การกินเจที่ถูกต้อง
(ใคร ไม่อยากหลุดพ้น ก็ไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องทำก็ได้ครับ)
การกินเจ ไม่เกี่ยวกับการได้บุญ หรือไม่ได้บุญ พุทธะไม่เคยบัญญัติการกินเจ
ใครจะกินเนื้อสัตว์หรือไม่กินเนื้อสัตว์ก็ได้ พุทธะไม่เคยบัญญัติในพระวินัย
ว่าต้องบังคับใคร มา กินเจ
ข้อมูลที่ผมหามาได้
1. พระสูตร (ผมเอามา 2 พระสูตร)
2. หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต (สอนเรื่องการกินเจ)
3. หลวงปู่แหวน สุจินโณ (กินเจ)
4. หลวงพ่อชา สุภัทโท (กินเจ...กินเนื้อ - "กบ" กับ "คางคก" )
5. สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
(การกินเจ (ตั้งใจไม่กินเนื้อสัตว์) จริงๆไม่ได้บุญ)
=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=
1. พระสูตร
คำพูดพุทธะ
ทูลขอวัตถุ ๕ ประการ
[๓๘๔] ครั้งนั้น พระเทวทัตพร้อมกับบริษัทเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถวายบังคมแล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เมื่อนั่งเรียบร้อยแล้วได้กราบทูล
พระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสคุณแห่งความเป็นผู้มักน้อย
ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส ความไม่สั่งสม
การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย พระพุทธเจ้าข้า วัตถุ ๕ ประการนี้
ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย ความเป็นผู้สันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด
อาการที่น่าเลื่อมใส ความไม่สั่งสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย
ข้าพระพุทธเจ้า ขอประทานพระวโรกาส ภิกษุทั้งหลายพึงถือการอยู่ป่าเป็นวัตร
ตลอดชีวิต รูปใดอาศัยบ้านอยู่ รูปนั้นพึงต้องโทษ ภิกษุทั้งหลายพึงถือเที่ยว
บิณฑบาตเป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใดยินดีกิจนิมนต์ รูปนั้นพึงต้องโทษ ภิกษุ
ทั้งหลายพึงถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใดยินดีคหบดีจีวร รูปนั้นพึงต้องโทษ
ภิกษุทั้งหลายพึงถือการอยู่โคนไม้เป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใดเข้าอาศัยที่มุงที่บัง รูป
นั้นพึงต้องโทษ ภิกษุทั้งหลายไม่พึงฉันปลาและเนื้อตลอดชีวิต รูปใดฉันปลาและ
เนื้อ รูปนั้นพึงต้องโทษ
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า อย่าเลย เทวทัต ภิกษุใดปรารถนา ภิกษุนั้น
จงถือการอยู่ป่าเป็นวัตร รูปใดปรารถนา จงอยู่ในบ้าน รูปใดปรารถนา จงถือ
เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร รูปใดปรารถนา จงยินดีกิจนิมนต์ รูปใดปรารถนา จง
ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร รูปใดปรารถนา จงยินดีคหบดีจีวร เราอนุญาตโคนไม้เป็น
เสนาสนะ ๘ เดือน เราอนุญาตปลาและเนื้อที่บริสุทธิ์โดยส่วนสาม คือ ไม่ได้เห็น
ไม่ได้ยิน ไม่รังเกียจ
ครั้งนั้น พระเทวทัตคิดว่า พระผู้มีพระภาคไม่ทรงอนุญาต วัตถุ ๕ ประการ
นี้ จึงร่าเริงดีใจพร้อมกับบริษัทลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำ
ประทักษิณ แล้วกลับไป ฯ
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=7&A=3778&w=%B7%D9%C5%A2%CD%C7%D1%B5%B6%D8_%F5_%BB%C3%D0%A1%D2%C3
ชีวก ! เรากล่าวเนื้อว่า ไม่ควรเป็นของบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการ
คือ เนื้อที่ตนเห็น เนื้อที่ตนได้ยิน เนื้อที่ตนรังเกียจ
ชีวก ! เรากล่าวเนื้อว่าเป็นของไม่ควรบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการ นี้แล
ชีวก ! เรากล่าวเนื้อว่า เป็นของควรบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ
--> เนื้อที่ตนไม่ได้เห็น เนื้อที่ตนไม่ได้ยิน เนื้อที่ตนไม่ได้รังเกียจ <--
ชีวก ! เรากล่าวเนื้อว่า เป็นของควรบริโภค ด้วยเหตุ ๓ ประการนี้แล.
