ความรักของคนบ้า ภาค 2.........(บทที่ 1 แอนนา)

======================
ความรักของคนบ้า ภาค 2
บทที่ 1  แอนนา
======================


            “เร็วเข้าที่รัก พวกมันตามมาแล้ว”

            ผมบอกเสียงหอบด้วยความเหน็ดเหนื่อยขณะยื่นมือให้หญิงสาวร่างปราดเปรียวในชุดเสื้อยาวสีขาวและกระโปรงสั้นสีดำซึ่งไม่เหมาะกับการวิ่งแบบเอาเป็นเอาตายแบบนี้ ผมกำลังดึงเธอขึ้นมาบนหน้าผาริมเชิงเขาห่างจากถนนหลวงไม่มากนัก เราทั้งคู่พากันหนีออกมาจากสถานที่คุมขังได้สำเร็จ แต่หลังจากพวกมันรู้ถึงการหลบหนีของผม ก็จัดทีมไล่ล่ามาทันถึงนอกเมือง  เราสองคนไม่มีทางเลือกนอกจากปีนหนีขึ้นมาบนภูเขาสูงซึ่งด้านหนึ่งเป็นทะเลโดยหวังว่าจะหนีลงไปยังชายฝั่งแล้วหาเรือสักลำวิ่งออกสู่ทะเลลึกอันเวิ้งว้าง ทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง

            เธอชื่อแอนนา คนรักของผมซึ่งความจริงเธอสมควรนอนพักผ่อนอยู่กับบ้านอย่างสบายอารมณ์มากกว่าจะมาลำบากลำบนแบบนี้ หากเธอเป็นคนเดียวที่รู้วิธีในการพาผมลักลอบหนีออกมาจากสถาบันวิเคราะห์ทางจิต

            แอนนา เธอคนเดียวที่ผมไว้ใจ

            ในที่สุดเราก็พากันมายืนอยู่บนยอดภูเขาสูง เจ้าหน้าที่ของสถาบันนับสิบคนจอดรถอยู่ริมถนนและไล่ตามเรามาถึงหน้าผาหลายคนทีปืนยาวติดมือมาด้วย ทั้งที่ผมไม่ใช่ฆาตกรข้ามชาติ แต่พวกเขาปีนขึ้นมาได้แค่ครึ่งทางก็พากันชะงักลังเลในการปีนป่ายขึ้นมา
ผมมองแล้วแทบอดหัวเราะออกมาไม่ได้ คนพวกนั้นไม่มีลูกบ้าพอในการปีนขึ้นมา คงกลัวว่าชุดสวยๆจะเปื้อน โอกาสหนีเอาตัวรอดจากการคุมขังใกล้แค่เอื้อม

            แอนนายืนอยู่ข้าง ยามนี้เป็นตอนเช้า แสงแดดรุ่งอรุณสาดส่องข้ามขอบทะเลจากฟากฟ้าไกลลูบไล้ใบหน้าของเธอดูกระจ่างสว่างเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา

            เราสองคนมองลงไปยังผืนน้ำข้างล่าง  ห่างลงไปหลายร้อยฟุต หากยังคงสามารถมองเห็นเกลียวคลื่นไล่เรียงสัมผัสฝั่งผืนผิวที่ไม่มีหาดทรายขาวนุ่มนวล  หากมีกลุ่มก้อนโขดหินแข็งกระด้างสร้างภาพตัดกันรุนแรงขึ้นมาโดยเพียงมองก็รู้สึกได้   บรรดาโขดหินซึ่งกำลังหยอกเย้ากับคลื่นลมด้านล่างคงหากันหัวเราะอย่างมีความสุขกับเพื่อนๆของมัน  ขณะเฝ้าหวังรอคอยร่างกายใครบางคนร่วงหล่นกระแทกแง่หินจนแหลกเหลวเลอะเลือน


            ทันใดนั้น  ผมเห็นผมตัวเองกำลังเสียหลักผวาลงไปสู่อ้อมแขนหายนะเบื้องล่างโดยไม่รู้สาเหตุ แอนนามีสีหน้าตกใจแต่ยังผวาเข้ามา มือของเธอยื่นออกเหมือนจะรอรับมือของผมซึ่งไขว่คว้าอย่างตกใจตามสัญชาตญาณหรือสิ้นหวังก็ไม่อาจรู้ได้

            ปลายนิ้วของเราเฉียดกัน แตะกัน เพียงพริบตา...หากช่วงเวลาแห่งปลายนิ้วเราแตะกันผมรู้สึกอิ่มเอิบกับการตายเหลือเกิน  สายตาเราจ้องประสานและผมเห็นแววห่วงหาอาทรเหลือเกินในช่วงเวลากระชั้นสั้นดังกล่าว

