คำถามง่ายๆเลยค่ะ เมื่อแฟนคุณไปบวช ไม่ว่าจะ 15 วัน 30 วัน 1 พรรษา หรือไม่มีกำหนดลาสิกขา..
คุณเลือกที่จะทำอะไร?
เราขอแชร์ประสบการณ์ให้ฟังละกันค่ะ ขอเริ่มจากเรื่องราวคู่ของเราก่อนว่าเป็นมายังไงเนอะ
เรากับแฟนคบกันมา 3 ปีกว่าค่ะ แฟนเราโตกว่าเรา 2 ปี เรารู้จักแฟนได้เพราะว่าเค้าเป็นพี่ชายของเพื่อนสนิทค่ะ
แฟนเรามีอาชีพเป็นนักออกแบบภายใน ส่วนเราทำงานโรงแรมค่ะ ต่างคนต่างบ้างานทั้งคู่ ทำงานเยอะแต่จะแบ่งเวลาเพื่อได้อยู่ด้วยกันอย่างสม่ำเสมอ
แฟนเราเป็นคนที่ติสท์มาก เคยเป็นคนที่ดื่มเหล้าเก่ง และสูบบุหรี่จัด เพราะอยู่ในสังคมที่ฉูดฉาดมาตั้งแต่สมัยเรียน
เราเป็นคนที่ไม่ดื่มเหล้า และไม่สูบบุหรี่ค่ะ ตอนคบกันใหม่ๆ ก็รู้ว่าเค้าทั้งดื่มทั้งสูบ
เราไม่ชอบค่ะ เค้าก็รู้ว่าเราไม่ชอบ... แต่เราไม่เคยจิกตี ไม่เคยห้ามอะไร แต่คอยเตือนบ้างเป็นระยะๆ
นอกจากเรื่องดื่มเหล้าสูบบุหรี่ แฟนเราเป็นคนที่น่ารักค่ะ ไม่ค่อยพูดหวาน แต่ปฏิบัติกับเราได้เสมอต้นเสมอปลาย คอยดูแล เป็นห่วง ให้กำลังใจและสนับสนุนในทุกๆเรื่องที่เราทำแล้วสบายใจ
เราไม่เคยทะเลาะกันเลย เรามีงอนบ้างเล็กน้อยตามประสาผู้หญิง แต่ไม่เคยมีปากเสียงกัน ไม่เคยด่าทอกัน
รวมๆแล้ว เรากับแฟนก็เป็นคู่ที่ปกติสุขคู่นึง จนกระทั่ง...
เราหนีเที่ยวค่ะ เราหนีไปอยู่อเมริกาเป็นเวลาเกือบปี
ด้วยความที่อยากผจญภัย ทำงานได้ซักพักก็เก็บเงินซื้อตั๋วเครื่องบิน ทำวีซ่า จัดแจงเองทุกอย่างคนเดียว (จริงๆเราก็ติสท์พอๆกันนั่นแหละ)
แฟนเราก็ให้ไปนะคะ แม้จะไม่รู้กำหนดกลับของเราด้วยซ้ำ ก็ยังให้ไป
นับตั้งแต่วันที่เราเดินทาง...เป็นวันที่จะพิสูจน์ทุกอย่าง
เวลาเกือบปีที่เราสองคนอยู่ห่างกัน มีเพียงแค่เทคโนโลยีที่เรียกว่า facetime เป็นเครื่องช่วยให้เราอยู่ใกล้กันได้มากที่สุด
ทุกอย่างมันเงียบมาก เวลาที่ไม่มีเค้าอยู่ใกล้ๆในโลกของความเป็นจริง เค้าก็เหงา....เราก็เหงา
แต่เราสองคนเชื่อใจกันและกัน และมั่นใจว่าทั้งสองคนไม่ได้มีคนอื่นเลย
เราคิดถึงเค้ามาก รู้สึกแย่ที่ต้องทิ้งให้เค้าอยู่คนเดียว ในขณะที่เรามาวิ่งตามความฝันอยู่แบบตัวคนเดียว
เหงาจนถึงขนาดเปิดเพจในเฟซบุ๊ค วาดรูประบายมันออกมาเป็นตัวการ์ตูน
เรายื่นขอวีซ่าทำงาน เสียเงินไปเป็นแสนแลกกับค่าทนาย และต้องทำงานแลกเงินมา