(ภาษาไทย) ม. ม. ๑๓/๔๒/๕๖-๕๗. : คลิกดูพระสูตร
http://etipitaka.com/read/thai/13/42/
=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=
2. หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
สอนเรื่องการกินเจ
เทศน์แก่พระอาจารย์อุ่น ธมฺมธโร ซึ่งเป็นลูกศิษย์ผู้ใหญ่ของท่าน
“คนเรามันไม่ได้วิเศษเพราะการกินผักกินเนื้อนะ แต่มันวิเศษด้วยการกินเพราะการพินิจพิจารณาโดยแยบคาย อันผักหญ้าเนื้อนั้นมันไม่ได้รู้เรื่องดี เรื่องชั่ว เหมือนคนเรา จิตเราดอก
พระธรรมคำสอนแง่หนักเบาต่างหาก ที่เรานำมาพินิจพิจารณา แล้วนำมาสอนตนจะทำให้เราดีขึ้นได้ เรื่องกิน อยู่หลับนอน อะไรๆ พระพุทธเจ้าพระองค์ก็ทรงบัญญัติไว้หมดแล้ว ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรกับกินเจ ไม่กินเจ กินเนื้อ ไม่กินผัก กินแต่ผักไม่กินเนื้อ อันไหนกินได้ ฉันได้ ท่านก็บัญญัติไว้หมดแล้ว
ถ้าท่านคิดว่าการกินแต่ผักทำให้ท่านเลิศเลอ เป็นผู้วิเศษขึ้นมาได้ อันนี้ผมก็สุดปัญญาที่จะสอนท่าน ถ้าการกินแต่ผักอย่างท่านว่า เป็นผู้บริสุทธิ์สิ้นกิเลส จบพรหมจรรย์ได้ มนุษย์ไม่ได้สิ้นกิเลสหรอก วัวควายเป็นต้นนั่นแหละมันจะสิ้นก่อน เพราะมันไม่ได้กินเนื้อ มันกินแต่ผักแต่หญ้าเต็มปากเต็มพุง มันกินแต่ผักแต่หญ้า ทำไมลูกมันถึงเต็มท้องไร่ทุ่งนา
ถ้าการกินแบบท่านว่าเป็นของเลิศ วัวควายมันเลิศก่อนแล้ว เพราะมันเกิดมามันก็กินแล้ว โดยไม่ต้องมีใครคอยสอน ถึงท่านกินยังไง มันก็ไม่เท่าวัวเท่าควายกินหรอก เพราะวัวควายมันปฏิเสธเนื้อโดยประการทั้งปวง กินแต่ผักแต่หญ้า
ถ้าจะกินเจ ฉันเจ กินผักไม่กินเนื้อ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่การไปหาตำหนิคนโน้นคนนี้ ว่ากินเนื้อเป็นเปรตเป็นผี มันไม่สมควร แล้วก็มาหลงตน ยกยอตนว่าเป็นผู้ประเสริฐกว่าคนอื่นเขา ท่านดูใจของท่านเองก็ได้นี่ ว่ามันประเสริฐตรงไหนหรือยัง ถ้ายังไม่ประเสริฐให้รีบแก้ ราคะ โทสะ โมหะ ที่เผาหัวอยู่นั่นล่ะ มันเป็นสิ่งที่ท่านต้องแก้เสียโดยเร็วพลัน ไม่ใช่วันๆ เที่ยวแต่ชวนหาคนมากินผัก ไอ้ผักนั้นผมก็กิน
คนเรามันประเสริฐเลิศได้ด้วยความประพฤติ มิใช่เพราะการกิน ส่วนเรื่องการกินเป็นเรื่องรองๆ อย่าเอามาเป็นเรื่องเอก ท่านจะกินก็กินเถอะเจ ผักของท่านนั้น ผมไม่เอาด้วยหรอก”
หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต เทศน์สอนแก่พระอาจารย์อุ่น ธมฺมธโร (วัดทิพยรัฐนิมิตร จ.อุดรธานี) ซึ่งเป็นลูกศิษย์ผู้ใหญ่ของท่าน เมื่อท่านพูดจบลง คณะญาติโยมที่มาด้วยเงียบกริบ มองตากันปริบๆ ไม่มีใครกล้าพูดกล้าแสดงอะไรอีก บางคนคงจะรู้สึกว่าเหมือนฟ้ามันผ่าลงที่กบาลฤดูแล้ง บางคนก็คงจะเห็นเหตุผลที่ท่านแสดงอย่างคมคาย แต่สำหรับบางคนที่จิตใจไม่ยอมรับความจริง ก็ถือว่าเป็นกรรมของสัตว์ไป
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=18682
=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=
3. หลวงปู่แหวน สุจินโณ
กินเจ
