งัดม.44สู้โกงข้าว ‘บิ๊กตู่’ออกคำสั่งคุ้มครองบุคลากรรัฐไม่ต้องรับผิดแพ่ง-อาญา-วินัย

หัวหน้า คสช.ออกคำสั่งตามมาตรา 44 คุ้มครองบุคคล คณะบุคคล คณะงาน คณะกรรมการ   หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ดำเนินการเพื่อหาตัวผู้ต้องรับผิดและเรียกให้ผู้นั้นชดใช้ความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว ไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย ขณะที่ทีมกฎหมายยิ่งลักษณ์-เพื่อไทยโวยลั่น ยิ่งกว่านิรโทษกรรมเสียอีก แขวะถือดาบอาญาสิทธิ์ทำอะไรก็ได้ ด้านประชาธิปัตย์ชี้ "ประยุทธ์" ต้องการเร่งรัดเพื่อเอาผิดปู-เอกชน เหตุอายุความเหลืออีกไม่นาน
          เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เรื่อง การคุ้มครองการบริหารจัดการข้าวคงเหลือในการดูแลรักษาของรัฐและการดำเนินการต่อผู้ต้องรับผิด
          คำสั่งระบุว่า ตามที่มีการดำเนินการตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาลในอดีต ตั้งแต่ปีการผลิต 2548/2549 จนถึงปีการผลิต 2556/2557 ปรากฏว่ายังคงมีข้าวคงเหลือในการดูแลรักษาของรัฐที่เก็บอยู่ทั่วประเทศเป็นปริมาณมหาศาล หากการเก็บรักษาและการควบคุมดูแลหรือการระบายข้าวออกสู่ตลาดไม่รอบคอบรัดกุมหรือไม่สุจริต ย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ เพราะรัฐต้องจัดสรรงบประมาณเป็นจำนวนมาก เพื่อการบริหารจัดการและการเก็บรักษาข้าวที่คงเหลือไม่ให้เกิดความเสียหายแก่รัฐเพิ่มขึ้น ในขณะที่ต้องเร่งตรวจสอบปริมาณและคุณภาพ รวมทั้งวางมาตรการระบายข้าวดังกล่าวออกสู่ตลาดให้เหมาะสม มิให้กระทบต่อราคาข้าวฤดูกาลใหม่ที่ทยอยออกมา ทั้งต้องดำเนินการต่อผู้ต้องรับผิด เพื่อให้ชดใช้ความเสียหายแก่รัฐ อันเป็นความจำเป็นเพื่อป้องกันและระงับความเสียหายต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ
          อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคำสั่ง ดังต่อไปนี้
          ข้อ 1 ให้บุคคล คณะบุคคล คณะทำงาน คณะกรรมการ หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่ได้รับแต่งตั้งตามกฎหมายหรือได้รับมอบหมายจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ รัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี หรือคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวให้ดำเนินการบริหารจัดการข้าวที่อยู่ในการดูแลรักษาของรัฐ ตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐตั้งแต่ปีการผลิต 2548/2549 จนถึงปีการผลิต 2556/2557 ซึ่งได้ดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 22
พฤษภาคม 2557 หรือภายหลังจากนั้น ยังคงมีอำนาจหน้าที่ดำเนินการดังกล่าวต่อไปเช่นเดิม ทั้งนี้ เพื่อระงับยับยั้งมิให้เกิดความเสียหายแก่รัฐเพิ่มขึ้น เพราะเหตุแห่งความเสื่อมสภาพของข้าว การแตกต่างระหว่างราคาข้าวที่รับจำนำกับราคาที่จำหน่ายได้ การที่รัฐต้องรับภาระ ค่าเช่าคลัง ค่าประกันภัย ค่าดูแลรักษาคุณภาพข้าว ค่าใช้จ่ายอื่นและดอกเบี้ย และเพื่อป้องกันมิให้การระบายข้าวเป็นการเพิ่มอุปทานในตลาดในช่วงเวลาเดียวกับที่มีผลผลิตฤดูกาลใหม่โดยไม่สมควร รวมทั้งดำเนินการเพื่อให้ทราบตัวผู้ต้องรับผิดและเรียกให้ผู้นั้นชดใช้ความเสียหายแก่รัฐตามกฎหมาย
          "ในกรณีที่บุคคลตามวรรคหนึ่งดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และได้กระทำโดยสุจริต ย่อมได้รับความคุ้มครองไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย"
           ข้อ 2 คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
          สั่ง ณ วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2558 โดย พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
