The All Write Project : เครื่องราง : อำมหิต คืนสยอง



อำมหิต คืนสยอง

(เรื่องสั้นชุด : เครื่องราง)


               เสียงฟ้าคำรามลั่นสนั่นหวั่นไหวกึกก้องทั่วท้องนภา ราวกับเป็นการส่งสัญญาณบอกถึงอารมณ์อันเกรี้ยวโกรธของผู้กำหนดฟ้าดิน สายฟ้าสีขาวส่องประกายแสงวาววาบเส้นใหญ่ฟาดเปรี้ยงลงมากลางลำต้นตะเคียนซึ่งมีอายุหลายสิบปี ส่งผลให้มันหักโค่นล้มลงได้อย่างง่ายดายภายในเวลาเพียงเสี้ยวนาที เป็นการตอกย้ำในความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติที่มนุษย์ตัวเล็กๆมิอาจต่อกรได้

สายฝนเม็ดใหญ่ก็พลันกระหน่ำเทลงมาจากฟากฟ้าอย่างไร้ปรานี ราตรีอันมืดมิดเริ่มคืบคลานเข้ามาเยือนจนปกคลุมทั่วผืนป่า ลมพายุร้ายพัดโหมใส่ต้นไม้น้อยใหญ่ จนบางต้นต้องล้มไปตามแรงลม สรรพสัตว์ต่างพากันหลบเร้นเฟ้นตัวจากเภทภัยธรรมชาติที่รุนแรงเกินกว่าพวกมันจะต้านทานได้

หากแต่มีชายฉกรรจ์สองคนกลับถือจอบเดินฝ่าพายุอันบ้าคลั่ง เพื่อควานหาสิ่งของที่พวกเขาต้องการโดยไม่มีท่าทีเกรงกลัวภัยธรรมชาติแม้แต่น้อย

“มันจะตกอะไรนักหนาวะ” ชายหนุ่มรูปร่างโปร่ง ใบหน้าเหี่ยวย่นริมฝีปากหนาดวงตาฉายแววโหดเหี้ยม ร่างกายกำยำซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อยืดสีขาวซึ่งเปียกปอนจนเผยให้เห็นมัดกล้ามอันแข็งแกร่ง เขาพูดขึ้นอย่างฉุนเฉียวเมื่อลมพายุฝนกลายเป็นอุปสรรคในการค้นหาสิ่งที่ตนต้องการ แต่พอเขาพูดจบ ก็พลันเกิดประกายสายฟ้าแลบเจิดจ้าบนท้องฟ้า พร้อมเสียงคำรนดังกึกก้องย้ำเตือนผู้อยู่คนเบื้องล่างอย่าได้อวดดีต่อสิ่งที่อยู่บนฟ้า

“ไอ้ชาญระวังคำพูดเอ็งหน่อยเดี๋ยวก็ได้โดนฟ้าฝ่าตายห่--า กันพอดี เร่งมือหาเข้า” เสียงอีกคนตะโกนผ่านสายฝนบอกชาญ  ในมือของเขายังคงถือจอบขุดลงไปในดินเพื่อหาสิ่งที่ต้องการ

ชาญจึงต้องเร่งมือฝังจอบลงบนดินอันชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำเอ่อนอง ยิ่งเขาขุดดินขึ้นมาน้ำก็ยิ่งไหลเนืองลงไปยังหลุม และเขาก็ต้องกระพริบตาถี่เพื่อปัดน้ำออกจากดวงตา เป็นการทำงานกลางสายฝนที่ยากยิ่งสำหรับเขา

“พี่กล้าแน่ใจนะว่าไอ้ป้านมันฝังเหล็กไหลไว้ตรงนี้ เราหากันมาสามคืนสามวันแล้วนะ ยังไม่เจออะไรเลย” ชาญตะโกนบอกชายหนุ่มรุ่นพี่ ซึ่งกำลังขุดดินอยู่ฝั่งตรงข้ามกับตน

