จากใจเด็กผี ที่ชอบคล็อปป์ … ถึงเด็กหงส์

ในฐานะที่ผมน่าจะเป็นคนเขียนถึงเจอร์เก้น คล็อปป์ในเรื่องเกี่ยวพันของเขากับ EPL เป็นคนแรกๆ ในห้องศุภฯ ... ดังนั้น ก่อนที่เขาจะคุมทีมหงส์แดงลงเล่นเป็นนัดแรกพบไก่เดือยทอง (สเปอร์ส) ขอเขียนถึงเขาโดยแยกเป็นหัวข้อดังนี้

1.  ความชอบสโมสรและโค้ชระดับสโมสรโดยส่วนตัว
2.  ทำไมผมถึงชอบเจอร์เก้น คล็อปป์
3. ตอบคำถามที่ว่าซีซั่นก่อน (2014-15) คล็อปป์ฝีมือตกหรือเปล่า (edit)
4. ความคาดหมายของผมกับผลงานของคล็อปป์กับลิเวอร์พูลใน 3 ซีซั่นที่มีสัญญาคุมทีม
5. สรุปสุดท้าย

================================================================================

1. ความชอบสโมสรและโค้ชระดับสโมสรโดยส่วนตัว

ใน http://ppantip.com/topic/32480329/comment5 ที่เขียนตอนสิงหาคมปีก่อน ผมได้แจ้งว่าตัวเองเชียร์แมนฯยูอันดับ 1  โดยต่อจากปีศาจแดงก็เป็นเสือเหลืองดอร์ทมุนด์  ส่วนบาเยิร์น,บาซ่า,หงส์แดงและอาร์เซน่อลเป็นทีมที่เชียร์อันดับ 3  
สำหรับโค้ชระดับสโมสร เป็นเซอร์เล็กซ์เป็นอันดับ 1  โดยอันดับ 2 คือ เจอร์เก้น คล็อปป์

===================================================================================

1. ทำไมผมชอบคล็อปป์ : ผมเชียร์เสือเหลือง (ดอร์ทมุนด์) มาตั้งแต่ปี 1997 เมื่อดอร์ทมุนด์เอาชนะแมนฯยูใน UCL รอบชนะเลิศ จากการคุมของฮิตส์เฟลด์พาทีมชนะยูเวนตุส 3-1 เป็นแชมป์ UCL  หลังจากนั้น ก็ดูดอร์ทมุนด์ในบอล UCL ที่ผ่านรอบแบ่งกลุ่ม ซึ่งหลังจากนั้น มีไม่บ่อยนัก แต่ก็ได้อ่านข้อมูลทีมจากนสพ.สตาร์ซอคเกอร์  และได้ทราบว่าทีมเกือบล้มละลายไปในปี 2005

ผมกลับมาได้ดูดอร์ทมุนด์จริงๆจังๆ ในแมทช์ชิงชนะเลิศเดเอฟเบ โพคาล (หรือที่ทางอังกฤษชอบเรียกว่า ‘เยอรมันคัพ’) กับบาเยิร์นในปี 2012 ได้เห็นฟอร์มการเล่นที่น่าตื่นตาตื่นใจ การเล่นบอลวันทัช ขิ่งบนพื้น เพรสซิ่งในแดนหน้า (แบบเดียวกับท๊อปทีมในภาคพื้นยุโรปสมัยนี้นิยม) การเน้นที่เกมรุกและเร่งเร็ว ด้วยทีมเวิร์คที่ยอดเยี่ยม ทำให้ชนะไปได้ถึง 5-2 (ในแมทช์นั้น ได้เห็นเซอร์อเล็กซ์ไปดูนักเตะ ที่สุดท้ายก็ซื้อคากาวะกลับมาด้วย) ซึ่งแมทช์นี้หลายคนบอกว่า เป็นแมทช์ที่ดีที่สุดที่คล็อปป์เคยคุม

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
นอกจากการเล่นที่ยอดเยี่ยมแล้ว ยังได้เห็นโค้ชยังมีสไตล์การคุมทีมข้างสนามที่ดูแล้วน่าสนุกน่าสนใจอีกด้วย

