======================
ความรักของคนบ้า ภาค 2
บทที่ 1 แอนนา
======================
“เร็วเข้าที่รัก พวกมันตามมาแล้ว”
ผมบอกเสียงหอบด้วยความเหน็ดเหนื่อยขณะยื่นมือให้หญิงสาวร่างปราดเปรียวในชุดเสื้อยาวสีขาวและกระโปรงสั้นสีดำซึ่งไม่เหมาะกับการวิ่งแบบเอาเป็นเอาตายแบบนี้ ผมกำลังดึงเธอขึ้นมาบนหน้าผาริมเชิงเขาห่างจากถนนหลวงไม่มากนัก เราทั้งคู่พากันหนีออกมาจากสถานที่คุมขังได้สำเร็จ แต่หลังจากพวกมันรู้ถึงการหลบหนีของผม ก็จัดทีมไล่ล่ามาทันถึงนอกเมือง เราสองคนไม่มีทางเลือกนอกจากปีนหนีขึ้นมาบนภูเขาสูงซึ่งด้านหนึ่งเป็นทะเลโดยหวังว่าจะหนีลงไปยังชายฝั่งแล้วหาเรือสักลำวิ่งออกสู่ทะเลลึกอันเวิ้งว้าง ทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง
เธอชื่อแอนนา คนรักของผมซึ่งความจริงเธอสมควรนอนพักผ่อนอยู่กับบ้านอย่างสบายอารมณ์มากกว่าจะมาลำบากลำบนแบบนี้ หากเธอเป็นคนเดียวที่รู้วิธีในการพาผมลักลอบหนีออกมาจากสถาบันวิเคราะห์ทางจิต
แอนนา เธอคนเดียวที่ผมไว้ใจ
ในที่สุดเราก็พากันมายืนอยู่บนยอดภูเขาสูง เจ้าหน้าที่ของสถาบันนับสิบคนจอดรถอยู่ริมถนนและไล่ตามเรามาถึงหน้าผาหลายคนทีปืนยาวติดมือมาด้วย ทั้งที่ผมไม่ใช่ฆาตกรข้ามชาติ แต่พวกเขาปีนขึ้นมาได้แค่ครึ่งทางก็พากันชะงักลังเลในการปีนป่ายขึ้นมา
ผมมองแล้วแทบอดหัวเราะออกมาไม่ได้ คนพวกนั้นไม่มีลูกบ้าพอในการปีนขึ้นมา คงกลัวว่าชุดสวยๆจะเปื้อน โอกาสหนีเอาตัวรอดจากการคุมขังใกล้แค่เอื้อม
แอนนายืนอยู่ข้าง ยามนี้เป็นตอนเช้า แสงแดดรุ่งอรุณสาดส่องข้ามขอบทะเลจากฟากฟ้าไกลลูบไล้ใบหน้าของเธอดูกระจ่างสว่างเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา
เราสองคนมองลงไปยังผืนน้ำข้างล่าง ห่างลงไปหลายร้อยฟุต หากยังคงสามารถมองเห็นเกลียวคลื่นไล่เรียงสัมผัสฝั่งผืนผิวที่ไม่มีหาดทรายขาวนุ่มนวล หากมีกลุ่มก้อนโขดหินแข็งกระด้างสร้างภาพตัดกันรุนแรงขึ้นมาโดยเพียงมองก็รู้สึกได้ บรรดาโขดหินซึ่งกำลังหยอกเย้ากับคลื่นลมด้านล่างคงหากันหัวเราะอย่างมีความสุขกับเพื่อนๆของมัน ขณะเฝ้าหวังรอคอยร่างกายใครบางคนร่วงหล่นกระแทกแง่หินจนแหลกเหลวเลอะเลือน
ทันใดนั้น ผมเห็นผมตัวเองกำลังเสียหลักผวาลงไปสู่อ้อมแขนหายนะเบื้องล่างโดยไม่รู้สาเหตุ แอนนามีสีหน้าตกใจแต่ยังผวาเข้ามา มือของเธอยื่นออกเหมือนจะรอรับมือของผมซึ่งไขว่คว้าอย่างตกใจตามสัญชาตญาณหรือสิ้นหวังก็ไม่อาจรู้ได้