          ขณะที่นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สู้คดีปล่อยทุจริตโครงการจำนำข้าว กล่าวว่า ยังไม่ได้รับทราบรายละเอียดของคำสั่ง คสช.ดังกล่าวแต่อย่างใด ต้องขอดูประกาศคำสั่งก่อนถึงจะพูดรายละเอียดได้
          แหล่งข่าวจากทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทยกล่าวเช่นกันว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดที่ชัดเจน แต่หากมีการคุ้มครองคณะกรรมการที่ดูแลเรื่องข้าวทุกรูปแบบไม่ให้มีการฟ้องเอาผิดพนักงานรัฐที่กระทำการไม่สุจริตจริง ถือว่าออกกฎหมายมายิ่งกว่าออกกฎหมายนิรโทษกรรมเสียอีก เพราะกระทำการใดๆ ที่ไม่สุจริต ก็ไม่ต้องรับโทษ ทั้งทางอาญา วินัย และแพ่ง เหมือนติดดาบอาญาสิทธิ์
          "ความจริงถ้าออกกฎหมายมาว่าให้คุ้มครองเจ้าหน้าที่รัฐที่ดำเนินการอย่างสุจริตก็พอเข้าใจ แต่ก็ถือเป็นอำนาจ คสช. ถ้าออกประกาศมาจริงก็ต้องเป็นไปตามนั้น เพราะเขามีอำนาจจะทำอะไรก็ได้" แหล่งข่าวระบุ
          วันเดียวกัน นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า โครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล นอกจากไม่ได้สร้างความเสียหายแล้ว ยังเป็นประโยชน์ต่อชาวนาและเศรษฐกิจไทยอีกด้วย  
          นายกิตติรัตน์ยืนยันว่า จำนำข้าวไม่เสียหาย รายได้ช่วยชาวนา โครงการจำนำข้าวไม่ใช่เรื่องที่ทำให้เกิดความเสียหาย ไม่สามารถคิดกำไรขาดทุน หรือคิดเป็นตัวเลขจำนวนเงินอย่างเดียว โครงการรับจำนำข้าวที่รัฐบาลมีนโยบายทำขึ้น เป็นโครงการสาธารณะ ให้ประโยชน์โดยตรงแก่ชาวนาและประชาชนอย่างถึงที่สุดเป็นสัญญาประชาคม และเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวม จึงไม่สามารถนำมาคิดกำไรขาดทุน เป็นตัวเลขจำนวนเงินเพียงอย่างเดียว ดังที่หลายฝ่ายพยายามกล่าวหาและสร้างตัวเลขโจมตี เพราะเงินที่ใช้ในโครงการก็จะคืนกลับไปสู่ประชาชน และจะเพิ่มพูนมูลค่ายิ่งขึ้นในกระเป๋าของประชาชนทั้งหมด
          เขาระบุว่า เงินของรัฐบาลที่ใช้รับจำนำข้าว จึงได้ส่งตรงถึงมือชาวนาอย่างแท้จริง งบประมาณ 878,209 ล้านบาท ทุกบาททุกสตางค์ไปสู่มือชาวนาอย่างครบถ้วนแล้ว เมื่อชาวนามีรายได้มากขึ้น ก็สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตตนเอง ยกระดับราคาข้าวให้สูงขึ้น ชาวนามากกว่า 15 ล้านคน หรือ 23% ของประชากรไทยทั้งประเทศ มีรายได้เพิ่มขึ้นเทียบเท่าค่าแรงขั้นต่ำ มีความเป็นอยู่ดีขึ้น หนี้สินลดลง มีเงินออมมากขึ้น ชาวนามีเงินจับจ่ายใช้สอย มีเงินปลดหนี้ ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เศรษฐกิจหมุนเวียนมากขึ้น รัฐได้ภาษีมูลค่าเพิ่มหลังจากชาวนาใช้จ่าย มีการลงทุนต่อเนื่อง คนจนลดลง 1.8 ล้านคน ประเทศชาติพัฒนา ลูกหลานชาวนามีอนาคต มีทุนศึกษาเล่าเรียน มีโอกาสเอื้อมถึงการศึกษาขั้นสูงที่วาดหวังไว้
          ในโพสต์ของนายกิตติรัตน์ยังระบุด้วยว่า ได้มีการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวไว้ 4 มาตรการ 1.มาตรการป้องกันทุจริตทุกขั้นตอนการดำเนินการ 2.มาตรการกลไกการตรวจสอบ 3.มาตรการลดความเสี่ยงและการเพิ่มประสิทธิภาพโครงการ 4.มาตรการการปราบปรามการทุจริต