ซึ่งก่อนหน้านั้น ดอร์ทมุนด์เพิ่งคว้าแชมป์ลีกเยอรมัน หรือที่เรียกกันว่าบุนเดสลีกา เป็นดับเบิ้ลแชมป์ในประเทศ

จากนั้น ผมก็ได้ดูดอร์ทมุนด์บ่อยขึ้น (จนถึงเมื่อคืนที่ชนะไมนซ์ 2-0 ราวตีสามครึ่งทาง Fox Sport2 ) เพราะหลังยูโร 2012 ทาง GMMZ ได้ถ่ายทอดสดบุนเดสลีกา ก็ยิ่งชอบคล็อปป์มากขึ้น ด้วยสไตล์การคุมทีมที่ทันสมัย เน้นเกมรุก เอ็นเตอร์เทนคนดู  แถมยังปากกล้า ชอบกระตุ้นนักเตะ และแสดงความยินดีข้างสนามอย่างไม่เม้มอารมณ์

ซีซั่นต่อมา (2012-13) บาเยิร์นทุ่มทุนราว 80 ล้านยูโรฯ ซื้อนักเตะใหม่ 8 ราย เพื่อแย่งชิงความยิ่งใหญ่กลับมา โดยบาเยิร์นชุดนั้น ได้ทำสถิติมากมาย โดยเฉพาะการเป็นทีมจากเยอรมันทีมแรกและทีมเดียวที่ได้ทริปเปิ้ลแชมป์ใหญ่  โดยโค้ช (จุ๊ปป์ ไฮน์เกส) ยังพาบาเยิร์นชนะดอร์ทมุนด์ไป 2-1 ในการชิงแชมป์ UCL อีกด้วย (ก่อนนัดนั้น เกิทเซ่ที่เป็นนักเตะดาวรุ่งที่โดดเด่นของเยอรมันตอนนั้น ได้รับบาดเจ็บไม่ได้ลง และบาเยิร์นเพิ่งซื้อเขาจากดอร์ทมุนด์เป็นค่าฉีกสัญญา 37 ล้านยูโรฯ มีผลต่อการย้ายตัวตอนซัมเมอร์)

ก่อนหน้านั้น ในรอบรองชนะเลิศ UCL ดอร์ทมุนด์ของคล็อปป์เอาชนะรีล มาดริคของมูริญโญ่ที่ซีซั่นก่อนได้แชมป์ลาลีกาสเปนและแชมป์ UCL ไปได้สกอร์รวม 2 legs 4-3

==================================================================================

2. ตอบคำถามที่ว่าซีซั่นก่อน (2014-15) คล็อปป์ฝีมือตกหรือเปล่า  โดยทำทีมได้อันดับ 7 ในบุนเดสลีก้า ขอตอบดังนี้ :

แน่นอนว่า คล็อปป์ที่เป็นโค้ชย่อมต้องรับผิดชอบเป็นหลัก แต่นั่นก็มีสาเหตุอื่นร่วมด้วย หลักๆ มี 3 ข้อ คือ :

1. เลวานนอฟสกี้ดาวยิงของดอร์ทมุนด์และบุนเดสลีกา (20 ประตู) หมดสัญญากับดอร์ทมุนด์และย้ายไปบาเยิร์นฟรีๆ (เลวานบอกตั้งแต่ซีซั่น 2012-13 แล้วว่าต้องการย้ายไปบาเยิร์น แต่แม้ว่าดอร์ทมุนด์ไม่ยอมขาย เขาก็มีสปิริตสูงมาก ทุ่มเทเล่นให้เต็มที่) ช่วงต้นฤดูกาล โอบาเมยองยังแทนที่ได้ไม่มาก  แต่ท้ายที่สุดโอบาเมยองก็ยิงรวมกันในบุนเดสฯ ได้ 16 ประตู

2. อาการที่สลับกันเจ็บของนักเตะ โดยเฉพาะคากาวะ (เพิ่งย้ายกลับจากแมนฯยู), รอยส์, กุนโดกัน (ขนาดทีม (team squad) ดอร์ทมุนด์ค่อนข้างเล็ก หมายถึงมีนักเตะราว 14-15 คนที่เก่งทดแทนกันได้ ไม่เหมือนบาเยิร์นที่แม้มีนักเตะบาดเจ็บเยอะ แต่ด้วยขนาดทีมใหญ่ราว 20-22 คนที่ทดแทนกันได้)

