ผมบวชพระตอนปี ๑ ตอนนั้นสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้จึงรู้สึกว่าเราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นโตขึ้น และที่บ้านก็ปลูกฝังกันว่าการบวชเรียนเป็นการเปลี่ยนผ่านจากเด็กสู่ผู้ใหญ่ โดยเฉพาะความคิดที่ว่า "บวชก่อนเบียด" เพราะสังคมแถวบ้านจะเชื่อว่าผู้ชายที่บวชตอนที่ยังไม่มีเมียพ่อแม่จะได้บุญมากเนื่องจากเมียจะมาแย่งบุญ อีกอย่างก็คือผมคิดว่ารีบบวชให้มันจบๆไปเพราะตอนนี้ว่าง นานไปผมอาจหาเวลาบวชอยาก
ผมบวชพระช่วงก่อนสงกรานต์ซึ่งเป็นช่วงปิดเทอมใหญ่ของมหาวิทยาลัยที่วัดจึงมีงานบังสกุลทุกวัน ผมรับนิมนต์เลี้ยงเพลบ้านนั้นบ้านนี้ ช่วงสงกรานต์ญาติโยมทำบุญเยอะมาก จำได้ว่าหลังสงกรานต์พระได้เงินทำบุญกันรูปละเกือบหมื่น
การบวชในช่วงนั้นก็เลยไม่ได้ทำวัตรเย็นทำวัตรเช้าเลย สวดมนต์ก็เฉพาะที่ต้องใช้สวดต่อหน้าชาวบ้าน อิติปิโส พาพุง ให้พร บังสกุล แค่นั้น บวชสวดมนต์อื่นก็สวดไม่ได้เพราะคิดว่าบวชแค่เดือนเดียวเดี๋ยวก็สึก
หลังจากสงกรานต์ที่วัดก็เตรียมจัดงานประจำปี ดังนั้นที่วัดจึงยุ่งกันมากในการจัดงานมหรสพต่างๆทั้งสามวันสามคืน และสิ่งที่ผมละอายใจที่สุดในช่วงที่มีงานคือ เมื่อเวลามีดนตรีมหรสพพระก็จะดูไม่ได้ก็ต้องอยู่แต่กุฎี เสียงดนตรีก็ดังผมก็นอนไม่หลับ ในคืนหนึ่งนั้นเองมีนักร้องค่ายอาร์สยามมาจอดรถที่ใต้กุฎีผม สิ่งที่ผมทำคือการแอบดูนักร้องผ่านฝาผนังไม้ ความคิดผมผมก็รู้ว่าผิดไม่สมควรแต่ใจก็อยากดู และก็คิดว่าความผิดเล็กๆน้อยๆไม่เป็นไรหรอก นอกจากนี้หลังจากสึกจากพระผมเอาเงินที่ชาวบ้านมาทำบุญกลับไปด้วยไม่ได้ถวายวัด เพราะตอนนั้นก็คิดว่าวัดก็มีเงินเยอะอยู่แล้ว พระแต่ละรูปก็มีเงินกันไม่น้อย ถ้าผมเอาเงินกลับบ้านไปทำบุญหรือไม่ก็ทำประโยชน์อยางอื่นจะได้ประโยชน์กว่า หรือถ้าจะเอาไปใช้ส่วนตัวก็ไม่ผิดมั้งพระทั่วไปก็ทำกันแบบนี้
แต่คุณรู้ไหมทุกวันนี้ความรู้สึกผิดใน ๒ เรื่องนี้ยังติดตัวมาตลอด เงินที่ได้มาผมก็ทยอยเอาไปทำบุญ แต่การแอบดูนักร้องผมก็ยังรู้สึกผิดไม่หาย
ทั้งหมดนี้ที่เล่ามาเชื่อมโยงกับหนังเรื่องอาบัติ ผมอ่านเรื่องย่อสั้นๆว่า พระที่เป็นตัวเอกมาบวชโดยไม่เต็มใจ ดังนั้นเมื่อบวชก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นพระ และที่วัดก็มีเรื่องราวที่พระทำอาบัติร้ายแรง
ผมว่าเนื้อหาของหนังเรื่องนี้มันสะท้อนสังคมสงฆ์บ้านเรา และหนังเรื่องนี้มันน่าจะเป็นกระแสในการแก้ไขวัฒนธรรมการบวชพระทั้งความคิดความเชื่อและการปฏิบัติกันในสังคมไทย
หยุดได้หรือยังกับการบวชเพื่อพ่อแม่ แก้บน หาเงิน ไม่ต้องลำบาก การบวชเพราะยึดมั่นถือมั่นในชื่อเสียงเปรียญธรรมชั้นยศเงินทอง หยุดได้หรือยังกับการเอาพิธีกรรมทางสังคมมากมายที่เกินความจำเป็นมาวุ่นวายกับพระ หยุดได้หรือยังที่มาใช้วัดใช้พระเป็นเครื่องมืองานเงินทองหากินหากำไร และขอได้มั้ย ขอให้วัดเป็นพื้นที่ของความสงบ การปล่อยวางละวาง เรียบง่ายร่มเย็น พักกายพักใจตั้งสติ ขอให้การบวชเพื่อการบวชเพื่อหาปัญญา ความจริง และความสงบ