ถึงกินเจตลอดชีวิต แต่ไม่ทำทาน ไม่รักษาศีล ไม่เจริญภาวนา ก็อย่าหวังรอดจากนรก หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่ เมตตากรุณาสั่งสอนไว้ว่า “การเจริญสติบำเพ็ญภาวนาเท่านั้นถึงจะบรรลุพระอรหันต์ได้ การตัดกิเลสตัณหาต้องใช้พระกรรมฐานเท่านั้น พระกรรมฐานมีให้เลือกตั้ง ๔๐ กอง
ในอดีตมีคนเคยมาชวนหลวงปู่ฉันเจ ฝ่ายหลวงปู่ท่านตอบว่า “ถ้ากินเจมันประเสริฐเป็นบุญใหญ่นัก วัว ควาย ก็คงเป็นพระอรหันต์หมดแล้ว คนเราจะกินอะไรไม่สำคัญ สำคัญที่ว่ากิเลสตัณหาตัดได้หรือเปล่า แล้วการกินเจก็ไม่ช่วยให้กิเลสตัณหาลดลง แต่ถ้าจะกินเพื่อสุขภาพละก็อนุโมทนา
แต่การกินเจไม่ช่วยให้พ้นนรกได้หรอก คนกินเจลงนรกก็เยอะแยะ เพราะกิเลสตัณหายังเต็มหัวมันอยู่” ท่านดูใจของท่านเองก็ได้นี่ ว่ามันประเสริฐตรงไหนหรือยัง ถ้ายังไม่ประเสริฐให้รีบแก้ ราคะ โทสะ โมหะ ที่เผาหัวอยู่นั่นล่ะ มันเป็นสิ่งที่ท่านต้องแก้เสียโดยเร็วพลัน ไม่ใช่วัน ๆ เที่ยวแต่ชวนหาคนมากินผัก
คนเรามันประเสริฐเลิศได้ด้วยความประพฤติ มิใช่เพราะการกิน ถึงกินเจตลอดชีวิต แต่ไม่ทำทาน ไม่รักษาศีล ไม่เจริญภาวนา ก็กินเจเสียเปล่า หาประโยชน์มิได้ แล้วยังไม่ช่วยให้ตัวเองพ้นจากขุมนรกในสมัยพุทธกาล
พระเทวทัตตั้งตัวเองเป็นศาสดาแล้วตั้งโกหัญญกรรม ๕ ประการคือ
๑. ให้อยู่ในเสนาสนะป่า ตลอดชีวิต ห้ามตั้งวัด ห้ามเข้าเมืองเลย
๒. ให้ถือบิณฑบาต ตลอดชีวิต อาหารที่มีคนมาถวายหลังบิณฑบาตให้ทิ้งให้หมด
๓. ให้ทรงผ้าบังสุกุล คือผ้าที่เขาทิ้งแล้วและผ้าเนื้อเลว ตลอดชีวิต ผ้าเนื้อดีเผาทิ้งให้หมด
๔. ให้อยู่โคนไม้ ห้ามนอน ตลอดชีวิต
๕. ให้งดฉันมังสาหาร คือห้ามกินเนื้อ ตลอดชีวิต
พระพุทธองค์บรมศาสดาไม่ทรงอนุญาต ตรัสว่า “ไม่ควร ควรให้ปฎิบัติได้ตามศรัทธา” ด้วยทรงเห็นว่า ยากแก่การปฎิบัติ เป็นการเกินพอดีไม่เป็นทางสายกลาง พระเทวทัตจึงโจทก์โทษพระบรมศาสดา ประกาศว่า คำสอนของตนประเสริฐกว่า คนที่มีปัญญาบารมีน้อยหลงเชื่อ ยอมทำตนเข้าเป็นสาวก ครั้นพระเทวทัตได้ภิกษุยอมเข้าเป็นบริษัทของตนแล้ว ก็พยายามทำสังฆเภท ตั้งตัวเป็นศาสดาเสียเอง แล้วท้ายที่สุด พระเทวทัตก็โดนธรณีสูบ ไหม้อยู่ที่อเวจีมหานรก
http://www.dhamma-raksa.com/กินเจ-หลวงปู่แหวน-สุจิน
=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=
4. หลวงพ่อชา สุภัทโท
กินเจ...กินเนื้อ - "กบ" กับ "คางคก"
วันหนึ่งมีคนมาถามหลวงพ่อชา เกี่ยวกับเรื่องการกินเจกับการกินอาหารเนื้ออาหารปลาต่างกันอย่างไร อย่างไหนถูก อย่างไหนผิดเพราะปัจจุบัน มีสำนักปฏิบัติที่ถือข้อวัตรปฏิบัติต่างกันมากมายหลายแห่ง บางแห่งถือว่าการกินเนื้อสัตว์เป็นบาปเป็นกรรมร่วม เพราะเท่ากับเป็นการยุให้เขาฆ่าสัคว์ที่นั้นจะต้องถือมังสวิรัติ เว้นการฉันเนื้อฉันปลาอย่างเด็ดขาด
บางแห่งว่าการกินเจเป็นข้อวัตรของเทวทัตที่เคร่งครัดเกินไป จนพระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาต เขาจึงสงสัยว่าอย่างไรจะถูกอย่างไรจะผิด ในระหว่างข้อวัตรปฏิบัติทั้งสองแบบนี้
ท่านตอบว่า
“เหมือนกบกับคางคกนั่นแหละ
โยมว่ากบกับคางคกอย่างไหนมันดีกว่ากัน