.....สุดท้ายวีซ่าก็ไม่ผ่านค่ะ
วันที่เราเดินทางกลับไทย เหมือนเสียงหัวใจมันดังชัดมาก อยากเจอหน้าเค้าให้เร็วที่สุด อยากให้เครื่องบินบินให้เร็วกว่านี้
เมื่อได้เจอกันแล้ว ชีวิตเราทั้งคู่ก็เปลี่ยนไปจากเดิม เรารักกันมากขึ้น เพราะว่าเราผ่านความสัมพันธ์ทางไกลมาได้ ที่น้อยคนที่จะรอด
เรากลับมาทำงานโรงแรมเหมือนเดิม ในขณะที่เค้าเองก็ทำงานออกแบบเหมือนเดิม เรากลับมาอยู่ข้างกันเหมือนเดิม แต่เข้าใจกันมากขึ้น และเห็นค่าของกันและกันมากขึ้น ในวันเกิดเค้าที่ผ่านมา เราทำสมุดภาพให้เค้า เป็นสมุดภาพที่เก็บเรื่องราวทุกอย่างตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน จนถึงวันนี้ เราถามเค้าว่า วันไหนที่พี่มีความสุขมากที่สุด? เค้าตอบว่า วันที่เรากลับมา คือวันที่เค้ามีความสุขที่สุด เพราะเค้าก็ได้พิสูจน์ว่าเค้าเองก็หนักแน่น มั่นคงและอดทนกับการรอคอย จนในที่สุดเราก็กลับมา
เราน้ำตาไหลไปพร้อมๆกับเค้า
เราสัญญาว่าจะไม่ไปไหนอีกแล้ว และจะอยู่กับเค้าให้นานที่สุด
..
ช่วงที่ห่างกัน การที่เราไม่เคยจิกตีเค้าเรื่องสูบบุหรี่กินเหล้า ทำให้ถึงจุดจุดนึง เค้าก็รู้สึกอิ่มกับมัน และลดละเลิกไปได้ด้วยตัวเอง บวกกับความเกรงใจและเคารพซึ่งกันและกันที่เรามีให้เค้ามาตลอด ซึ่งการลดละยาพิษในร่างกาย ทำให้เค้าสุขภาพดีขึ้นและหันมาใส่สุขภาพมากขึ้น เข้าฟิตเนสเป็นประจำ จากคนที่ร่างกายซูบผอมก็เริ่มมีกล้าม และดูดีขึ้นมาได้
ตอนทำงานโรงแรมก่อนที่จะไปอเมริกา เรามีความสุขกับการกินจนเราอ้วน อ้วนมากเป็นหมู เค้าไม่เคยห้ามเราเลยจนเราทนสภาพตัวเองไม่ได้ ไปอเมริกาเราเลยออกกำลังกายอย่างหนัก บังคับตัวเองให้มีวินัย เปิดคลิปในยูทูปออกกำลังกายตาม + ดูรูปตัวเองตอนผอมๆ จนในที่สุดก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมจนได้ และการที่เราอยากให้เค้าไม่ต้องอายคนอื่น ทำให้เรามีกำลังใจในการดูแลตัวเองจนในที่สุดก็สำเร็จ
หลังจากนั้นทุกอย่างก็ดำเนินเป็นไปได้ด้วยดี จนวันที่เค้าตัดสินใจที่จะบวชให้พ่อและแม่ และนั่นก็เป็นวันที่เราดีใจมากที่สุด
ถึงระยะเวลาจะไม่นานมาก 1 เดือนตามที่สามารถลางานได้ เค้าก็ตั้งใจเต็มที่เพื่อที่จะบวชแทนคุณพ่อแม่
ถึงตรงนี้คงได้เริ่มเข้าเรื่องซักที (เวิ่นมาเยอะใช่ไหมคะ) ว่าก่อนแฟนไปบวช....คุณทำอะไร?