ผมอยากให้หนังเรื่องนี้ปลุกกระแสให้วัดให้พระกับเป็นวัดเป็นพระจริงๆ เรียบง่ายไม่ปรุงแต่ง ไม่มีเงินทอง และกิจนิมนต์มากมาย ให้วัดเป็นพื้นที่สงบ เรียนรู้ความจริง แสวงหาปัญญา และปล่อยวาง ถ้าหนังเรื่องนี้ทำได้ผมก็อยากดู ถ้าไม่ได้ผมก็เสียใจเท่านั้น
ฉายเถอะอยากดู
อยากให้ฉายหนังอาบัติจากคนที่เคยทำอาบัติ
ผมบวชพระช่วงก่อนสงกรานต์ซึ่งเป็นช่วงปิดเทอมใหญ่ของมหาวิทยาลัยที่วัดจึงมีงานบังสกุลทุกวัน ผมรับนิมนต์เลี้ยงเพลบ้านนั้นบ้านนี้ ช่วงสงกรานต์ญาติโยมทำบุญเยอะมาก จำได้ว่าหลังสงกรานต์พระได้เงินทำบุญกันรูปละเกือบหมื่น
การบวชในช่วงนั้นก็เลยไม่ได้ทำวัตรเย็นทำวัตรเช้าเลย สวดมนต์ก็เฉพาะที่ต้องใช้สวดต่อหน้าชาวบ้าน อิติปิโส พาพุง ให้พร บังสกุล แค่นั้น บวชสวดมนต์อื่นก็สวดไม่ได้เพราะคิดว่าบวชแค่เดือนเดียวเดี๋ยวก็สึก
หลังจากสงกรานต์ที่วัดก็เตรียมจัดงานประจำปี ดังนั้นที่วัดจึงยุ่งกันมากในการจัดงานมหรสพต่างๆทั้งสามวันสามคืน และสิ่งที่ผมละอายใจที่สุดในช่วงที่มีงานคือ เมื่อเวลามีดนตรีมหรสพพระก็จะดูไม่ได้ก็ต้องอยู่แต่กุฎี เสียงดนตรีก็ดังผมก็นอนไม่หลับ ในคืนหนึ่งนั้นเองมีนักร้องค่ายอาร์สยามมาจอดรถที่ใต้กุฎีผม สิ่งที่ผมทำคือการแอบดูนักร้องผ่านฝาผนังไม้ ความคิดผมผมก็รู้ว่าผิดไม่สมควรแต่ใจก็อยากดู และก็คิดว่าความผิดเล็กๆน้อยๆไม่เป็นไรหรอก นอกจากนี้หลังจากสึกจากพระผมเอาเงินที่ชาวบ้านมาทำบุญกลับไปด้วยไม่ได้ถวายวัด เพราะตอนนั้นก็คิดว่าวัดก็มีเงินเยอะอยู่แล้ว พระแต่ละรูปก็มีเงินกันไม่น้อย ถ้าผมเอาเงินกลับบ้านไปทำบุญหรือไม่ก็ทำประโยชน์อยางอื่นจะได้ประโยชน์กว่า หรือถ้าจะเอาไปใช้ส่วนตัวก็ไม่ผิดมั้งพระทั่วไปก็ทำกันแบบนี้
แต่คุณรู้ไหมทุกวันนี้ความรู้สึกผิดใน ๒ เรื่องนี้ยังติดตัวมาตลอด เงินที่ได้มาผมก็ทยอยเอาไปทำบุญ แต่การแอบดูนักร้องผมก็ยังรู้สึกผิดไม่หาย
ทั้งหมดนี้ที่เล่ามาเชื่อมโยงกับหนังเรื่องอาบัติ ผมอ่านเรื่องย่อสั้นๆว่า พระที่เป็นตัวเอกมาบวชโดยไม่เต็มใจ ดังนั้นเมื่อบวชก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นพระ และที่วัดก็มีเรื่องราวที่พระทำอาบัติร้ายแรง
ผมว่าเนื้อหาของหนังเรื่องนี้มันสะท้อนสังคมสงฆ์บ้านเรา และหนังเรื่องนี้มันน่าจะเป็นกระแสในการแก้ไขวัฒนธรรมการบวชพระทั้งความคิดความเชื่อและการปฏิบัติกันในสังคมไทย
หยุดได้หรือยังกับการบวชเพื่อพ่อแม่ แก้บน หาเงิน ไม่ต้องลำบาก การบวชเพราะยึดมั่นถือมั่นในชื่อเสียงเปรียญธรรมชั้นยศเงินทอง หยุดได้หรือยังกับการเอาพิธีกรรมทางสังคมมากมายที่เกินความจำเป็นมาวุ่นวายกับพระ หยุดได้หรือยังที่มาใช้วัดใช้พระเป็นเครื่องมืองานเงินทองหากินหากำไร และขอได้มั้ย ขอให้วัดเป็นพื้นที่ของความสงบ การปล่อยวางละวาง เรียบง่ายร่มเย็น พักกายพักใจตั้งสติ ขอให้การบวชเพื่อการบวชเพื่อหาปัญญา ความจริง และความสงบ
ผมอยากให้หนังเรื่องนี้ปลุกกระแสให้วัดให้พระกับเป็นวัดเป็นพระจริงๆ เรียบง่ายไม่ปรุงแต่ง ไม่มีเงินทอง และกิจนิมนต์มากมาย ให้วัดเป็นพื้นที่สงบ เรียนรู้ความจริง แสวงหาปัญญา และปล่อยวาง ถ้าหนังเรื่องนี้ทำได้ผมก็อยากดู ถ้าไม่ได้ผมก็เสียใจเท่านั้น
ฉายเถอะอยากดู