“ก็เอ่อซิว่ะ! ก่อนที่มันจะสิ้นใจตาย มันบอกข้าเป็นมั่นเป็นเหมาะ ย้ำนักว่าเหล็กไหลถูกฝังไว้ในป่าท้ายหมู่บ้าน” กล้าตอบกลับรุ่นน้องอย่างมั่นใจ แต่มือยังคงง่วนกับการขุดดิน ใจเขามาดมั่นอยากได้เหล็กไหลมาครอบครองยิ่งนัก ของศักดิ์สิทธิ์ที่หายากแบบนี้เป็นใครก็ต้องการ หากได้มาครอบครองเป็นของตนเขาก็ไม่ต้องคอยกลัวคมดาบแลลูกตะกั่วของพวกอั้งยี่ที่คอยมาระรานทำร้ายเขา เพื่อมาขอค่าคุ้มครองในพื้นที่ทำมาหากินบนแผ่นดินบ้านเกิดของตนเอง แลพวกนี้ก็ทำร้ายเขาเจ็บหนักหลายครั้งหลายคราว แม้กล้าจะมีฝีมือวิชาการต่อสู้แกร่งกาจเพียงก็มิอาจต่อกรกับการสู้แบบหมาหมู่ของพวกอั้งยี่

               พวกอั้งยี่ฉุดกระชากลากตัวหญิงสาวอันเป็นที่รักของเขาไปทำการอันเลวทรามต่ำช้าบดขยี้พรหมจรรย์ของหญิงสาวจนขาดสิ้น พวกมันฆ่าเธออย่างเลือดเย็น แล้วปล่อยศพอันเปลือยเปล่านอนทิ้งไว้กลางป่าราวกับเป็นเพียงซากสัตว์ที่ไร้ค่ารอเวลาเน่าเปื่อยสูญสลายไปกับธาตุอากาศ

ไม่มีหลักฐานใดบ่งบอกถึงผู้กระทำการอันต่ำช้านั้น แต่เขารู้ดีว่าพวกมันคือใคร …. และสิ่งที่เขากำลังขุดหาเขาจะใช้มันเป็นเกราะป้องกันภัยให้แก่เขา เพื่อกระทำการอันยิ่งใหญ่ นั้นคือบุกทลายโรงฝิ่นของพวกอั้งยี่ ล้างแค้นให้แก่หญิงสาวผู้เป็นที่รักของตน

“พี่กล้า ดูนั่น” ชาญชี้นิ้วไปที่ห่อผ้าสีเทาซึ่งฝังอยู่ใต้ดิน หากตอนนี้มันได้โผล่พ้นเหนือพื้นดินขึ้นมาแล้ว ในขณะเดียวกันสายฝนก็เริ่มชาลง ลมพายุสงบลงเพียงเล็กน้อย ทิ้งไว้เพียงสายลมพัดหวิดๆกระทบผิวกายทั้งของอย่างแผ่วเบา

               กล้าทรุดตัวนั่งคุกเข่าบนพื้นก่อนจะรีบดึงห่อผ้าที่อยู่ใต้ดินขึ้นมาดูชัดๆ เขาเกาะห่อผ้าซึ่งมัดไว้อย่างดีออก ในนั้นมีกล่องไม้รูปสี่เหลี่ยมผ่านการขัดเงามาเป็นอย่างดี เขาเปิดมันออกด้วยหัวใจเต้นถี่ สิ่งที่เขาต้องการอยู่ในมือเขาแล้ว ไม่นานกล่องไม้ขัดเงาถูกเปิดออก เหล็กไหลสีนิลก้อนกลมคล้ายผลองุ่นแต่ผิวขรุขระไม่เรียบเนียน ผิวเนื้อของมันเปล่งประกายวาววับ อยู่ภายในกล่องไม้นั้น

กล้าหยิบมันขึ้นมาส่องดูใกล้ๆมือของเขาสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น ไม่ต่างกับชาญผู้มองเหล็กไหลก้อนกลมนั้นอย่างหมายมั่นปั้นมืออยากได้มาเป็นของตนเช่นกัน แววตาของเขาส่องประกายวาว ในใจคิดปองร้ายคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า

“ใช้จอบตีหัวพี่กล้าซะ--เหล็กไหลนั่นก็จะเป็นของข้าคนเดียว” ชาญครุ่นคิดอยู่ในใจ พลางกับกำชับมือกำด้ามจอบไว้มั่น หมายจะยกขึ้นฟาดใส่คนที่นั่งกำก้อนเหล็กไหลพร้อมกับพึมพำร่ายคาถา บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คาถาจบบทกล้าก็เป่ามนต์คาถาอาคมใส่อุ้มมือที่กำเหล็กไหลอยู่