           ทางด้าน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงคำสั่งหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44 ว่า เข้าใจว่าเรื่องนี้มี 2 ส่วน ส่วนที่ 1 การบริหารจัดการโกดังข้าว ตั้งแต่เรื่องค่าเช่าและค่าประกันภัย และค่ารักษาคุณภาพข้าว รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นและดอกเบี้ย ตลอดจนค่าระบายข้าว เพราะว่าข้าวเสื่อมสภาพเยอะ อย่างไรก็ตาม ของที่อยู่ในโกดังของรัฐบาล ต้องมีค่าใช้จ่าย คงคิดว่าถ้าข้าวเสื่อมสภาพ ทำไมคุณต้องไปจ่ายค่าโกดังข้าว เขาคงเกรงว่าจะมีการฟ้องคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) เพราะว่าโกดังข้าวที่กระจายอยู่ทั่วประเทศมีอยู่จำนวนมาก และหากคณะกรรมการ นบข.ทำงานด้วยความสุจริตใจ คำสั่ง คสช.จะคุ้มครองทั้งหมด เพราะอาจจะมีคนมาฟ้องคณะกรรมการดังกล่าวว่าทำไมต้นทุนสูงขนาดนี้ ถ้าต้นทุนสูงแล้วมาขายข้าวราคาเท่านี้ทำไม
          นพ.วรงค์กล่าวต่อว่า ประเด็นที่ 2 พูดถึงกรณีการดำเนินการจัดการเรียกค่าเสียหาย เพราะคนที่รัฐจะเรียกค่าเสียหายจะมีจำนวนมาก ทั้งในระดับโกดังและจากโรงสีที่เข้ามาร่วมทุจริตในครั้งนี้ ทั้งข้าวจีทูจีและการเอาข้าวเน่าเข้าไปไว้ในโกดังมีจำหน่วยเยอะมาก ซึ่งคดีนี้เกี่ยวกับเอกชนด้วย จึงมีระยะเวลาแค่ 1 ปี การตรวจสอบทั้งประเทศในระยะเวลาที่จำกัดมันมีข้อจำกัดอยู่เหมือนกัน ถ้าคณะกรรมการฯ จะทำคดีให้ละเอียดระยะเวลาเพียง 1 ปี คงไม่เพียงพอ ดังนั้น คสช.ออกคำสั่งมาเพื่อเร่งดำเนินคดีกับเอกชน เนื่องจากมีระยะเวลาที่จำกัด
          "การที่ คสช.ออกมีคำสั่งออกมาแบบนี้ เพราะสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทุกอย่างมันอึมครึมหมด เมื่อ คสช.เข้ามาเป็นรัฐบาลหลักฐานต่างๆ ก็มีความชัดเจนขึ้น แต่ตอนนี้คงมีหลักฐานชัดเจน ในขณะที่กฎหมายเอาผิดมีระยะเวลาแค่ 1 ปี ทั้งที่มีผู้ร่วมทุจริตมีจำนวนมาก ผมเห็นว่าการออกคำสั่งของ คสช.ดังกล่าวเพื่อเรียกค่าเสียการกับเอกชนและหาคนทุจริต เพราะอีกไม่นานจะหมดอายุความในเดือนมิถุนายนปีหน้า ถ้าหมดอายุความจะไม่สามารถเอาผิดกับใครได้ และไม่สามารถฟ้องร้องใครได้ ดังนั้น คสช.จึงมีคำสั่งออกมาให้เจ้าหน้าที่เร่งรัดทำคดีได้อย่างเต็มที่" นพ.วรงค์กล่าว
          อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่าการที่ คสช.มีคำสั่งออกมาแบบนี้ เป็นการส่งสัญญาณว่าเอาจริงกับการปราบปรามทุจริต และให้เร่งดำเนินคดีและหาคนทำผิดมาดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป ถ้าหาก คสช.ไม่ออกคำสั่งแบบนี้ คนที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐเองก็กลัว เพราะหากรวบรวมหลักฐานไม่เรียบร้อย และเร่งดำเนินการคดีเร็วเกินไปอาจจะถูกฟ้องร้องได้  
          "แต่ผมเห็นว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณยิ่งลักษณ์ เนื่องจากว่าคำสั่งที่ออกมาจะต้องดำเนินการเอาผิดกับเอกชนที่ทุจริตโครงการจำนำข้าวทั้งหมด ที่ร่วมมือกับยิ่งลักษณ์ในการทุจริต ซึ่งการที่เอกชนร่วมมือทุจริตกับยิ่งลักษณ์มันมีหลายขั้นตอน คดีของเอกชนจะหมดอายุความก่อน แต่ของยิ่งลักษณ์ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐจะมีอายุความ 2 ปี ซึ่งยังคงพอมีเวลาที่จะต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม" นพ.วรงค์ระบุ
          นอกจากนี้ นพ.วรงค์ยังได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัว "Warong Dechgitvigrom" ระบุถึงกรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ตอบรับคำท้าดีเบตในประเด็นจำนำข้าว แต่ขอเลือกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มาเป็นคู่ชกแทนนั้น  "คุณณัฐวุฒิไม่กล้าตอบรับดีเบตประเด็น "จำนำข้าวนั้นดี ไม่มีโกง" ผมเข้าใจครับ แต่อย่ามาเฉไฉอ้างนั่นอ้างนี่ว่าคดีอยู่ในชั้นศาล หรือขอเลือกคู่ชกเป็นท่านอภิสิทธิ์ เพราะตอนคุณเป็น รมช.พาณิชย์ ขนาดนักข่าวถามอะไรที่กระทรวง คุณยังตอบไม่ได้เลย".

          ที่มา: www.thaipost.net
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2558/E/277/4.PDF
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่