สำหรับเรา... เราสนับสนุนเค้าตั้งแต่การช่วยท่องจำคำขานนาค
การท่องคำขานนาคไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะนอกจากจะเป็นภาษาบาลีแล้ว นาคยังต้องจำ step ในการลุก ยืน กราบ อีก
เราช่วยเค้าในการอ่านให้ฟัง กระตุ้นให้เค้ากระตือรือร้นที่จะท่อง "วันที่ท่องบทที่ 1 ได้รึยัง" "ไหนท่องให้ฟังหน่อย" "พรุ่งนี้จะสอบบทที่ 3 นะ"
จนในที่สุดวันบวช เค้าสามารถท่องได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่ผิดแม้แต่ step เดียว .... งานนี้เราได้ทั้งบุญได้ทั้งปลื้ม ในฐานะติวเตอร์
ในงานบวช เราพยายามช่วยทุกอย่างเท่าที่เราจะช่วยได้ ตั้งแต่จัดอาสนะในพิธี จนหยิบของนู่นนี่นั่นให้พ่อแม่นาค
บางครอบครัวอาจจะให้แฟนเป็นคนถือหมอนตอนเวียนประทักษิณรอบโบสถ์ แต่ด้วยครอบครัวเราง่ายๆ เลยไม่มีหมอน เราใส่ชุดขาวทั้งเสื้อและกระโปรง เรียบร้อยเพื่อให้เกียรติพระอุปัชฌาย์ ให้เกียรติสถานที่ ให้เกียรตินาค และครอบครัวของนาค ไม่ควรที่จะแต่งกายหวือหวา และแต่งหน้าแต่งผมเกินงาม
และมาถึงช่วงที่สำคัญที่สุด.... ในระหว่างที่พระบวช.. คุณทำอะไร?
1. อย่าโทรหาพระค่ะ ดีที่สุด ท่านบวชไม่นาน อย่าทำให้ใจท่านวอกแวก ถ้าไม่มีเรื่องอะไรที่คอขาดบาดตาย ก็อย่าไปกวนท่านดีกว่า ให้ท่านได้ปฏิบัติธรรม อยู่กับธรรมะให้เต็มที่ เราควรสื่อสารกับท่านให้พองาม เช่น กราบอนุโมทนาบุญกับท่านในทุกๆบุญที่ท่านได้ทำ แค่นี้ ไม่ควรมีเรื่องอื่นใด
ยิ่งถ้าเรื่องทางโลก เช่น เรื่องงานของท่าน เพื่อนๆของท่าน หรือเรื่องร้อนๆของทางโลก ไม่ต้องไปเล่า หรือพูดให้ท่านเสียสมาธิดีกว่าค่ะ
2. ใส่บาตร และถวายภัตตาหาร แต่พองาม บางคนกลัวพระหิวหรือไม่มีจะฉัน ก็ประโคมน้ำปานะชุดใหญ่ ท่านมาฝึกตัวค่ะ ไม่ได้มาอยู่ค่ายลูกเสือ ถ้าเป็นของใส่บาตรหรือจัดภัตตาหาร ควรจัดมาอย่างประณีต แต่ไม่ควรจัดเยอะจนเกินความจำเป็น และถ้าเป็นพวกสังฆทาน ก็ดูพวกสีให้เหมาะสมด้วยนะคะ ให้เป็นสีที่พระใช้ได้ และไม่ควรถวายของที่เป็นของมือสอง ควรจะเป็นของใหม่เท่านั้นค่ะ
3. อย่าพร่ำเพ้อพรรณนาใน social media ว่าคิดถึงแฟนค่ะ มันไม่งาม ไม่ใช่ท่านที่จะต้องสำรวมฝ่ายเดียว เราก็ต้องสำรวมด้วยทั้งกาย วาจา ใจ การที่เราไปบ่นพร่ำกับเพื่อนว่าคิดถึงแฟน ในขณะที่ท่านบวชอยู่ มันไม่ได้ดูดีค่ะ
4. หนักแน่นและอดทน การที่ท่านไปบวชไม่ได้แปลว่าเราโสดและจะกระดี๊กระด๊าทำตัวว่าง เล่นหูเล่นตากับคนอื่นได้ค่ะ
สำหรับเราเอง นอกเหนือจากทุกข้อที่กล่าวมาแล้ว อีกหนึ่งอย่างที่เราตั้งใจและปฏิญาณกับตัวเอง (และไปขอศีลกับพระท่านด้วย) คือการรักษาศีล 8 ค่ะ
เราปลื้มกับการที่ท่านอยู่ในเพศบรรพชิต และอยากมีส่วนในบุญกับท่านทุกๆบุญเท่าที่จะเป็นไปได้ เราจึงตัดสินใจรักษาศีลให้มากข้อที่สุดนั่นก็คือ ศีล 8
และสำหรับคนที่ไม่คุ้นกับศีล 8 มีดังนี้ค่ะ..
