ปมรัก รอยอดีต Book I รอยอดีต บทที่ 1 นาทีชีวิต (เขียนจบแล้วค่ะ)

กระทู้สนทนา



1

นาทีชีวิต



โดย ฮาร์โมนิก้า


ป่าละเมาะนั้นดูมืดทะมึนและน่าสะพรึงกลัวในยามรัตติกาลท่ามกลางพายุฤดูหนาว สายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างหนัก พร้อมเสียงหวีดหวิวของลมอื้ออึงสะท้อนก้องกับพื้นดินปนหินและทรายก่อให้เกิดเสียงที่น่าสะพรึงและเงาแปลกๆ ทาบบนผืนดินหินภูเขาไฟขรุขระ ผนวกกับเสียงคลื่นในทะเลที่กระหน่ำแรงผิดปกติในภูมิประเทศแถบทะเลอีเจียนยิ่งทวีความหวาดหวั่นให้กับผู้ที่เดินอยู่คนเดียว ความมืดที่ปกคลุมรอบตัวถูกจุดให้สว่างวาบด้วยสายฟ้าแลบเป็นระยะ พร้อมเสียงก้องกัมปนาทราวฟ้าจะถล่ม พื้นดินเฉอะแฉะด้วยน้ำฝนจนกลายเป็นโคลนลื่นและเจิ่งนองเป็นหย่อมๆ อยู่ทั่วทุกบริเวณ

อนาสเตเซีย คิริยาคอส เด็กสาววัย สิบหกปีเดินล้มลุกคลุกคลานฝ่าความมืดในป่า เธออาศัยเพียงแสงสว่างวาบเป็นระยะของสายฟ้าเพื่อมองหาทางและร่องรอยของบ้านเรือนหรือสังคมมนุษย์ที่ใกล้ที่สุดที่เธอพอจะไปขอความช่วยเหลือได้ เธอร้องตะโกนหาคนที่อาจมีอยู่แถวนั้นแข่งกับเสียงพายุฝนฟ้าคะนองและเสียงคลื่นลมในทะเลที่กระหน่ำซัดเข้ากระทบหน้าผาซึ่งอยู่ไม่ไกลนักจนแสบคอ

เสียงคลื่นในทะเลที่ซัดสูงขึ้นเรื่อยๆ ทวีความหวาดหวั่นให้กับอนาสเตเซียราวกับจะซัดหัวใจของเธอให้ดำดิ่งสู่หุบเหวลึก เด็กสาวละล้าละลังระหว่างพยายามวิ่งหาความช่วยเหลือที่มองไม่เห็นวี่แววต่อไปหรือจะกลับไปพยายามช่วยเหลือมารดาของเธอเอง สายฟ้าแลบตามด้วยเสียงฟ้าคำรนและเสียงคลื่นที่กระหน่ำซัดเข้าสู่หน้าผาอย่างบ้าคลั่งเพิ่มความเครียดให้กับเธอ อนาสเตเซียตัดสินใจฉับพลัน เธอถอดเสื้อแจ็กเก็ตออก เหลือไว้แต่ชุดกระโปรงแบบเดรสสั้นตัวเดียวด้านใน จากนั้นก็เริ่มฉีกทึ้งเสื้อตัวนั้น ทั้งที่ฟันสั่นกึกๆ ด้วยความหนาวท่ามกลางสายฝนที่สาดเทลงมาไม่ขาดสาย มือที่สั่นเทาถือเสื้อไว้พลางใช้ฟันช่วยฉีกชายเสื้อที่หนากว่าส่วนอื่นๆ อย่างยากเย็น ในที่สุดเธอก็สามารถฉีกและดึงเสื้อตัวนั้นจนขาดเป็นสองชิ้นได้สำเร็จ แล้วจึงนำมาผูกต่อกันเป็นเส้นเชือกยาวประมาณเกือบหนึ่งเมตรครึ่ง