            ผมไม่ได้ร่วงหล่นลงไปสู่โขดหินริมผาด้านล่าง แอนนาคว้ามือผมไว้

            เรามองตากัน

            คล้ายภาพฝันจากปลายพู่กันของยอดจิตรกร  คนเราจะรู้สึกถึงจิตใจกันลึกซึ้งยามคับขันนี่เอง เส้นผมของเธอยาวสยายเบื้องหลังคือฟ้าสีครามกว้างไกลถ้อยทีถ้อยอาศัยกับกลุ่มเมฆลอยฟ่อง  มันควรจะเป็นฉากสวยงามตรึงใจมากกว่าฉากวาระสุดท้าย

            “เราจะอยู่ด้วยกัน จนลมหายใจสุดท้าย  นะคะที่รัก”

            ผมไม่ใช่เพียงได้ยินเสียงเธอ หากยังได้ยินเสียงของหัวใจเธอพร่ำร้อง  ไม่ถูกต้อง..แอนนาไม่สมควรช่วยผม....มืออันบอบบางของเธอไม่มีวันฉุดรั้งดึงผมขึ้นไปได้

            มีเสียงเคลื่อนไหวดังขึ้นมาจากด้านหลังต้องเป็นคนพวกนั้นเปลี่ยนใจยอมปีนทางขรุขระลาดชันขึ้นมาแน่นอน

            ในทันทีนั้นเองผมกลับเป็นฝ่ายถูกโยนขึ้นมายืนริมหน้าผา โดยมีแอนนาซึ่งกำลังจะร่วงหล่นลงไปเกาะมือผมแน่น ฉากหลังของเธอกลายเป็นความมุ่งร้ายหมายปองของแนวหินเบื้องล่าง มีเสียงเครื่องจักรกระหึ่มลงมาจากบนฟากฟ้า

            นี่มันเรื่องบ้า อะไรกัน มีบางอย่างผิดปกติ

            มีเสียงปืนดังเปรี้ยงกังวาน

            ผมเห็นกลางหน้าผากของแอนนามีรอยกระสุนกะทันหัน เธอถูกยิง..นั่นเป็นความคิดแรกที่วิ่งเข้ามาในความคิด..ดีว่าสมองของเธอไม่ได้แหลกกระจุยกระจายแบบเศษเนื้อเศษสมองกระเด็นเซ็นซ่าน แอนนา ยังดูดีอย่างควรจะเป็น สายตาของเธอมองผมราวจะเอาเวลาเป็นเสาหลักใหญ่มากระแทกลงบนความรู้สึกผนึกไว้ ก่อนปล่อยมือลอยร่วงลงไปเส้นผมยาวสลวยของเธอสยายสะบัดพัดพลิ้วไหวดูสวยงามจากแรงลม สายตาของเธอจ้องแน่วนิ่งมองขึ้นมาราวกับจะกระหน่ำประทับในความทรงจำ

            ให้ตายเถอะ ผมไม่มีวันลืมสายตาสุดท้ายของเธอเลย

            เบื้องบน ผมสังเกตเห็นกระบอกปืนและสไนเปอร์เลือดเย็นอยู่ในร่างกายอ้วนท้วนของเฮลิคอปเตอร์สีขาวของสถาบันกำลังครวญครางกระหึ่มลอยลำอ้อยอิ่งดูท่าทีแบบหยั่งเชิง ทางสถาบันลงทุนไล่ล่าขนาดนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในทะเลจะไม่มีเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์แอบซุ่มสังเกตการณ์ปิดทางหนีจนหมดสิ้น

             “พวกแกฆ่าเธอ....”

             ผมหันขวับไป กำหมัดแน่นเตรียมถาโถมเข้าไปในขณะบรรดาเจ้าหน้าที่ผู้มีลูกบ้ากำลังพากันปีนทยอยโผล่แนวหินขึ้นมาแบบไม่คาดฝัน และไม่คิดว่าคนพวกนี้จะเลือดเย็นยิงผู้หญิงไม่มีทางสู้ พวกนรกนี้ต้องเจอกับผมแบบตายไปข้างหนึ่ง

            เมื่อแอนนาไม่อยู่แล้ว จะหนีหรือจะอยู่ไม่สำคัญ ผมนึกถึงฉากสุดท้ายของหนังเรื่อง Fish of Fury  ซึ่งเป็นฉากของเฉินเจินวิ่งกระโดดตัวลอยออกมาจากสำนักจิงอู่ ท่ามกลางม่านกระสุนระดมยิงถี่ยิบจากปืนนับสิบกระบอก

            นั่นเป็นความผิดพลาดขนาดหนัก ในการไปเลียนแบบฉากอมตะของ บรูซ ลีในหนังสุดดังของเขา   เพราะไม่ว่าจะบ้าขนาดไหนก็ไม่มีทางรอด สุดท้ายผมถูกยิงด้วยกระสุนนานาชนิด เกินพอในการลากผมเข้าสู่คุกนรกจองจำแห่งความจริงอีกครั้ง