1.ปาณาติปาตา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ : เว้นจากการฆ่าสัตว์
2.อทินฺนา ทานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ : เว้นจากการลักสิ่งของที่ผู้อื่นมิได้ให้
3.อพฺรหฺมจริยา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ : เว้นจากการประพฤติผิดพรหมจรรย์ (ผู้ชายกับผู้หญิงอยู่ใกล้กันไม่ได้ แต่ศีล ๕ อยู่ใกล้กันได้)
4.มุสาวาทา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ : เว้นจากการพูดปด พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ
5.สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ : เว้นจากการดื่มสุราเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
6.วิกาลโภชนา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ : เว้นจากการบริโภคอาหารในยามวิกาล (หลังเที่ยงวันถึงรุ่งเช้าของวันใหม่)
7.นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนา มาลาคนฺธวิเลปนธารณมณฺฑนวิภูสนฏฺฐานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ : เว้นจากการฟ้อนรำขับร้อง ประโคมดนตรี และประดับร่างกายด้วยดอกไม้ของหอม เครื่องประดับ เครื่องทา เครื่องย้อม
8.อุจฺจาสยนมหาสยนา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ : เว้นจากการนั่งนอนเหนือเตียงตั่ง ที่เท้าสูงเกิน ภายในมีนุ่นหรือสำลี
เราอาราธนาถือศีล 8 ตลอดระยะเวลาที่ท่านบวชค่ะ นอกจากจะเพิ่มบุญให้กับตัวเราเองแล้วด้วย จะได้เครื่องการันตีด้วยกลายๆ ว่าเราจะไม่ไปกินข้าวเย็น ดูหนัง หรือแม้แต่ไปค้างคืนที่ไหนกับใคร
และการที่เราถือศีล 8 ประกอบกับปฏิบัติธรรมให้มากขึ้น ทำให้เรารู้สึกดีมาก ทำให้จิตใจสงบมากขึ้นด้วยค่ะ
แล้วคนอื่นละคะ? เมื่อแฟนไปบวช.... คุณทำอะไร/ หรือคุณจะทำอะไร? แชร์ให้ฟังบ้างนะคะ
เมื่อแฟนไปบวช..... คุณทำอะไร?
คุณเลือกที่จะทำอะไร?
เราขอแชร์ประสบการณ์ให้ฟังละกันค่ะ ขอเริ่มจากเรื่องราวคู่ของเราก่อนว่าเป็นมายังไงเนอะ
เรากับแฟนคบกันมา 3 ปีกว่าค่ะ แฟนเราโตกว่าเรา 2 ปี เรารู้จักแฟนได้เพราะว่าเค้าเป็นพี่ชายของเพื่อนสนิทค่ะ
แฟนเรามีอาชีพเป็นนักออกแบบภายใน ส่วนเราทำงานโรงแรมค่ะ ต่างคนต่างบ้างานทั้งคู่ ทำงานเยอะแต่จะแบ่งเวลาเพื่อได้อยู่ด้วยกันอย่างสม่ำเสมอ
แฟนเราเป็นคนที่ติสท์มาก เคยเป็นคนที่ดื่มเหล้าเก่ง และสูบบุหรี่จัด เพราะอยู่ในสังคมที่ฉูดฉาดมาตั้งแต่สมัยเรียน
เราเป็นคนที่ไม่ดื่มเหล้า และไม่สูบบุหรี่ค่ะ ตอนคบกันใหม่ๆ ก็รู้ว่าเค้าทั้งดื่มทั้งสูบ
เราไม่ชอบค่ะ เค้าก็รู้ว่าเราไม่ชอบ... แต่เราไม่เคยจิกตี ไม่เคยห้ามอะไร แต่คอยเตือนบ้างเป็นระยะๆ
นอกจากเรื่องดื่มเหล้าสูบบุหรี่ แฟนเราเป็นคนที่น่ารักค่ะ ไม่ค่อยพูดหวาน แต่ปฏิบัติกับเราได้เสมอต้นเสมอปลาย คอยดูแล เป็นห่วง ให้กำลังใจและสนับสนุนในทุกๆเรื่องที่เราทำแล้วสบายใจ
เราไม่เคยทะเลาะกันเลย เรามีงอนบ้างเล็กน้อยตามประสาผู้หญิง แต่ไม่เคยมีปากเสียงกัน ไม่เคยด่าทอกัน
รวมๆแล้ว เรากับแฟนก็เป็นคู่ที่ปกติสุขคู่นึง จนกระทั่ง...