ปลายนิ้วของเราเฉียดกัน แตะกัน เพียงพริบตา...หากช่วงเวลาแห่งปลายนิ้วเราแตะกันผมรู้สึกอิ่มเอิบกับการตายเหลือเกิน สายตาเราจ้องประสานและผมเห็นแววห่วงหาอาทรเหลือเกินในช่วงเวลากระชั้นสั้นดังกล่าว
ผมไม่ได้ร่วงหล่นลงไปสู่โขดหินริมผาด้านล่าง แอนนาคว้ามือผมไว้
เรามองตากัน
คล้ายภาพฝันจากปลายพู่กันของยอดจิตรกร คนเราจะรู้สึกถึงจิตใจกันลึกซึ้งยามคับขันนี่เอง เส้นผมของเธอยาวสยายเบื้องหลังคือฟ้าสีครามกว้างไกลถ้อยทีถ้อยอาศัยกับกลุ่มเมฆลอยฟ่อง มันควรจะเป็นฉากสวยงามตรึงใจมากกว่าฉากวาระสุดท้าย
“เราจะอยู่ด้วยกัน จนลมหายใจสุดท้าย นะคะที่รัก”
ผมไม่ใช่เพียงได้ยินเสียงเธอ หากยังได้ยินเสียงของหัวใจเธอพร่ำร้อง ไม่ถูกต้อง..แอนนาไม่สมควรช่วยผม....มืออันบอบบางของเธอไม่มีวันฉุดรั้งดึงผมขึ้นไปได้
มีเสียงเคลื่อนไหวดังขึ้นมาจากด้านหลังต้องเป็นคนพวกนั้นเปลี่ยนใจยอมปีนทางขรุขระลาดชันขึ้นมาแน่นอน
ในทันทีนั้นเองผมกลับเป็นฝ่ายถูกโยนขึ้นมายืนริมหน้าผา โดยมีแอนนาซึ่งกำลังจะร่วงหล่นลงไปเกาะมือผมแน่น ฉากหลังของเธอกลายเป็นความมุ่งร้ายหมายปองของแนวหินเบื้องล่าง มีเสียงเครื่องจักรกระหึ่มลงมาจากบนฟากฟ้า
นี่มันเรื่องบ้า อะไรกัน มีบางอย่างผิดปกติ
มีเสียงปืนดังเปรี้ยงกังวาน
ผมเห็นกลางหน้าผากของแอนนามีรอยกระสุนกะทันหัน เธอถูกยิง..นั่นเป็นความคิดแรกที่วิ่งเข้ามาในความคิด..ดีว่าสมองของเธอไม่ได้แหลกกระจุยกระจายแบบเศษเนื้อเศษสมองกระเด็นเซ็นซ่าน แอนนา ยังดูดีอย่างควรจะเป็น สายตาของเธอมองผมราวจะเอาเวลาเป็นเสาหลักใหญ่มากระแทกลงบนความรู้สึกผนึกไว้ ก่อนปล่อยมือลอยร่วงลงไปเส้นผมยาวสลวยของเธอสยายสะบัดพัดพลิ้วไหวดูสวยงามจากแรงลม สายตาของเธอจ้องแน่วนิ่งมองขึ้นมาราวกับจะกระหน่ำประทับในความทรงจำ
ให้ตายเถอะ ผมไม่มีวันลืมสายตาสุดท้ายของเธอเลย
เบื้องบน ผมสังเกตเห็นกระบอกปืนและสไนเปอร์เลือดเย็นอยู่ในร่างกายอ้วนท้วนของเฮลิคอปเตอร์สีขาวของสถาบันกำลังครวญครางกระหึ่มลอยลำอ้อยอิ่งดูท่าทีแบบหยั่งเชิง ทางสถาบันลงทุนไล่ล่าขนาดนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในทะเลจะไม่มีเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์แอบซุ่มสังเกตการณ์ปิดทางหนีจนหมดสิ้น
“พวกแกฆ่าเธอ....”