ความจริงแล้ว พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ฉันอะไร ไม่ได้เป็นอะไร ในจิตของท่านไม่มีอะไรเป็นอะไรอีกแล้ว การบริโภคอาหารเป็นสักแต่ว่า เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงร่างกายพอให้คงอยู่ได้ ท่านไม่ให้ติดในรสชาติของอาหาร ไม่ให้ติดอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง ให้รู้จักประมาณในการบริโภค ไม่ให้บริโภคด้วยตัณหา นี่เรียกว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ฉันอะไร ไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไรแล้ว
ถ้าคนกินเนื้อไปติดอยู่ในรสชาติของเนื้อ นั่นเป็นตัณหา
ถ้าคนไม่กินเนื้อ พอเห็นคนอื่นกินเนื้อ ก็รังเกียจและโกรธเขา ไปด่าว่านินทาเขา เอาความชั่วของเขาไปไว้ในใจตัวเอง นั่นก็เป็นคนโง่กว่าเขา ทำไปตามอำนาจของตัณหาเหมือนกัน
การที่เราไปโกรธเกลียดเขานั้น มันก็คือผีที่สิงอยูในใจเรา เขากินเนื้อเป็นบาปเราโกรธเขา เราก็เป็นผีเป็นบาปอีกเหมือนกัน มันยังเป็นสัตว์อยู่ทั้งสองฝ่าย ยังไม่เป็นธรรมะ อาตมาจึงว่าเหมือนกบกับคางคก”
“แต่ทางที่ถูกนั้น ใครจะกินอะไรก็กินไป แต่ให้มีธรรมะ
คนกินเนื้อ ก็อย่าเห็นแก่ปากปากท้อง
อย่าเห็นแก่ความเอร็ดอร่อยจนเกินไป อย่าถึงกับฆ่าเขากิน
ส่วนคนกินเจก็ให้เชื่อมั่นในข้อวัตรของตัวเอง เห็นคนอื่นกินเนื้อ
อย่าไปโกรธเขา รักษาตัวเราไว้ อย่าให้คิดอยูในการกระทำภายนอก
พระเณรในวัดนี้ของอาตมาก็เหมือนกัน องค์ไหนจะถือข้อวัตร ฉันเจก็ถือไป องค์ไหนจะฉันธรรมดาตามมีตามได้ก็ถือไป แต่อย่าทะเลาะกัน อย่ามองกันในเง่ร้าย อาตมาสอนอย่างนี้ ท่านก็อยู่ไปด้วยกันได้ ไม่เห็นมีอะไร
ให้เข้าใจว่า
ธรรมะที่แท้นั้น เราจะเข้าถึงได้ด้วยปัญญา ทางปฏิบัติที่ถูกก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเราสำรวมอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจไว้ดีแล้ว จิตก็จะสงบและปัญญาความรู้เท่าทันสภาพของสังขารทั้งหลาย ก็จะเกิดขึ้น จิตใจก็เบื่อหน่ายจากสิ่งที่น่ารักน่าใคร่ทั้งหลายวิมุตติก็เกิดขึ้นเท่านั้น”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=34808
=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=
เฟสบุ๊คของผมนะครับ
facebook.com/BossKubPom
การกินเจที่ถูกต้อง
(ใคร ไม่อยากหลุดพ้น ก็ไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องทำก็ได้ครับ)
การกินเจ ไม่เกี่ยวกับการได้บุญ หรือไม่ได้บุญ พุทธะไม่เคยบัญญัติการกินเจ
ใครจะกินเนื้อสัตว์หรือไม่กินเนื้อสัตว์ก็ได้ พุทธะไม่เคยบัญญัติในพระวินัย
ว่าต้องบังคับใคร มา กินเจ
ข้อมูลที่ผมหามาได้
1. พระสูตร (ผมเอามา 2 พระสูตร)
2. หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต (สอนเรื่องการกินเจ)
3. หลวงปู่แหวน สุจินโณ (กินเจ)
4. หลวงพ่อชา สุภัทโท (กินเจ...กินเนื้อ - "กบ" กับ "คางคก" )
5. สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
(การกินเจ (ตั้งใจไม่กินเนื้อสัตว์) จริงๆไม่ได้บุญ)
=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=
