ช่วยด้วยค่ะ โจทก์มีสิทธิ์ทำอย่างนี้มั้ย

เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อวันอังคาร ไปขึ้นศาลแขวงมา เกี่ยวกับคดีเช่าซื้อรถยนต์

ขอแจงรายละเอียดแต่ต้นเลยนะคะ

ดิฉันได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์อยู่คันหนึ่ง ราคา 150,000 บาท (รถไม่ได้ใช้เอง ให้คุณพ่อยืมเครดิตเฉยๆ)

ค่างวดๆละ 4,046 บาท ระยะเวลา 48 งวด

ก็ผ่อนชำระตามปกติเรื่อยมา ปรากฎว่าผ่อนไปได้ 35 งวด คุณพ่อไม่สามารถผ่อนต่อได้

ทำให้ขาดส่งไป 6 งวด จนเรื่องมาถึงศาล

ดิฉันคุยกับคุณพ่อว่าจะเอายังไง เพราะตามคำฟ้อง โจทก์ขอรถคืน พร้อมกับค่าขาดประโยชน์ 4,800 บาท

ถ้าเอารถไปคืนไม่ได้ โจทก์ตีราคารถไว้ที่ 100,000 บาท ต้องนำเงิน 100,000 บาท มาคืนพร้อมค่าขาดประโยชน์ 4,800 บาท

รวมเป็นเงิน 104,800 บาท

คุณพ่อบอกว่าให้เราลองเจรจาดูได้มั้ย เพราะธุรกิจกำลังจะเริ่มดีขึ้นแล้ว

ขอผ่อนต่อได้มั้ย ส่วนงวดที่ค้างธนาคารก็คิดค่าปรับไป

ค่ะ แล้วก็มาถึงวันขึ้นศาล วันที่ 27 ตุลาคม 2558  (ขอขึ้นข้อความใหม่นะคะ ตาลาย)
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 10
บางครั้งมันต้องดูที่คำฟ้องด้วยน่ะคับ ถ้าฟ้องว่าให้คืนรถ ก็ต้องคืน แต่ต้องหลังมีคำพิพากษา

ถ้าฟ้องว่า ให้คืนรถหรือให้ใช้ราคา ก็ปฏิบัติตามลำดับ ให้คืนรถก่อน ถ้าคือไม่ได้ก็ใช้จ่ายเงินแทน แต่ก็ต้องหลังมีคำพิพากษา

เพราะงั้น รอคำพิพากษามาก่อนคับ

ทำให้ผมนึกถึงท่านคฑาวุธเลย น่าจะแนวเดียวกัน ด่าทั้งทนาย แล้วก็ว่าผู้เสียหายน่ะ

แล้วที่เขาว่าน่ะ เพราะโจทก์มักจะเอาเปรียบ แล้วจำเลยก็มักจะยอมเขาไปเรื่อย เพราะว่าไม่รู้ ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่บางอย่างก็น่าจะรู้สึกได้เองนะคับ อย่างกรณีคุณน่ะ มันเห็นได้ชัดเลยว่ายอดมันเพิ่มเป็น 2 เท่า ซึ่งก็ไม่ถูกต้องแล้วน่ะคับ

ถ้าคิดเงินคงเหลือแล้วก็ดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ก่อนฟ้องก็ยังพอว่าน่ะ

ดังนั้น รอไปก่อน ถ้าโทรมาอีกก็เฉยๆ ไป แต่ถ้ามีคนจะมายึดรถ ให้ขู่ไปว่าจะแจ้งความดำเนินคดีและฟ้องศาล เราข่มขู่ไปแบบนี้ไม่ผิดคับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่