ผมหันขวับไป กำหมัดแน่นเตรียมถาโถมเข้าไปในขณะบรรดาเจ้าหน้าที่ผู้มีลูกบ้ากำลังพากันปีนทยอยโผล่แนวหินขึ้นมาแบบไม่คาดฝัน และไม่คิดว่าคนพวกนี้จะเลือดเย็นยิงผู้หญิงไม่มีทางสู้ พวกนรกนี้ต้องเจอกับผมแบบตายไปข้างหนึ่ง
เมื่อแอนนาไม่อยู่แล้ว จะหนีหรือจะอยู่ไม่สำคัญ ผมนึกถึงฉากสุดท้ายของหนังเรื่อง Fish of Fury ซึ่งเป็นฉากของเฉินเจินวิ่งกระโดดตัวลอยออกมาจากสำนักจิงอู่ ท่ามกลางม่านกระสุนระดมยิงถี่ยิบจากปืนนับสิบกระบอก
นั่นเป็นความผิดพลาดขนาดหนัก ในการไปเลียนแบบฉากอมตะของ บรูซ ลีในหนังสุดดังของเขา เพราะไม่ว่าจะบ้าขนาดไหนก็ไม่มีทางรอด สุดท้ายผมถูกยิงด้วยกระสุนนานาชนิด เกินพอในการลากผมเข้าสู่คุกนรกจองจำแห่งความจริงอีกครั้ง
แอนนา
ผมผวาขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงความคิดของตัวเองกำลังร้องเรียกชื่อใครบางคน เพื่อจะพบว่านอนอยู่บนเตียงในห้องแคบๆ ซึ่งจำได้ดีไม่มีวันลืมว่าเป็นห้องคนไข้ในอาคารของสถาบันวิเคราะห์ทางจิตซึ่งแสนคุ้นเคยเหลือเกิน เสื้อซึ่งสวมใส่เป็นสีขาวแขนยาวขายาวดูดีมีชาติตระกูลแบบใช้กับคนไข้โรคจิต ทำให้ผมอยู่ในอาการสับสนกับชีวิตเพราะนึกไม่ออกว่าตัวเองกลับมาอยู่ในห้องเดิมนี้ได้อย่างไร
สาเหตุที่จำได้ว่าห้องเดิมเพราะผนังห้องมีร่องรอยการเขียนบนผนังไม่ว่าจะใช้อะไรเขียนก็ตามว่า แอนนา ชื่อเรียบง่ายแต่มีความหมายเหลือเกิน ครั้งหนึ่งผมโดนงดอาหารหนึ่งวันเต็มๆ ข้อหาพยายามเขียนคำว่าแอนนาลงบนใบหน้าของนางพยาบาลคนหนึ่ง
หลังจากพยายามตั้งสติอยู่พักหนึ่ง ผมก็เริ่มจำได้ว่า แอนนาตายไปแล้ว เธอโดนยิงหล่นลงไปจากหน้าผาสู่อ้อมแขนของผืนทะเลอันเยือกเย็น ส่วนผมเองก็โดนยิงหลายนัดแต่ทำไมยังไม่ตาย ร่างกายไม่มีร่องรอยของการโดนยิ่งเลยสักนิด
หรือว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นเพียงการละเมอเพ้อพกไปเอง ไม่มีทาง....เหตุการณ์นั้นชัดเจนมากเกินไปจนผมคิดว่าสมองส่วนรับภาพของผมคงเป็นระบบ High-definition อย่างจริงแท้แน่นอน ซึ่งมันไม่ควรเป็นภาพหลอน เพราะว่ากันว่า ภาพหลอนจะเป็นระบบภาพรุ่นเก่าแบบ เอ็นทีเอสซี, ซีแคม และพาล เท่านั้น
ผมใจหายวาบเหมือนหัวใจถูกจับโยนลงไปในห้วงลึกมืดดำของเวิ้งทะเลไกลเช่นกัน แต่อะไรบางอย่างรั้งมือฉุดกระชากผมขึ้นมากะทันหัน