และในช่วงจังหวะที่กล้าเป่าคาถาใส่อุ้มมือตนเองนั้น ชาญก็เงื้อหัวจอบด้านที่มีคมฟาดใส่ขมับของกล้าเต็มแรง ส่งผลให้คนที่ถูกฟาดศีรษะแตกเกิดเป็นแผลเหวอะหวะ เลือดสีแดงฉานไหลหลั่งรินอาบแก้ม ร่างไร้สตินั้นก็ล้มคว่ำฟุบลงไปกองบนพื้นทันที

ชาญทิ้งจอบแล้วรีบแกะมือของกล้าซึ่งกำเหล็กไหลไว้แน่นออก ทว่าเมื่อแกะมือนั้นออกแล้วเขากลับไม่พบอะไรบนฝ่ามือนั้นเลย มีเพียงความว่างเปล่าอยู่บนฝ่ามือ เขาตื่นตระหนกตกใจกับสิ่งที่เห็น นึกอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าเหล็กไหลก้อนกลมนั้นหายไปได้อย่างไร

“อะไรวะ มันหายไปไหน เมื่อกี้ข้ายังเห็นมันอยู่เลย” ชาญหลุดสบถอย่างโมโห พาลอารมณ์หงุดหงิด เขาพลิกตามตัวกล้าเพื่อค้นหามัน

              สายฝนหยุดตกไปแล้วแต่ฟ้ายังแลบอยู่ เสียงคำรามของท้องฟ้าแผ่วเบาลง แต่ยังคงส่งเสียงครืนดังมาจากที่ไกลๆแฝงเร้นไปด้วยพลังอันน่าเกรงขาม หากแต่อารมณ์ของคนที่ต้องการเหล็กไหล ไม่ได้เกรงกลัวต่อสิ่งนั้นเลย

“ไอ้ชาญ เอ็งกล้าหักหลังข้ารึ” เสียงของผู้ที่นอนหลับใหล ดังสะท้องก้องเข้ามาในหูของชาญ จนเขาถึงกับผงะถอยหลังสามก้าวด้วยความตกใจ

กล้าค่อยลุกขึ้นยืน ดวงตาฉายแววเกรี้ยวโกรธดุดัน เขาปาดคราบเลือดบริเวณขมับหนึ่งครั้งรอยแผลอันเกิดจากคมจอบก็พลันหายไปราวปาฏิหาริย์

“เสียแรงที่ข้าไว้ใจเอ็ง ความจริงข้ากะจะแบ่งเหล็กไหลให้เอ็งครึ่งหนึ่ง แต่เอ็งกลับโลภมากอยากได้คนเดียวริบังอาจจะฆ่าข้าเสียให้ตาย หึหึ!! เหล็กไหลมันได้ซึมเข้ามาอยู่ในกายข้าแล้ว เอ็งมิสามารถทำอันใดข้าได้” กล้าเอ่ยขึ้นน้ำเสียงทุ้มหนัก เขาย่างสามขุมเข้าหาชาญ ในมือกำด้ามจอบไว้แน่น แววตาไร้ปรานีริมฝีปากแสยะยิ้มอย่างน่ากลัว ใบหน้าบิดเบี้ยวไปมาราวกับไม่ใช่คน ดวงตาแดงฉานน่าสะพรึงกลัว ชาญมองเห็นฟันเขี้ยวแหลมคมคล้ายฟันสัตว์งอกยาวออกมาจากปากของกล้าแลดูดั่งสัตว์เดรัจฉานก็ไม่ปาน

“พี่กล้า ข้า—ข้า” ชาญเอ่ยตะกุกตะกักน้ำเสียงสั่น เขารู้สึกหวาดกลัวสิ่งที่อยู่ตรงหน้าจนสั่นสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ ถ้าเพียงเป็นพี่กล้าคนเดิมเขาคงไม่กลัวมาขนาดนี้ เขาอาจจะต่อสู้อย่างสุดกำลังที่มี แต่นี้เขากลับรู้สึกว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ใช่พี่กล้าคนเดิมที่เขาเคยรู้จัก หากแต่คล้ายกับมีภูตผีวิญญาณแปลงกายมาสิงสถิตอยู่ภายในร่าง