3. ฟอร์มที่ตกลงของนักเตะตัวหลักหลายคน เช่น ไวเดนเฟลเลอร์ ประตูมือ 2 แชมป์โลกอินทรีเหล็ก (ทำให้ท้ายซีซั่น โดนดร๊อปเป็นคัวสำรองจนถึงปัจจุบัน) ซูโบคิสเซ็นเตอร์แบ็ค  นอกจากนั้น ดอร์ทมุนด์ยังเสียประตูใน 2-3 นาทีแรกถึง 4 นัด

แต่ในบอลถ้วย ดอร์ทมุนด์ทำงานได้ดีทีเดียว โดยเป็นแชมป์รอบแบ่งกลุ่ม UCL (อาร์เซน่อลอันดับ 2)  โดยหลังเบรคหน้าหนาว กลับมาเล่นในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ทีมแพ้จูเวนตุสที่เป็นแชมป์กัลโช่อิตาลีในซีซั่นก่อนและซีซั่นนั้น (2014-15) ด้วยสกอร์รวม 4-2

ถ้วยที่ดอร์ทมุนด์ประสบความสำเร็จสูงสุด คือ เดเอฟเบ โพคาล ทีมเอาชนะบาเยิร์นทีมแชมป์บุนเดสฯ ในรอบรองเดเอฟเบ โพคาล (ทั้ง 2 มีนักเตะบาดเจ็บ) ด้วยจุดโทษหลังต่อเวลาแล้วเสมอกัน 1-1 โดยครึ่งแรกดอร์ทมุนด์เล่นได้ดีกว่า ครึ่งหลังและต่อเวลาบาเยิร์นเล่นได้ดีกว่า

ในนัดชิง ทีมแพ้โวล์ฟบวร์กทีมรองแชมป์บุนเดสฯ 1-3

===================================================================================

3. ความคาดหมายของผมกับผลงานของคล็อปป์กับลิเวอร์พูลใน 3 ซีซั่นที่เขาเซ็นสัญญา

ซีซั่นนี้ (2015-16) edit : คล็อปป์แม้จะเพิ่งได้มือซ้ายและมือขวา (บูวัช กับ คราวิตซ์) แต่จะเจอปัญหาหลายเรื่อง ได้แก่

1.  เขาเป็นโค้ชในแบบยุโรป แบบเดียวกับ LVG หรือกวาดิโอล่า คือ เพียงบอกว่าต้องการใคร แล้วมีผู้อำนวยการกีฬา/CEO/ผู้มีอำนาจ (ดอร์ทมุนด์คือซอร์ค) ทำหน้าที่ซื้อขาย ดีลเรื่องเงินให้  ไม่เหมือนผู้จัดการทีมในอังกฤษที่ทำหน้าที่ทั้งคุมทีมและซื้อขายนักเตะ (ผมทราบมาว่า ลิเวอร์พูล มีคณะกรรมการทำหน้าที่นี้ ซึ่งรับรองว่าถ้าแทรกแซงคล็อปป์ เขาจะ fight อย่างหนักแน่ๆ)

2.  เขายังต้องใช้นักเตะเดิมที่ร๊อดเจอร์ทิ้งไว้ให้ ซึ่งหงส์หลังจากถูก ‘บังคับขาย’ ซัวเรสไปเนื่องจากไป ‘กัด’ ซ้ำในยูโร 2012 แม้จะทุ่มทุนจากนั้นนับร้อยล้านปอนด์ แต่ได้นักเตะกระจัดกระจายไม่ถูกจุดเท่าไหร่ แถมยังเพิ่งขายกองหน้าตัวหลักอย่างสเตอริ่งไปให้แมนฯซิตี้

3.  บางคนอาจหวังในเดือนมกราที่หน้าต่างซื้อขายนักเตะเปิดอีกครั้ง แต่ช่วงนั้น ทีมใหญ่จะก้าวลึกๆ ใน UCL รวมถึงจะลุ้นแชมป์หรืออันดับดีๆ เพื่อไป UCL กันแล้ว ยากจะมีการซื้อขายนักเตะระดับเยี่ยมเข้ามาได้