เราหนีเที่ยวค่ะ เราหนีไปอยู่อเมริกาเป็นเวลาเกือบปี
ด้วยความที่อยากผจญภัย ทำงานได้ซักพักก็เก็บเงินซื้อตั๋วเครื่องบิน ทำวีซ่า จัดแจงเองทุกอย่างคนเดียว (จริงๆเราก็ติสท์พอๆกันนั่นแหละ)
แฟนเราก็ให้ไปนะคะ แม้จะไม่รู้กำหนดกลับของเราด้วยซ้ำ ก็ยังให้ไป
นับตั้งแต่วันที่เราเดินทาง...เป็นวันที่จะพิสูจน์ทุกอย่าง
เวลาเกือบปีที่เราสองคนอยู่ห่างกัน มีเพียงแค่เทคโนโลยีที่เรียกว่า facetime เป็นเครื่องช่วยให้เราอยู่ใกล้กันได้มากที่สุด
ทุกอย่างมันเงียบมาก เวลาที่ไม่มีเค้าอยู่ใกล้ๆในโลกของความเป็นจริง เค้าก็เหงา....เราก็เหงา
แต่เราสองคนเชื่อใจกันและกัน และมั่นใจว่าทั้งสองคนไม่ได้มีคนอื่นเลย
เราคิดถึงเค้ามาก รู้สึกแย่ที่ต้องทิ้งให้เค้าอยู่คนเดียว ในขณะที่เรามาวิ่งตามความฝันอยู่แบบตัวคนเดียว
เหงาจนถึงขนาดเปิดเพจในเฟซบุ๊ค วาดรูประบายมันออกมาเป็นตัวการ์ตูน
เรายื่นขอวีซ่าทำงาน เสียเงินไปเป็นแสนแลกกับค่าทนาย และต้องทำงานแลกเงินมา
.....สุดท้ายวีซ่าก็ไม่ผ่านค่ะ
วันที่เราเดินทางกลับไทย เหมือนเสียงหัวใจมันดังชัดมาก อยากเจอหน้าเค้าให้เร็วที่สุด อยากให้เครื่องบินบินให้เร็วกว่านี้
เมื่อได้เจอกันแล้ว ชีวิตเราทั้งคู่ก็เปลี่ยนไปจากเดิม เรารักกันมากขึ้น เพราะว่าเราผ่านความสัมพันธ์ทางไกลมาได้ ที่น้อยคนที่จะรอด
เรากลับมาทำงานโรงแรมเหมือนเดิม ในขณะที่เค้าเองก็ทำงานออกแบบเหมือนเดิม เรากลับมาอยู่ข้างกันเหมือนเดิม แต่เข้าใจกันมากขึ้น และเห็นค่าของกันและกันมากขึ้น ในวันเกิดเค้าที่ผ่านมา เราทำสมุดภาพให้เค้า เป็นสมุดภาพที่เก็บเรื่องราวทุกอย่างตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน จนถึงวันนี้ เราถามเค้าว่า วันไหนที่พี่มีความสุขมากที่สุด? เค้าตอบว่า วันที่เรากลับมา คือวันที่เค้ามีความสุขที่สุด เพราะเค้าก็ได้พิสูจน์ว่าเค้าเองก็หนักแน่น มั่นคงและอดทนกับการรอคอย จนในที่สุดเราก็กลับมา
เราน้ำตาไหลไปพร้อมๆกับเค้า
เราสัญญาว่าจะไม่ไปไหนอีกแล้ว และจะอยู่กับเค้าให้นานที่สุด
..