มีเสียงเรียกชื่อผมเบาๆ ดังมาจากประตูห้องซึ่งปิดสนิท มีช่องเล็กๆ ด้านบนสำหรับการให้พวกหมอมาส่องดูความเป็นไปของคนไข้ทางจิต ปกติจะเป็นเสียงโหดๆของคุณหมอ หรือไม่ก็เป็นเสียงหวานพยาบาลสาวซึ่งแค่พอได้ยินเสียงก็อยากหายบ้าแล้ว
เป็นเสียงของแอนนาชัดๆ
พอหันไปมองก็เห็นเพียงปอยผมไหววูบไปจากช่องประตูเหมือนคนกำลังรีบร้อนหลบหนีอะไรบางอย่าง ผมไม่คิดว่านั่นจะเป็นวิญญาณของแอนนา จะต้องเป็นตัวเธอจริงๆ เพราะผมจำเส้นผมของเธอได้ ถ้าเรารักใครสักคนถึงระดับหนึ่งเราจะจดจำรายละเอียดของคนๆนั้นได้อย่างอัตโนมัติ พวกเราเชื่อกันแบบนี้ตลอดระยะเวลาอันยาวนานในประวัติศาสตร์แห่งจักรวาลของความบ้า
เธอรอดมาได้อย่างไรต่างหากเป็นปมปริศนา
เสียงล้อรถเข็นแว่วมาตามทางเดิน ไม่บอกก็รู้ว่าเป็นรถอาหารของเจ๊พึมพำ ซึ่งมีหน้าที่ส่งอาหารในตึกแห่งนี้ พวกเราพากันเรียกเธอว่าเจ๊พึมพำเพราะว่าหญิงวัยกลางคนรูปร่างอวบอ้วนท่าทางใจดีคนนี้ เธอมักชอบพูดชอบบ่นอยู่คนเดียวตลอด ซึ่งดูแล้วเธอน่าจะมาอยู่ในห้องแบบพวกเรามากกว่าจะเป็นพนักงานของทางสถาบัน
ช่องส่งอาหารด้านล่างเปิดออกแล้วถาดหารเก่าถูกดึงออกไปสับเปลี่ยนกับถาดอาหารชุดใหม่ หากผมไม่สนใจเรื่องอาหารการกินรีบลุกขึ้นไปยังประตูใช้มือเคาะประตูหลายครั้ง
“มีอะไร”
เจ้พึมพำโผล่หน้ามามองทางช่องด้านบน เธอส่งเสียงถามแล้วพึมพำอะไรต่อไปตามประสาคนดี
<มีต่อครับ>
ความรักของคนบ้า ภาค 2.........(บทที่ 1 แอนนา)
ความรักของคนบ้า ภาค 2
บทที่ 1 แอนนา
======================
“เร็วเข้าที่รัก พวกมันตามมาแล้ว”
ผมบอกเสียงหอบด้วยความเหน็ดเหนื่อยขณะยื่นมือให้หญิงสาวร่างปราดเปรียวในชุดเสื้อยาวสีขาวและกระโปรงสั้นสีดำซึ่งไม่เหมาะกับการวิ่งแบบเอาเป็นเอาตายแบบนี้ ผมกำลังดึงเธอขึ้นมาบนหน้าผาริมเชิงเขาห่างจากถนนหลวงไม่มากนัก เราทั้งคู่พากันหนีออกมาจากสถานที่คุมขังได้สำเร็จ แต่หลังจากพวกมันรู้ถึงการหลบหนีของผม ก็จัดทีมไล่ล่ามาทันถึงนอกเมือง เราสองคนไม่มีทางเลือกนอกจากปีนหนีขึ้นมาบนภูเขาสูงซึ่งด้านหนึ่งเป็นทะเลโดยหวังว่าจะหนีลงไปยังชายฝั่งแล้วหาเรือสักลำวิ่งออกสู่ทะเลลึกอันเวิ้งว้าง ทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง
เธอชื่อแอนนา คนรักของผมซึ่งความจริงเธอสมควรนอนพักผ่อนอยู่กับบ้านอย่างสบายอารมณ์มากกว่าจะมาลำบากลำบนแบบนี้ หากเธอเป็นคนเดียวที่รู้วิธีในการพาผมลักลอบหนีออกมาจากสถาบันวิเคราะห์ทางจิต
แอนนา เธอคนเดียวที่ผมไว้ใจ