“ตายเสียเถิดไอ้เพื่อนทรยศ” กล้าตะโกนก้อง พลันกับยกจอบหมายจะสับลงบนหัวของอีกฝ่าย ชาญกระโดดหลบคมจอบได้แบบหวุดหวิดแล้ววิ่งหนีอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ทันการอาวุธจอบพิฆาตชูเหล็กแหลมคมจ่อรอร่างของเขาอยู่เบื้องหน้า เพื่อรอการสังเวยเลือดให้แก่ด้ามจอบของกล้า

“พี่กล้า!” ชาญตะโกนเสียงดังกึกก้องด้วยความตกใจเมื่อเห็นร่างของกล้า เคลื่อนไหวตัวมาดักรอเขาอยู่ด้านหน้าอย่างรวดเร็ว ราวกับกล้าสามารถล่องหนหายตัวมาได้

              ใบหน้าบิดเบี้ยวแลดูไม่เป็นผู้เป็นคนของกล้า สร้างความสยองเกล้าให้กับชาญเป็นยิ่งนัก เขาชะงักงันกับภาพที่เห็นราวกับถูกมนต์สะกดให้หยุดนิ่ง ชั่วอึดใจจอบเล่มหนาก็ฟันฉับเข้ากลางกระหม่อมของชาญ เลือดสีแดงสดและสมองวุ้นสีขาวเละเทะไหลทะลักออกมาจากกลางศีรษะ ดวงตาพร่ามัวของชาญปิดสนิทลง เสียงร้องโหยหวนน่าสยดสยองของใครคนหนึ่งดังแว่วเข้าโสตประสาทเขา ก่อนร่างไร้วิญญาณของเขาจะล้มตึงไปกองบนพื้น
กล้ามองดูศพนั้นสายตาเรียบเฉย เขาจับขาของชาญลากถูไปตามพื้นดินซึ่งเอ่อนองด้วยน้ำ มายังจุดที่พวกเขาขุดเจอเหล็กไหล
กล้าลงมือขุดดินอีกครั้ง คราวนี้ขุดเพื่อทำหลุมฝังศพให้เพื่อนที่ตนเพิ่งฆ่าไป กล้าบรรเลงฝังคมจอบลงดินอย่างสบายอารมณ์ ดินหอบใหญ่ถูกกอบโกยขึ้นมากองเป็นเนินสูง ผืนดินที่ถูกขุดเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่พอที่จะโยนร่างคนลงไปได้อย่างพอเหมาะ

กล้าทิ้งจอบพร้อมกับปาดเหงื่อที่ไหลอาบหน้าผาก จากการใช้แรงขุดหลุมจนเหนื่อย เขาลากร่างไร้วิญญาณมาใกล้กับปากหลุมก่อนจะผลักร่างนั้นให้กลิ้งลงไปนอนแนบนิ่งยังก้นหลุมเบื้องล่าง

“เอ็งเป็นคนเริ่มก่อนนะไอ้ชาญ” กล้าพูดกับศพนั้น ก่อนจะใช้จอบโกยดินกลบปากหลุมปิดสนิทซ่อนร่างคนที่เขาฆ่าไว้อย่างมิดชิด

กล้าเดินแบกจอบสองด้ามกลับบ้านอย่างสบายอารมณ์ พลันแอบยิ้มที่มุมปากเมื่อคิดว่าไม่มีผู้ใดสามารถทำอันตรายกับตนได้อีก เหล็กไหลของอันศักดิ์สิทธิ์ได้ฝังอยู่ในกายเขาแล้ว

กล้ากลับถึงบ้านอย่างหอบเหนื่อย เขาทิ้งจอบไปกองข้างบันได ก่อนจะรีบไต่บันไดขึ้นบ้าน เขาเดินตรงไปหยิบสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดในเวลานี้ นั้นคือดาบเล่มใหญ่ที่ซ่อนไว้ในกล่องไม้สีดำถูกล็อกขึงไว้อย่างดี เขาดึงกล่องไม้นั้นออกมาจากช่องลับของฝาผนังบ้านที่เขาทำไว้

