั้นทำให้แฟนบอลได้ลุ้นตลอด ในการสร้างสรรค์เกมบุกตลอด 90 นาที พยายามทำประตูมากกว่าตั้งรับ พยายามวิ่งเข้าหาบอล กดดัน เพื่อเอาบอลมาครอบครอง และความยายามเหล่านั้นไม่ได้สูญเปล่า
"โชคดีที่ก่อนหน้านั้นเรายังไม่ได้เจอเกมที่พ่ายแพ้และหวังว่าวันนั้นมันยังไม่มาเยือน...หากเป็นเกมที่เล่นแบบเมื่อคืนแม้เป็นเกมเกมที่พ่ายแพ้ แฟนบอลคงบ่นแค่ เสียดายแต่คงไม่เสียใจ สำหรับความลงเอยแบบนั้น"
และขอทิ้งคำพูดของ ผู้จัดการทีมเอาไว้ในช่วงท้ายว่า คุณได้ทำมันแล้ว เจอร์เก้น คล้อปป์
"มันเป็นประตูที่ยอดเยี่ยมมากๆ ผมเรียนรู้ในชีวิตของผมมาว่าถ้าคุณมีปาร์ตี้ครั้งนึงคุณก็ควรจะฉลองเพราะคุณไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่ มันเป็นเพียงชั่วครู่และตอนนี้ผมรู้แล้วว่าอย่าฉลองเร็วเกินไป หวังเป็นอย่างยิ่งนะว่าเราจะไม่ต้องรอนานสำหรับครั้งต่อไป"
สัมภาษณ์หลังจากเกมที่ ลิเวอร์พูลเปิดบ้านเสมอกับ เซาท์แธมตัน1-1