อนาสเตเซียย้อนกลับทางเดิมไปยังอุโมงค์ดินที่เธอเพิ่งมุดขึ้นมา เธอวิ่งควานหาก้อนหินขนาดเหมาะมือในบริเวณนั้น และมุดกลับเข้าไปในอุโมงค์เพื่อพยายามใช้ทั้งหินและมือขุดอุโมงค์ส่วนที่แคบให้ใหญ่ขึ้น เพื่อให้อแนสซ่า คิริยาคอส มารดาที่กำลังท้องแก่ของเธอมุดออกมาได้ อุโมงค์นั้นลึกประมาณสี่เมตร แต่ช่วงที่แคบจน อแนสซ่าซึ่งตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนลอดออกมาไม่ได้นั้นมีความยาวไม่ถึงยี่สิบเซนติเมตร ซึ่งเป็นช่วงเกือบสุดปลายอุโมงค์ด้านล่างเหนือถ้ำริมหน้าผา ถ้ำที่โจรเรียกค่าไถ่นำอนาสเตเซียและอแนสซ่ามาขังไว้ โพรงดินที่ถูกขุดไว้เป็นอุโมงค์เก่าแก่นี้เนื้อดินค่อนข้างแน่นแต่ไม่แข็งนัก ทำให้ไม่ร่วนซุยจนทะลายลงมาและขณะเดียวกันก็ขุดได้ง่ายด้วย โดยเฉพาะในยามที่ฝนกำลังตกจนดินแฉะและนิ่มทำให้ขุดขยายออกได้ง่าย ถึงกระนั้นมือทั้งสองของอนาสเตเซียก็เปิง เล็บฉีก และมีเลือดไหลซิบๆ จากการตะลุยขุดด้วยมือเปล่า

เวลาสั้นๆ ที่ผ่านไปกลับนานเหมือนชั่วกัลปาวสานสำหรับเธอ ไหล่ทั้งสองข้างปวดล้าลงไปถึงช่วงหลังและสันเอว หากเธอไม่ได้นำพาและมุ่งมั่นขุดต่อไปภายในอุโมงแคบ จนสองแขนอ่อนล้า และมือทั้งสองข้างเจ็บเกร็งราวจะเป็นตะคริว เลือดที่ซึมไหลจากมือชุ่มพอๆ กับน้ำฝน

“แม่ แม่ทนหน่อยนะ หนูจะขุดดินให้โพรงกว้างขึ้น แม่จะได้ลอดออกได้ แม่ยืนหลบนะคะ เดี๋ยวดินร่วงโดนแม่” อนาสเตเซียร้องตะโกนบอกมารดาที่ติดอยู่ในถ้ำด้านล่าง

“ไม่ทันหรอกอัณญ่า น้ำทะเลถึงเอวแม่แล้ว ลูกรีบหนีไปเถอะ อย่าห่วงแม่ ไปหาที่ซ่อน…อย่าให้มันเจอตัวลูกได้ ไปหาตำรวจหรือหาคน…ช่วยนะลูก” เสียงอู้อี้ดังลอดออกมาจากโพรงดินพร้อมเสียงหอบหายใจถี่ถูกกลบด้วยเสียงฝนฟ้าคะนองจนฟังแทบไม่ได้ยิน

“หนูไม่ไปค่ะแม่ หนูไม่ไป” อนาสเตเซียร้องตอบขณะที่มือยังทำงาน น้ำตาทะลักออกมาจากดวงตาทั้งสองด้วยความเครียดและหวาดกลัว ผนวกกับความเหนื่อยล้าและห่วงใยชีวิตมารดา “แม่คอยนะคะ หนูจะช่วยแม่ให้ได้ค่ะ”

เสียงที่เงียบไปของผู้เป็นแม่สร้างความพรั่นพรึงให้กับผู้เป็นลูกอีกระลอกใหม่ เด็กสาวเร่งมือพร้อมตะโกนเรียก

“แม่ แม่คะ ส่งเสียงให้หนูได้ยินหน่อย น้ำขึ้นถึงไหนแล้วคะแม่”