4.  ระบบการเล่นของทีมของคล็อปต่างจากร๊อดเจอร์  คล็อปป์นิยมใช้ระบบ 4-2-3-1  มาโดยตลอด และอย่างที่ได้กล่าวมา เขาชอบเล่นเกมรุก  โดยสไตล์ของทีมเขาเล่นบอลภาคพื้นเป็นหลัก แต่ก็มีการรุกเพื่อจ่ายจากปีกและแบ็คไป overlap ไม่น้อย ถ้าจะคล้ายทีมไหนใน EPL ที่สุด ก็คืออาร์เซน่อลสัก 6-70%  โดยจะมีความหลากหลายในเกมรุกมากกว่า

5. ในอังกฤษมีถึง 4 ถ้วย ไม่เหมือนในเยอรมันที่มีแค่ 3 ถ้วย ต้อง rotation นักเตะมาก ในชณะที่ team squad ของลิเวอร์พูลก็มีขนาดไม่ใหญ่เท่าท๊อปทีมอื่น

6. ทีมที่แย่ง 4 อันดับแรกไป UCL ในอังกฤษมีมากกว่าในบุนเดสฯลีก้า ที่มีบาเยิร์นเป็นหลักแล้วทีมอื่นขึ้นมาสอดแทรกเป็นช่วงๆไป

7. ภาษา แน่นอนว่าคล็อปป์ไม่ถนัดภาษาอังกฤษมากนัก ต้องใช้เวลาเรียนและฝึกฝนไม่ต่ำกว่า 3 เดือนถึงจะใช้งานได้ดี

สรุปว่าซีซั่นนี้  (2015-16)  การพาหงส์ไปเล่น UCL อีกครั้ง (อันดับ 4 EPL) เป็นเรื่องไม่ง่ายแน่ๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียเลย
แต่ถ้าใครหวังว่าจะได้เห็นหงส์เล่นเกมรุกเร็ว เอ็นเตอร์เทนคนดู และเห็นคล็อปป์กระโดดโลดเต้นกระตุ้นนักเตะหรือดีใจเมื่อได้ประตูที่ข้างสนาม รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่

ดังนั้น เด็กหงส์หลายคนที่กำลังเห่อคล็อปป์ พอทราบข้อจำกัดหลายอย่างด้านบน หวังว่าจะให้โอกาสเขาหน่อยนะครับ

ซีซั่นหน้า (2016-17)  ด้วยชื่อเสียงและผลงานของเขา ผมเชื่อว่า เขาจะทำให้หงส์แดงได้นักเตะที่ match กับระบบของเขา ปัญหาที่ต้องพบของซีซั่นนี้จะลดลง และนักเตะจะเล่นได้เข้ากับระบบมากขึ้น  และปิดท้ายฤดูกาล น่าจะได้เข้ารอบลึกๆ บอลถ้วยอังกฤษ และสามารถทำทีมไป UCL ได้

ซีซั่นสุดท้ายของสัญญา (2017-18) เป็นซีซั่นที่หงส์จะได้นักเตะและระบบทีมของหงส์แดงลงตัวกับสไตล์ของคล็อปป์ ทีมน่าจะมีลุ้นแชมป์ใหญ่ในอังกฤษถึงท้ายๆ ซีซั่น เป็นอย่างน้อย

===================================================================================

4. สรุปสุดท้าย สำหรับผม ถ้าหงส์แดงไม่ได้เล่นกับผีแดง (วันแดงเดือด) ผมจะเชียร์ลิเวอร์พูลเต็มที่ (ลิเวอร์พูลยังคงเป็นทีมเชียร์อันดับ 3 อยู่ แต่ได้ + ขึ้นมาครึ่งสเต็ป) และถ้าไม่ใช่กำลังลุ้นแชมป์ใหญ่ (EPL) ผมจะเชียร์เขาเต็มที่  

แฟนหงส์ทั้งหลาย มาเชียร์คล็อปป์ด้วยกันนะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่