1. พระสูตร
คำพูดพุทธะ
ทูลขอวัตถุ ๕ ประการ
[๓๘๔] ครั้งนั้น พระเทวทัตพร้อมกับบริษัทเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถวายบังคมแล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เมื่อนั่งเรียบร้อยแล้วได้กราบทูล
พระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสคุณแห่งความเป็นผู้มักน้อย
ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส ความไม่สั่งสม
การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย พระพุทธเจ้าข้า วัตถุ ๕ ประการนี้
ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย ความเป็นผู้สันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด
อาการที่น่าเลื่อมใส ความไม่สั่งสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย
ข้าพระพุทธเจ้า ขอประทานพระวโรกาส ภิกษุทั้งหลายพึงถือการอยู่ป่าเป็นวัตร
ตลอดชีวิต รูปใดอาศัยบ้านอยู่ รูปนั้นพึงต้องโทษ ภิกษุทั้งหลายพึงถือเที่ยว
บิณฑบาตเป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใดยินดีกิจนิมนต์ รูปนั้นพึงต้องโทษ ภิกษุ
ทั้งหลายพึงถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใดยินดีคหบดีจีวร รูปนั้นพึงต้องโทษ
ภิกษุทั้งหลายพึงถือการอยู่โคนไม้เป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใดเข้าอาศัยที่มุงที่บัง รูป
นั้นพึงต้องโทษ ภิกษุทั้งหลายไม่พึงฉันปลาและเนื้อตลอดชีวิต รูปใดฉันปลาและ
เนื้อ รูปนั้นพึงต้องโทษ
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า อย่าเลย เทวทัต ภิกษุใดปรารถนา ภิกษุนั้น
จงถือการอยู่ป่าเป็นวัตร รูปใดปรารถนา จงอยู่ในบ้าน รูปใดปรารถนา จงถือ
เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร รูปใดปรารถนา จงยินดีกิจนิมนต์ รูปใดปรารถนา จง
ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร รูปใดปรารถนา จงยินดีคหบดีจีวร เราอนุญาตโคนไม้เป็น
เสนาสนะ ๘ เดือน เราอนุญาตปลาและเนื้อที่บริสุทธิ์โดยส่วนสาม คือ ไม่ได้เห็น
ไม่ได้ยิน ไม่รังเกียจ
ครั้งนั้น พระเทวทัตคิดว่า พระผู้มีพระภาคไม่ทรงอนุญาต วัตถุ ๕ ประการ
นี้ จึงร่าเริงดีใจพร้อมกับบริษัทลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำ
ประทักษิณ แล้วกลับไป ฯ
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=7&A=3778&w=%B7%D9%C5%A2%CD%C7%D1%B5%B6%D8_%F5_%BB%C3%D0%A1%D2%C3
ชีวก ! เรากล่าวเนื้อว่า ไม่ควรเป็นของบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการ
คือ เนื้อที่ตนเห็น เนื้อที่ตนได้ยิน เนื้อที่ตนรังเกียจ
ชีวก ! เรากล่าวเนื้อว่าเป็นของไม่ควรบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการ นี้แล
ชีวก ! เรากล่าวเนื้อว่า เป็นของควรบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ
--> เนื้อที่ตนไม่ได้เห็น เนื้อที่ตนไม่ได้ยิน เนื้อที่ตนไม่ได้รังเกียจ <--
ชีวก ! เรากล่าวเนื้อว่า เป็นของควรบริโภค ด้วยเหตุ ๓ ประการนี้แล.