               ในกล่องนั้นคือดาบฟ้าฟื้น ดาบที่ผ่านกระบวนการตีอย่างดี เป็นดาบที่มีอิทธิฤทธิ์ การตีดาบต้องเอาเหล็กยอดพระเจดีย์มหาธาตุ ยอดประสาททวารามาประสมกับเหล็กขนันผีพายตายทั้งกลม ตะปูตอกฝาโลงศพผีตายโหงแลหอกสัมฤทธิ์กฤชทองแดงพระแสงหัก ผสมกับเหล็กไหลอีกส่วนหนึ่งหล่อหลอมตีพับเข้าด้วยกันเกิดเป็นดาบฟ้าฟื้นที่มีอิทธิฤทธิ์ไร้อาวุธใดเทียบเคียง

ในค่ำคืนนี้ล่ะที่กล้าตั้งใจจะไปบุกทำลายโรงฝิ่นของพวกอั้งยี่ ให้ย่อยยับดับสูญไป ณ บัดนี้เขาได้ถือครองอาวุธอันร้ายแรงแข็งกล้าอย่างเหล็กไหลที่มีกายสิทธิ์ อิทธิฤทธิ์ป้องกันภัยอันตรายจากของมีคม แลมีดาบฟ้าฟื้นที่ได้มาจากท่านอาจารย์ผู้ฝึกสอนวิชาคาถาอาคมให้กับตน เมื่อนึกขึ้นได้เยี่ยงนี้ก็ยิ่งทำให้ชายหนุ่มเกิดใจฮึกเหิมหมายจะล้างแค้นให้หญิงสาวคนรักของตนเสียให้ได้ในคืนนี้

กล้านั่งขัดสมาธิเพื่อร่ายคาถาอาคมต่างๆที่ตนได้ร่ำเรียนมา แลเป็นการส่งกระแสจิตไปถึงเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ที่ตนถือครองอยู่

เขานั่งพนมมือพึมพำพระคาถาอิติปิโสแปดทิศเป็นคาถาบทสุดท้าย(คาถายันต์เกราะเพ็ชร) ทันใดที่เขาสวดคาถาบทนี้จบก็เกิดลมพายุรุนแรง ฟ้าคำรนติดต่อกันสามครั้งแต่ทว่าสายฝนกลับจางหายไปเหลือไว้เพียงละอองน้ำชุ่มชื้นพรมเกาะเกี่ยวอยู่บนกิ่งไม้ ใบหญ้า

กล้าสาวเท้าก้าวเดินอย่างองอาจมุ่งหน้าสู่โรงฝิ่นของพวกอั้งยี่ มือหนึ่งกุมดาบฟ้าฟื้นไว้มั่น แสงฟ้าแลบเป็นเส้นสายเล็กๆยังกระจายแผ่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าสีดำทะมึน คล้ายกระแสไฟซึ่งพร้อมจะแผดเผาใครก็ตามที่กล้าต่อกรกับมัน

กล้าหยุดอยู่หน้าโรงฝิ่นซึ่งปลูกสร้างเป็นเรือนบ้านสองชั้นใกล้กับท่าน้ำห่างไกลจากแหล่งชุมชน มีแสงไฟเล็ดลอดออกมาเพียงเล็กน้อย บ่งบอกให้รู้ได้อย่างชัดเจนว่าค่ำคืนนี้มีผู้คนเข้ามาใช้บริการเบาตา อาจเนื่องมาจากฝนที่ตกอย่างรุนแรงเมื่อตอนหัวค่ำ จึงถือเป็นโอกาสของเขาในการบุกเข้าทลายโรงฝิ่นนี้ กล้าพึมพำร่ายคาถาก่อนจะเป่ามนต์ไปยังดาบในมือ

               ประตูไม้โรงฝิ่นถูกกล้าถีบเปิดออกอย่างง่ายดาย เพราะไม่ได้ล็อกไว้ ด้านในมีโต๊ะไม้แคร่สองโต๊ะตั้งอยู่คนละฟาก ฟากหนึ่งเป็นพวกลูกค้าขุนนางทั้งหลายที่เข้ามาใช้บริการ นั่งกันอยู่สี่คน แต่ไม่มีใครสนใจมองมาที่กล้า แต่ละคนดูเหม่อลอยไร้สติ บางก็นั่งหัวเราะอยู่คนเดียว บางก็นอนหลับตาเคลิ้มอมยิ้มราวกับกำลังฝันดี
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่