“ไปเถอะลูก ไม่ต้องห่วงแม่… ให้แม่ตาย .. พร้อมน้องในนี้เถอะ หนูหนีไป ..แม่จะได้ชื่นใจว่า..ลูกสาวของแม่..มีชีวิตรอด” เสียงอแนสซ่าดังขาดเป็นห้วงๆ ถี่ขึ้นด้วยต้องขืนร่างสู้กับกระแสน้ำทะเลที่ซัดผ่านประตูเหล็กเข้ามาในถ้ำและกวาดทุกอย่างในถ้ำกลับคืนสู่ท้องทะเล อแนสซ่าต้องคว้าโซ่ที่ยึดติดกับผนังถ้ำของที่จำขังนี้ไว้เป็นหลักเพื่อไม่ให้ถูกน้ำกวาดซัดกระแทกผนังถ้ำไปมาและอาจไปชนเข้ากับประตูเหล็กที่ปิดกั้นถ้ำส่วนบนเพื่อเป็นที่คุมขัง “..ไปเถอะ อัณญ่า หนีไป …ลูกต้องรอด และใช้ชีวิตต่อไป..แทนแม่และน้องที่ไม่มีโอกาส…ลืมตาดูโลก” เสียงของเธอสั่นเครือปนเสียงสะอื้นเมื่อพูดถึงตอนนี้ “น้ำทะลักเข้ามา…เกือบท่วมอกแม่แล้ว หนูอย่าทรมานตัวเองเลย  จำไว้ว่า…แม่รักหนูมาก …มากเหลือเกิน ..และขอให้แม่ได้อยู่ในความทรงจำ…ของลูก..ตลอดไป อัณญ่า.. หนีไป…” เสียงอแนสซ่ากล่าวสั่งเสียด้วยถ้อยคำที่ราวกับการลาจากชั่วนิรันดร์ยิ่งทำให้อนาสเตเซียฝืนตัวเองเร่งขุดดินให้เร็วขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ด้วยหวังว่าหากน้ำท่วมสูง อแนสซ่ายังอาจจะว่ายน้ำขึ้นมาเพื่อโผล่พ้นปลายอุโมงค์ค์ที่เธอกำลังพยายามขยายให้กว้างอยู่นี้ได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งเชือกจำเป็นที่ทำจากเสื้อซึ่งไม่รู้ว่าปมที่มัดต่อกันจะเหนียวพอให้อแนสซ่าโหนตัวขึ้นมาได้หรือไม่

อนาสเตเซียเร่งขุดอยู่นาน ในที่สุดเธอก็สามารถขยายโพรงด้านที่แคบที่สุดออกได้กว้างขึ้นบ้างเล็กน้อย เธอขุดต่อไปจนเกือบถึงปลายอีกด้านของโพรงดิน แต่น้ำได้ท่วมขึ้นมาเต็มช่องด้านล่างจนหมด เด็กสาวหวีดร้องออกมาอย่างหวาดกลัว เธอกลั้นใจดำหัวลงไปในโพรงดินที่มีน้ำท่วมเต็ม แหวกว่ายดำหาร่างของอแนสซ่าท่ามกลางน้ำทะเลที่ขังอยู่เต็มถ้ำในความมืดมิด

ในที่สุดความพยายามของเธอก็เป็นผลสำเร็จ มือของเธอควานเจอร่างของอแนสซ่า อนาสเตเซียคว้าร่างมารดาไว้และพยายามลากขึ้นมาที่โพรงดินด้านบนที่เห็นแสงสว่างลางเลือนเป็นครั้งคราวจากสายฟ้าที่แลบอยู่เหนือศีรษะ

ด้วยมัวแต่ห่วงที่จะช่วยชีวิตอแนสซ่า เด็กสาวจึงไม่ทันสังเกตความนิ่งเงียบอย่างผิดปกติของร่างนั้น อนาสเตเซียโผล่หัวขึ้นเหนือผิวน้ำเพื่อสูดลมหายใจ น้ำที่ท่วมขึ้นไปถึงอุโมงค์นั้น ขณะนี้ท่วมสูงขึ้นกว่าเดิมอีกเกือบสามสิบเซนติเมตร ในขณะที่สายฝนยังคงกระหน่ำลงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้น้ำที่ไหลจากพื้นดินด้านบนลงท่วมอุโมงค์เร็วขึ้น อนาสเตเซียพยายามยันเท้ากับพื้นดินที่แสนลื่นในโพรงอย่างทุลักทุเล เพื่อที่จะลากร่างอแนสซ่าขึ้นมาให้ได้ หลังจากพยายามและลื่นไถลกลับลงไปในอุโมงค์อยู่หลายครั้ง เด็กสาวก็สามารถดึงอแนสซ่าจนศีรษะของเธอโผล่พ้นน้ำขึ้นมาได้สำเร็จ หากแต่ว่าร่างนั้นไม่มีลมหายใจ ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่