(ภาษาไทย) ม. ม. ๑๓/๔๒/๕๖-๕๗. : คลิกดูพระสูตร
http://etipitaka.com/read/thai/13/42/
=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=
2. หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
สอนเรื่องการกินเจ
เทศน์แก่พระอาจารย์อุ่น ธมฺมธโร ซึ่งเป็นลูกศิษย์ผู้ใหญ่ของท่าน
“คนเรามันไม่ได้วิเศษเพราะการกินผักกินเนื้อนะ แต่มันวิเศษด้วยการกินเพราะการพินิจพิจารณาโดยแยบคาย อันผักหญ้าเนื้อนั้นมันไม่ได้รู้เรื่องดี เรื่องชั่ว เหมือนคนเรา จิตเราดอก
พระธรรมคำสอนแง่หนักเบาต่างหาก ที่เรานำมาพินิจพิจารณา แล้วนำมาสอนตนจะทำให้เราดีขึ้นได้ เรื่องกิน อยู่หลับนอน อะไรๆ พระพุทธเจ้าพระองค์ก็ทรงบัญญัติไว้หมดแล้ว ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรกับกินเจ ไม่กินเจ กินเนื้อ ไม่กินผัก กินแต่ผักไม่กินเนื้อ อันไหนกินได้ ฉันได้ ท่านก็บัญญัติไว้หมดแล้ว
ถ้าท่านคิดว่าการกินแต่ผักทำให้ท่านเลิศเลอ เป็นผู้วิเศษขึ้นมาได้ อันนี้ผมก็สุดปัญญาที่จะสอนท่าน ถ้าการกินแต่ผักอย่างท่านว่า เป็นผู้บริสุทธิ์สิ้นกิเลส จบพรหมจรรย์ได้ มนุษย์ไม่ได้สิ้นกิเลสหรอก วัวควายเป็นต้นนั่นแหละมันจะสิ้นก่อน เพราะมันไม่ได้กินเนื้อ มันกินแต่ผักแต่หญ้าเต็มปากเต็มพุง มันกินแต่ผักแต่หญ้า ทำไมลูกมันถึงเต็มท้องไร่ทุ่งนา
ถ้าการกินแบบท่านว่าเป็นของเลิศ วัวควายมันเลิศก่อนแล้ว เพราะมันเกิดมามันก็กินแล้ว โดยไม่ต้องมีใครคอยสอน ถึงท่านกินยังไง มันก็ไม่เท่าวัวเท่าควายกินหรอก เพราะวัวควายมันปฏิเสธเนื้อโดยประการทั้งปวง กินแต่ผักแต่หญ้า
ถ้าจะกินเจ ฉันเจ กินผักไม่กินเนื้อ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่การไปหาตำหนิคนโน้นคนนี้ ว่ากินเนื้อเป็นเปรตเป็นผี มันไม่สมควร แล้วก็มาหลงตน ยกยอตนว่าเป็นผู้ประเสริฐกว่าคนอื่นเขา ท่านดูใจของท่านเองก็ได้นี่ ว่ามันประเสริฐตรงไหนหรือยัง ถ้ายังไม่ประเสริฐให้รีบแก้ ราคะ โทสะ โมหะ ที่เผาหัวอยู่นั่นล่ะ มันเป็นสิ่งที่ท่านต้องแก้เสียโดยเร็วพลัน ไม่ใช่วันๆ เที่ยวแต่ชวนหาคนมากินผัก ไอ้ผักนั้นผมก็กิน
คนเรามันประเสริฐเลิศได้ด้วยความประพฤติ มิใช่เพราะการกิน ส่วนเรื่องการกินเป็นเรื่องรองๆ อย่าเอามาเป็นเรื่องเอก ท่านจะกินก็กินเถอะเจ ผักของท่านนั้น ผมไม่เอาด้วยหรอก”
หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต เทศน์สอนแก่พระอาจารย์อุ่น ธมฺมธโร (วัดทิพยรัฐนิมิตร จ.อุดรธานี) ซึ่งเป็นลูกศิษย์ผู้ใหญ่ของท่าน เมื่อท่านพูดจบลง คณะญาติโยมที่มาด้วยเงียบกริบ มองตากันปริบๆ ไม่มีใครกล้าพูดกล้าแสดงอะไรอีก บางคนคงจะรู้สึกว่าเหมือนฟ้ามันผ่าลงที่กบาลฤดูแล้ง บางคนก็คงจะเห็นเหตุผลที่ท่านแสดงอย่างคมคาย แต่สำหรับบางคนที่จิตใจไม่ยอมรับความจริง ก็ถือว่าเป็นกรรมของสัตว์ไป