ช่วงที่ห่างกัน การที่เราไม่เคยจิกตีเค้าเรื่องสูบบุหรี่กินเหล้า ทำให้ถึงจุดจุดนึง เค้าก็รู้สึกอิ่มกับมัน และลดละเลิกไปได้ด้วยตัวเอง บวกกับความเกรงใจและเคารพซึ่งกันและกันที่เรามีให้เค้ามาตลอด ซึ่งการลดละยาพิษในร่างกาย ทำให้เค้าสุขภาพดีขึ้นและหันมาใส่สุขภาพมากขึ้น เข้าฟิตเนสเป็นประจำ จากคนที่ร่างกายซูบผอมก็เริ่มมีกล้าม และดูดีขึ้นมาได้
ตอนทำงานโรงแรมก่อนที่จะไปอเมริกา เรามีความสุขกับการกินจนเราอ้วน อ้วนมากเป็นหมู เค้าไม่เคยห้ามเราเลยจนเราทนสภาพตัวเองไม่ได้ ไปอเมริกาเราเลยออกกำลังกายอย่างหนัก บังคับตัวเองให้มีวินัย เปิดคลิปในยูทูปออกกำลังกายตาม + ดูรูปตัวเองตอนผอมๆ จนในที่สุดก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมจนได้ และการที่เราอยากให้เค้าไม่ต้องอายคนอื่น ทำให้เรามีกำลังใจในการดูแลตัวเองจนในที่สุดก็สำเร็จ
หลังจากนั้นทุกอย่างก็ดำเนินเป็นไปได้ด้วยดี จนวันที่เค้าตัดสินใจที่จะบวชให้พ่อและแม่ และนั่นก็เป็นวันที่เราดีใจมากที่สุด
ถึงระยะเวลาจะไม่นานมาก 1 เดือนตามที่สามารถลางานได้ เค้าก็ตั้งใจเต็มที่เพื่อที่จะบวชแทนคุณพ่อแม่
ถึงตรงนี้คงได้เริ่มเข้าเรื่องซักที (เวิ่นมาเยอะใช่ไหมคะ) ว่าก่อนแฟนไปบวช....คุณทำอะไร?
สำหรับเรา... เราสนับสนุนเค้าตั้งแต่การช่วยท่องจำคำขานนาค
การท่องคำขานนาคไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะนอกจากจะเป็นภาษาบาลีแล้ว นาคยังต้องจำ step ในการลุก ยืน กราบ อีก
เราช่วยเค้าในการอ่านให้ฟัง กระตุ้นให้เค้ากระตือรือร้นที่จะท่อง "วันที่ท่องบทที่ 1 ได้รึยัง" "ไหนท่องให้ฟังหน่อย" "พรุ่งนี้จะสอบบทที่ 3 นะ"
จนในที่สุดวันบวช เค้าสามารถท่องได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่ผิดแม้แต่ step เดียว .... งานนี้เราได้ทั้งบุญได้ทั้งปลื้ม ในฐานะติวเตอร์
ในงานบวช เราพยายามช่วยทุกอย่างเท่าที่เราจะช่วยได้ ตั้งแต่จัดอาสนะในพิธี จนหยิบของนู่นนี่นั่นให้พ่อแม่นาค
บางครอบครัวอาจจะให้แฟนเป็นคนถือหมอนตอนเวียนประทักษิณรอบโบสถ์ แต่ด้วยครอบครัวเราง่ายๆ เลยไม่มีหมอน เราใส่ชุดขาวทั้งเสื้อและกระโปรง เรียบร้อยเพื่อให้เกียรติพระอุปัชฌาย์ ให้เกียรติสถานที่ ให้เกียรตินาค และครอบครัวของนาค ไม่ควรที่จะแต่งกายหวือหวา และแต่งหน้าแต่งผมเกินงาม
และมาถึงช่วงที่สำคัญที่สุด.... ในระหว่างที่พระบวช.. คุณทำอะไร?