ในที่สุดเราก็พากันมายืนอยู่บนยอดภูเขาสูง เจ้าหน้าที่ของสถาบันนับสิบคนจอดรถอยู่ริมถนนและไล่ตามเรามาถึงหน้าผาหลายคนทีปืนยาวติดมือมาด้วย ทั้งที่ผมไม่ใช่ฆาตกรข้ามชาติ แต่พวกเขาปีนขึ้นมาได้แค่ครึ่งทางก็พากันชะงักลังเลในการปีนป่ายขึ้นมา
ผมมองแล้วแทบอดหัวเราะออกมาไม่ได้ คนพวกนั้นไม่มีลูกบ้าพอในการปีนขึ้นมา คงกลัวว่าชุดสวยๆจะเปื้อน โอกาสหนีเอาตัวรอดจากการคุมขังใกล้แค่เอื้อม
แอนนายืนอยู่ข้าง ยามนี้เป็นตอนเช้า แสงแดดรุ่งอรุณสาดส่องข้ามขอบทะเลจากฟากฟ้าไกลลูบไล้ใบหน้าของเธอดูกระจ่างสว่างเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา
เราสองคนมองลงไปยังผืนน้ำข้างล่าง ห่างลงไปหลายร้อยฟุต หากยังคงสามารถมองเห็นเกลียวคลื่นไล่เรียงสัมผัสฝั่งผืนผิวที่ไม่มีหาดทรายขาวนุ่มนวล หากมีกลุ่มก้อนโขดหินแข็งกระด้างสร้างภาพตัดกันรุนแรงขึ้นมาโดยเพียงมองก็รู้สึกได้ บรรดาโขดหินซึ่งกำลังหยอกเย้ากับคลื่นลมด้านล่างคงหากันหัวเราะอย่างมีความสุขกับเพื่อนๆของมัน ขณะเฝ้าหวังรอคอยร่างกายใครบางคนร่วงหล่นกระแทกแง่หินจนแหลกเหลวเลอะเลือน
ทันใดนั้น ผมเห็นผมตัวเองกำลังเสียหลักผวาลงไปสู่อ้อมแขนหายนะเบื้องล่างโดยไม่รู้สาเหตุ แอนนามีสีหน้าตกใจแต่ยังผวาเข้ามา มือของเธอยื่นออกเหมือนจะรอรับมือของผมซึ่งไขว่คว้าอย่างตกใจตามสัญชาตญาณหรือสิ้นหวังก็ไม่อาจรู้ได้
ปลายนิ้วของเราเฉียดกัน แตะกัน เพียงพริบตา...หากช่วงเวลาแห่งปลายนิ้วเราแตะกันผมรู้สึกอิ่มเอิบกับการตายเหลือเกิน สายตาเราจ้องประสานและผมเห็นแววห่วงหาอาทรเหลือเกินในช่วงเวลากระชั้นสั้นดังกล่าว
ผมไม่ได้ร่วงหล่นลงไปสู่โขดหินริมผาด้านล่าง แอนนาคว้ามือผมไว้
เรามองตากัน
คล้ายภาพฝันจากปลายพู่กันของยอดจิตรกร คนเราจะรู้สึกถึงจิตใจกันลึกซึ้งยามคับขันนี่เอง เส้นผมของเธอยาวสยายเบื้องหลังคือฟ้าสีครามกว้างไกลถ้อยทีถ้อยอาศัยกับกลุ่มเมฆลอยฟ่อง มันควรจะเป็นฉากสวยงามตรึงใจมากกว่าฉากวาระสุดท้าย
“เราจะอยู่ด้วยกัน จนลมหายใจสุดท้าย นะคะที่รัก”
ผมไม่ใช่เพียงได้ยินเสียงเธอ หากยังได้ยินเสียงของหัวใจเธอพร่ำร้อง ไม่ถูกต้อง..แอนนาไม่สมควรช่วยผม....มืออันบอบบางของเธอไม่มีวันฉุดรั้งดึงผมขึ้นไปได้
มีเสียงเคลื่อนไหวดังขึ้นมาจากด้านหลังต้องเป็นคนพวกนั้นเปลี่ยนใจยอมปีนทางขรุขระลาดชันขึ้นมาแน่นอน
ในทันทีนั้นเองผมกลับเป็นฝ่ายถูกโยนขึ้นมายืนริมหน้าผา โดยมีแอนนาซึ่งกำลังจะร่วงหล่นลงไปเกาะมือผมแน่น ฉากหลังของเธอกลายเป็นความมุ่งร้ายหมายปองของแนวหินเบื้องล่าง มีเสียงเครื่องจักรกระหึ่มลงมาจากบนฟากฟ้า