            แอนนา


            ผมผวาขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงความคิดของตัวเองกำลังร้องเรียกชื่อใครบางคน เพื่อจะพบว่านอนอยู่บนเตียงในห้องแคบๆ ซึ่งจำได้ดีไม่มีวันลืมว่าเป็นห้องคนไข้ในอาคารของสถาบันวิเคราะห์ทางจิตซึ่งแสนคุ้นเคยเหลือเกิน เสื้อซึ่งสวมใส่เป็นสีขาวแขนยาวขายาวดูดีมีชาติตระกูลแบบใช้กับคนไข้โรคจิต ทำให้ผมอยู่ในอาการสับสนกับชีวิตเพราะนึกไม่ออกว่าตัวเองกลับมาอยู่ในห้องเดิมนี้ได้อย่างไร

            สาเหตุที่จำได้ว่าห้องเดิมเพราะผนังห้องมีร่องรอยการเขียนบนผนังไม่ว่าจะใช้อะไรเขียนก็ตามว่า แอนนา   ชื่อเรียบง่ายแต่มีความหมายเหลือเกิน ครั้งหนึ่งผมโดนงดอาหารหนึ่งวันเต็มๆ ข้อหาพยายามเขียนคำว่าแอนนาลงบนใบหน้าของนางพยาบาลคนหนึ่ง

            หลังจากพยายามตั้งสติอยู่พักหนึ่ง ผมก็เริ่มจำได้ว่า แอนนาตายไปแล้ว  เธอโดนยิงหล่นลงไปจากหน้าผาสู่อ้อมแขนของผืนทะเลอันเยือกเย็น ส่วนผมเองก็โดนยิงหลายนัดแต่ทำไมยังไม่ตาย ร่างกายไม่มีร่องรอยของการโดนยิ่งเลยสักนิด

            หรือว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นเพียงการละเมอเพ้อพกไปเอง ไม่มีทาง....เหตุการณ์นั้นชัดเจนมากเกินไปจนผมคิดว่าสมองส่วนรับภาพของผมคงเป็นระบบ High-definition  อย่างจริงแท้แน่นอน ซึ่งมันไม่ควรเป็นภาพหลอน เพราะว่ากันว่า ภาพหลอนจะเป็นระบบภาพรุ่นเก่าแบบ เอ็นทีเอสซี, ซีแคม และพาล เท่านั้น

            ผมใจหายวาบเหมือนหัวใจถูกจับโยนลงไปในห้วงลึกมืดดำของเวิ้งทะเลไกลเช่นกัน แต่อะไรบางอย่างรั้งมือฉุดกระชากผมขึ้นมากะทันหัน

            มีเสียงเรียกชื่อผมเบาๆ ดังมาจากประตูห้องซึ่งปิดสนิท มีช่องเล็กๆ ด้านบนสำหรับการให้พวกหมอมาส่องดูความเป็นไปของคนไข้ทางจิต ปกติจะเป็นเสียงโหดๆของคุณหมอ หรือไม่ก็เป็นเสียงหวานพยาบาลสาวซึ่งแค่พอได้ยินเสียงก็อยากหายบ้าแล้ว

            เป็นเสียงของแอนนาชัดๆ

            พอหันไปมองก็เห็นเพียงปอยผมไหววูบไปจากช่องประตูเหมือนคนกำลังรีบร้อนหลบหนีอะไรบางอย่าง ผมไม่คิดว่านั่นจะเป็นวิญญาณของแอนนา  จะต้องเป็นตัวเธอจริงๆ เพราะผมจำเส้นผมของเธอได้ ถ้าเรารักใครสักคนถึงระดับหนึ่งเราจะจดจำรายละเอียดของคนๆนั้นได้อย่างอัตโนมัติ พวกเราเชื่อกันแบบนี้ตลอดระยะเวลาอันยาวนานในประวัติศาสตร์แห่งจักรวาลของความบ้า

            เธอรอดมาได้อย่างไรต่างหากเป็นปมปริศนา

            เสียงล้อรถเข็นแว่วมาตามทางเดิน ไม่บอกก็รู้ว่าเป็นรถอาหารของเจ๊พึมพำ ซึ่งมีหน้าที่ส่งอาหารในตึกแห่งนี้ พวกเราพากันเรียกเธอว่าเจ๊พึมพำเพราะว่าหญิงวัยกลางคนรูปร่างอวบอ้วนท่าทางใจดีคนนี้ เธอมักชอบพูดชอบบ่นอยู่คนเดียวตลอด ซึ่งดูแล้วเธอน่าจะมาอยู่ในห้องแบบพวกเรามากกว่าจะเป็นพนักงานของทางสถาบัน

            ช่องส่งอาหารด้านล่างเปิดออกแล้วถาดหารเก่าถูกดึงออกไปสับเปลี่ยนกับถาดอาหารชุดใหม่ หากผมไม่สนใจเรื่องอาหารการกินรีบลุกขึ้นไปยังประตูใช้มือเคาะประตูหลายครั้ง

            “มีอะไร”

            เจ้พึมพำโผล่หน้ามามองทางช่องด้านบน เธอส่งเสียงถามแล้วพึมพำอะไรต่อไปตามประสาคนดี


<มีต่อครับ>
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่