1. อย่าโทรหาพระค่ะ ดีที่สุด ท่านบวชไม่นาน อย่าทำให้ใจท่านวอกแวก ถ้าไม่มีเรื่องอะไรที่คอขาดบาดตาย ก็อย่าไปกวนท่านดีกว่า ให้ท่านได้ปฏิบัติธรรม อยู่กับธรรมะให้เต็มที่ เราควรสื่อสารกับท่านให้พองาม เช่น กราบอนุโมทนาบุญกับท่านในทุกๆบุญที่ท่านได้ทำ แค่นี้ ไม่ควรมีเรื่องอื่นใด
ยิ่งถ้าเรื่องทางโลก เช่น เรื่องงานของท่าน เพื่อนๆของท่าน หรือเรื่องร้อนๆของทางโลก ไม่ต้องไปเล่า หรือพูดให้ท่านเสียสมาธิดีกว่าค่ะ
2. ใส่บาตร และถวายภัตตาหาร แต่พองาม บางคนกลัวพระหิวหรือไม่มีจะฉัน ก็ประโคมน้ำปานะชุดใหญ่ ท่านมาฝึกตัวค่ะ ไม่ได้มาอยู่ค่ายลูกเสือ ถ้าเป็นของใส่บาตรหรือจัดภัตตาหาร ควรจัดมาอย่างประณีต แต่ไม่ควรจัดเยอะจนเกินความจำเป็น และถ้าเป็นพวกสังฆทาน ก็ดูพวกสีให้เหมาะสมด้วยนะคะ ให้เป็นสีที่พระใช้ได้ และไม่ควรถวายของที่เป็นของมือสอง ควรจะเป็นของใหม่เท่านั้นค่ะ
3. อย่าพร่ำเพ้อพรรณนาใน social media ว่าคิดถึงแฟนค่ะ มันไม่งาม ไม่ใช่ท่านที่จะต้องสำรวมฝ่ายเดียว เราก็ต้องสำรวมด้วยทั้งกาย วาจา ใจ การที่เราไปบ่นพร่ำกับเพื่อนว่าคิดถึงแฟน ในขณะที่ท่านบวชอยู่ มันไม่ได้ดูดีค่ะ
4. หนักแน่นและอดทน การที่ท่านไปบวชไม่ได้แปลว่าเราโสดและจะกระดี๊กระด๊าทำตัวว่าง เล่นหูเล่นตากับคนอื่นได้ค่ะ
สำหรับเราเอง นอกเหนือจากทุกข้อที่กล่าวมาแล้ว อีกหนึ่งอย่างที่เราตั้งใจและปฏิญาณกับตัวเอง (และไปขอศีลกับพระท่านด้วย) คือการรักษาศีล 8 ค่ะ
เราปลื้มกับการที่ท่านอยู่ในเพศบรรพชิต และอยากมีส่วนในบุญกับท่านทุกๆบุญเท่าที่จะเป็นไปได้ เราจึงตัดสินใจรักษาศีลให้มากข้อที่สุดนั่นก็คือ ศีล 8
และสำหรับคนที่ไม่คุ้นกับศีล 8 มีดังนี้ค่ะ..
1.ปาณาติปาตา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ : เว้นจากการฆ่าสัตว์
2.อทินฺนา ทานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ : เว้นจากการลักสิ่งของที่ผู้อื่นมิได้ให้
3.อพฺรหฺมจริยา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ : เว้นจากการประพฤติผิดพรหมจรรย์ (ผู้ชายกับผู้หญิงอยู่ใกล้กันไม่ได้ แต่ศีล ๕ อยู่ใกล้กันได้)
4.มุสาวาทา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ : เว้นจากการพูดปด พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ
5.สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ : เว้นจากการดื่มสุราเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
6.วิกาลโภชนา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ : เว้นจากการบริโภคอาหารในยามวิกาล (หลังเที่ยงวันถึงรุ่งเช้าของวันใหม่)
7.นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนา มาลาคนฺธวิเลปนธารณมณฺฑนวิภูสนฏฺฐานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ : เว้นจากการฟ้อนรำขับร้อง ประโคมดนตรี และประดับร่างกายด้วยดอกไม้ของหอม เครื่องประดับ เครื่องทา เครื่องย้อม
8.อุจฺจาสยนมหาสยนา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ : เว้นจากการนั่งนอนเหนือเตียงตั่ง ที่เท้าสูงเกิน ภายในมีนุ่นหรือสำลี
เราอาราธนาถือศีล 8 ตลอดระยะเวลาที่ท่านบวชค่ะ นอกจากจะเพิ่มบุญให้กับตัวเราเองแล้วด้วย จะได้เครื่องการันตีด้วยกลายๆ ว่าเราจะไม่ไปกินข้าวเย็น ดูหนัง หรือแม้แต่ไปค้างคืนที่ไหนกับใคร
และการที่เราถือศีล 8 ประกอบกับปฏิบัติธรรมให้มากขึ้น ทำให้เรารู้สึกดีมาก ทำให้จิตใจสงบมากขึ้นด้วยค่ะ
แล้วคนอื่นละคะ? เมื่อแฟนไปบวช.... คุณทำอะไร/ หรือคุณจะทำอะไร? แชร์ให้ฟังบ้างนะคะ