นี่มันเรื่องบ้า อะไรกัน มีบางอย่างผิดปกติ
มีเสียงปืนดังเปรี้ยงกังวาน
ผมเห็นกลางหน้าผากของแอนนามีรอยกระสุนกะทันหัน เธอถูกยิง..นั่นเป็นความคิดแรกที่วิ่งเข้ามาในความคิด..ดีว่าสมองของเธอไม่ได้แหลกกระจุยกระจายแบบเศษเนื้อเศษสมองกระเด็นเซ็นซ่าน แอนนา ยังดูดีอย่างควรจะเป็น สายตาของเธอมองผมราวจะเอาเวลาเป็นเสาหลักใหญ่มากระแทกลงบนความรู้สึกผนึกไว้ ก่อนปล่อยมือลอยร่วงลงไปเส้นผมยาวสลวยของเธอสยายสะบัดพัดพลิ้วไหวดูสวยงามจากแรงลม สายตาของเธอจ้องแน่วนิ่งมองขึ้นมาราวกับจะกระหน่ำประทับในความทรงจำ
ให้ตายเถอะ ผมไม่มีวันลืมสายตาสุดท้ายของเธอเลย
เบื้องบน ผมสังเกตเห็นกระบอกปืนและสไนเปอร์เลือดเย็นอยู่ในร่างกายอ้วนท้วนของเฮลิคอปเตอร์สีขาวของสถาบันกำลังครวญครางกระหึ่มลอยลำอ้อยอิ่งดูท่าทีแบบหยั่งเชิง ทางสถาบันลงทุนไล่ล่าขนาดนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในทะเลจะไม่มีเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์แอบซุ่มสังเกตการณ์ปิดทางหนีจนหมดสิ้น
“พวกแกฆ่าเธอ....”
ผมหันขวับไป กำหมัดแน่นเตรียมถาโถมเข้าไปในขณะบรรดาเจ้าหน้าที่ผู้มีลูกบ้ากำลังพากันปีนทยอยโผล่แนวหินขึ้นมาแบบไม่คาดฝัน และไม่คิดว่าคนพวกนี้จะเลือดเย็นยิงผู้หญิงไม่มีทางสู้ พวกนรกนี้ต้องเจอกับผมแบบตายไปข้างหนึ่ง
เมื่อแอนนาไม่อยู่แล้ว จะหนีหรือจะอยู่ไม่สำคัญ ผมนึกถึงฉากสุดท้ายของหนังเรื่อง Fish of Fury ซึ่งเป็นฉากของเฉินเจินวิ่งกระโดดตัวลอยออกมาจากสำนักจิงอู่ ท่ามกลางม่านกระสุนระดมยิงถี่ยิบจากปืนนับสิบกระบอก
นั่นเป็นความผิดพลาดขนาดหนัก ในการไปเลียนแบบฉากอมตะของ บรูซ ลีในหนังสุดดังของเขา เพราะไม่ว่าจะบ้าขนาดไหนก็ไม่มีทางรอด สุดท้ายผมถูกยิงด้วยกระสุนนานาชนิด เกินพอในการลากผมเข้าสู่คุกนรกจองจำแห่งความจริงอีกครั้ง
แอนนา
ผมผวาขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงความคิดของตัวเองกำลังร้องเรียกชื่อใครบางคน เพื่อจะพบว่านอนอยู่บนเตียงในห้องแคบๆ ซึ่งจำได้ดีไม่มีวันลืมว่าเป็นห้องคนไข้ในอาคารของสถาบันวิเคราะห์ทางจิตซึ่งแสนคุ้นเคยเหลือเกิน เสื้อซึ่งสวมใส่เป็นสีขาวแขนยาวขายาวดูดีมีชาติตระกูลแบบใช้กับคนไข้โรคจิต ทำให้ผมอยู่ในอาการสับสนกับชีวิตเพราะนึกไม่ออกว่าตัวเองกลับมาอยู่ในห้องเดิมนี้ได้อย่างไร