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=18682
=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=
3. หลวงปู่แหวน สุจินโณ
กินเจ
ถึงกินเจตลอดชีวิต แต่ไม่ทำทาน ไม่รักษาศีล ไม่เจริญภาวนา ก็อย่าหวังรอดจากนรก หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่ เมตตากรุณาสั่งสอนไว้ว่า “การเจริญสติบำเพ็ญภาวนาเท่านั้นถึงจะบรรลุพระอรหันต์ได้ การตัดกิเลสตัณหาต้องใช้พระกรรมฐานเท่านั้น พระกรรมฐานมีให้เลือกตั้ง ๔๐ กอง
ในอดีตมีคนเคยมาชวนหลวงปู่ฉันเจ ฝ่ายหลวงปู่ท่านตอบว่า “ถ้ากินเจมันประเสริฐเป็นบุญใหญ่นัก วัว ควาย ก็คงเป็นพระอรหันต์หมดแล้ว คนเราจะกินอะไรไม่สำคัญ สำคัญที่ว่ากิเลสตัณหาตัดได้หรือเปล่า แล้วการกินเจก็ไม่ช่วยให้กิเลสตัณหาลดลง แต่ถ้าจะกินเพื่อสุขภาพละก็อนุโมทนา
แต่การกินเจไม่ช่วยให้พ้นนรกได้หรอก คนกินเจลงนรกก็เยอะแยะ เพราะกิเลสตัณหายังเต็มหัวมันอยู่” ท่านดูใจของท่านเองก็ได้นี่ ว่ามันประเสริฐตรงไหนหรือยัง ถ้ายังไม่ประเสริฐให้รีบแก้ ราคะ โทสะ โมหะ ที่เผาหัวอยู่นั่นล่ะ มันเป็นสิ่งที่ท่านต้องแก้เสียโดยเร็วพลัน ไม่ใช่วัน ๆ เที่ยวแต่ชวนหาคนมากินผัก
คนเรามันประเสริฐเลิศได้ด้วยความประพฤติ มิใช่เพราะการกิน ถึงกินเจตลอดชีวิต แต่ไม่ทำทาน ไม่รักษาศีล ไม่เจริญภาวนา ก็กินเจเสียเปล่า หาประโยชน์มิได้ แล้วยังไม่ช่วยให้ตัวเองพ้นจากขุมนรกในสมัยพุทธกาล
พระเทวทัตตั้งตัวเองเป็นศาสดาแล้วตั้งโกหัญญกรรม ๕ ประการคือ
๑. ให้อยู่ในเสนาสนะป่า ตลอดชีวิต ห้ามตั้งวัด ห้ามเข้าเมืองเลย
๒. ให้ถือบิณฑบาต ตลอดชีวิต อาหารที่มีคนมาถวายหลังบิณฑบาตให้ทิ้งให้หมด
๓. ให้ทรงผ้าบังสุกุล คือผ้าที่เขาทิ้งแล้วและผ้าเนื้อเลว ตลอดชีวิต ผ้าเนื้อดีเผาทิ้งให้หมด
๔. ให้อยู่โคนไม้ ห้ามนอน ตลอดชีวิต
๕. ให้งดฉันมังสาหาร คือห้ามกินเนื้อ ตลอดชีวิต
พระพุทธองค์บรมศาสดาไม่ทรงอนุญาต ตรัสว่า “ไม่ควร ควรให้ปฎิบัติได้ตามศรัทธา” ด้วยทรงเห็นว่า ยากแก่การปฎิบัติ เป็นการเกินพอดีไม่เป็นทางสายกลาง พระเทวทัตจึงโจทก์โทษพระบรมศาสดา ประกาศว่า คำสอนของตนประเสริฐกว่า คนที่มีปัญญาบารมีน้อยหลงเชื่อ ยอมทำตนเข้าเป็นสาวก ครั้นพระเทวทัตได้ภิกษุยอมเข้าเป็นบริษัทของตนแล้ว ก็พยายามทำสังฆเภท ตั้งตัวเป็นศาสดาเสียเอง แล้วท้ายที่สุด พระเทวทัตก็โดนธรณีสูบ ไหม้อยู่ที่อเวจีมหานรก
http://www.dhamma-raksa.com/กินเจ-หลวงปู่แหวน-สุจิน
=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=
4. หลวงพ่อชา สุภัทโท
กินเจ...กินเนื้อ - "กบ" กับ "คางคก"
วันหนึ่งมีคนมาถามหลวงพ่อชา เกี่ยวกับเรื่องการกินเจกับการกินอาหารเนื้ออาหารปลาต่างกันอย่างไร อย่างไหนถูก อย่างไหนผิดเพราะปัจจุบัน มีสำนักปฏิบัติที่ถือข้อวัตรปฏิบัติต่างกันมากมายหลายแห่ง บางแห่งถือว่าการกินเนื้อสัตว์เป็นบาปเป็นกรรมร่วม เพราะเท่ากับเป็นการยุให้เขาฆ่าสัคว์ที่นั้นจะต้องถือมังสวิรัติ เว้นการฉันเนื้อฉันปลาอย่างเด็ดขาด