สาเหตุที่จำได้ว่าห้องเดิมเพราะผนังห้องมีร่องรอยการเขียนบนผนังไม่ว่าจะใช้อะไรเขียนก็ตามว่า แอนนา ชื่อเรียบง่ายแต่มีความหมายเหลือเกิน ครั้งหนึ่งผมโดนงดอาหารหนึ่งวันเต็มๆ ข้อหาพยายามเขียนคำว่าแอนนาลงบนใบหน้าของนางพยาบาลคนหนึ่ง
หลังจากพยายามตั้งสติอยู่พักหนึ่ง ผมก็เริ่มจำได้ว่า แอนนาตายไปแล้ว เธอโดนยิงหล่นลงไปจากหน้าผาสู่อ้อมแขนของผืนทะเลอันเยือกเย็น ส่วนผมเองก็โดนยิงหลายนัดแต่ทำไมยังไม่ตาย ร่างกายไม่มีร่องรอยของการโดนยิ่งเลยสักนิด
หรือว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นเพียงการละเมอเพ้อพกไปเอง ไม่มีทาง....เหตุการณ์นั้นชัดเจนมากเกินไปจนผมคิดว่าสมองส่วนรับภาพของผมคงเป็นระบบ High-definition อย่างจริงแท้แน่นอน ซึ่งมันไม่ควรเป็นภาพหลอน เพราะว่ากันว่า ภาพหลอนจะเป็นระบบภาพรุ่นเก่าแบบ เอ็นทีเอสซี, ซีแคม และพาล เท่านั้น
ผมใจหายวาบเหมือนหัวใจถูกจับโยนลงไปในห้วงลึกมืดดำของเวิ้งทะเลไกลเช่นกัน แต่อะไรบางอย่างรั้งมือฉุดกระชากผมขึ้นมากะทันหัน
มีเสียงเรียกชื่อผมเบาๆ ดังมาจากประตูห้องซึ่งปิดสนิท มีช่องเล็กๆ ด้านบนสำหรับการให้พวกหมอมาส่องดูความเป็นไปของคนไข้ทางจิต ปกติจะเป็นเสียงโหดๆของคุณหมอ หรือไม่ก็เป็นเสียงหวานพยาบาลสาวซึ่งแค่พอได้ยินเสียงก็อยากหายบ้าแล้ว
เป็นเสียงของแอนนาชัดๆ
พอหันไปมองก็เห็นเพียงปอยผมไหววูบไปจากช่องประตูเหมือนคนกำลังรีบร้อนหลบหนีอะไรบางอย่าง ผมไม่คิดว่านั่นจะเป็นวิญญาณของแอนนา จะต้องเป็นตัวเธอจริงๆ เพราะผมจำเส้นผมของเธอได้ ถ้าเรารักใครสักคนถึงระดับหนึ่งเราจะจดจำรายละเอียดของคนๆนั้นได้อย่างอัตโนมัติ พวกเราเชื่อกันแบบนี้ตลอดระยะเวลาอันยาวนานในประวัติศาสตร์แห่งจักรวาลของความบ้า
เธอรอดมาได้อย่างไรต่างหากเป็นปมปริศนา
เสียงล้อรถเข็นแว่วมาตามทางเดิน ไม่บอกก็รู้ว่าเป็นรถอาหารของเจ๊พึมพำ ซึ่งมีหน้าที่ส่งอาหารในตึกแห่งนี้ พวกเราพากันเรียกเธอว่าเจ๊พึมพำเพราะว่าหญิงวัยกลางคนรูปร่างอวบอ้วนท่าทางใจดีคนนี้ เธอมักชอบพูดชอบบ่นอยู่คนเดียวตลอด ซึ่งดูแล้วเธอน่าจะมาอยู่ในห้องแบบพวกเรามากกว่าจะเป็นพนักงานของทางสถาบัน
ช่องส่งอาหารด้านล่างเปิดออกแล้วถาดหารเก่าถูกดึงออกไปสับเปลี่ยนกับถาดอาหารชุดใหม่ หากผมไม่สนใจเรื่องอาหารการกินรีบลุกขึ้นไปยังประตูใช้มือเคาะประตูหลายครั้ง
“มีอะไร”
เจ้พึมพำโผล่หน้ามามองทางช่องด้านบน เธอส่งเสียงถามแล้วพึมพำอะไรต่อไปตามประสาคนดี
<มีต่อครับ>