บางแห่งว่าการกินเจเป็นข้อวัตรของเทวทัตที่เคร่งครัดเกินไป จนพระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาต เขาจึงสงสัยว่าอย่างไรจะถูกอย่างไรจะผิด ในระหว่างข้อวัตรปฏิบัติทั้งสองแบบนี้
ท่านตอบว่า
“เหมือนกบกับคางคกนั่นแหละ
โยมว่ากบกับคางคกอย่างไหนมันดีกว่ากัน
ความจริงแล้ว พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ฉันอะไร ไม่ได้เป็นอะไร ในจิตของท่านไม่มีอะไรเป็นอะไรอีกแล้ว การบริโภคอาหารเป็นสักแต่ว่า เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงร่างกายพอให้คงอยู่ได้ ท่านไม่ให้ติดในรสชาติของอาหาร ไม่ให้ติดอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง ให้รู้จักประมาณในการบริโภค ไม่ให้บริโภคด้วยตัณหา นี่เรียกว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ฉันอะไร ไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไรแล้ว
ถ้าคนกินเนื้อไปติดอยู่ในรสชาติของเนื้อ นั่นเป็นตัณหา
ถ้าคนไม่กินเนื้อ พอเห็นคนอื่นกินเนื้อ ก็รังเกียจและโกรธเขา ไปด่าว่านินทาเขา เอาความชั่วของเขาไปไว้ในใจตัวเอง นั่นก็เป็นคนโง่กว่าเขา ทำไปตามอำนาจของตัณหาเหมือนกัน
การที่เราไปโกรธเกลียดเขานั้น มันก็คือผีที่สิงอยูในใจเรา เขากินเนื้อเป็นบาปเราโกรธเขา เราก็เป็นผีเป็นบาปอีกเหมือนกัน มันยังเป็นสัตว์อยู่ทั้งสองฝ่าย ยังไม่เป็นธรรมะ อาตมาจึงว่าเหมือนกบกับคางคก”
“แต่ทางที่ถูกนั้น ใครจะกินอะไรก็กินไป แต่ให้มีธรรมะ
คนกินเนื้อ ก็อย่าเห็นแก่ปากปากท้อง
อย่าเห็นแก่ความเอร็ดอร่อยจนเกินไป อย่าถึงกับฆ่าเขากิน
ส่วนคนกินเจก็ให้เชื่อมั่นในข้อวัตรของตัวเอง เห็นคนอื่นกินเนื้อ
อย่าไปโกรธเขา รักษาตัวเราไว้ อย่าให้คิดอยูในการกระทำภายนอก
พระเณรในวัดนี้ของอาตมาก็เหมือนกัน องค์ไหนจะถือข้อวัตร ฉันเจก็ถือไป องค์ไหนจะฉันธรรมดาตามมีตามได้ก็ถือไป แต่อย่าทะเลาะกัน อย่ามองกันในเง่ร้าย อาตมาสอนอย่างนี้ ท่านก็อยู่ไปด้วยกันได้ ไม่เห็นมีอะไร
ให้เข้าใจว่า
ธรรมะที่แท้นั้น เราจะเข้าถึงได้ด้วยปัญญา ทางปฏิบัติที่ถูกก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเราสำรวมอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจไว้ดีแล้ว จิตก็จะสงบและปัญญาความรู้เท่าทันสภาพของสังขารทั้งหลาย ก็จะเกิดขึ้น จิตใจก็เบื่อหน่ายจากสิ่งที่น่ารักน่าใคร่ทั้งหลายวิมุตติก็เกิดขึ้นเท่านั้น”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=34808
=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=
เฟสบุ๊คของผมนะครับ
facebook.com/BossKubPom