ลมหนาวเพิ่งเริ่มพัดสอบมาจากทางทิศตะวันออกได้เพียงสองวัน แม่ดีใจจะได้ใส่เสื้อหนาวตัวอุ่นเสียที แม้จะเก่าเก็บมาแล้วถึงแปดเดือน วันนี้แดดเพิ่งโชนแสงแข่งกับก้อนเมฆเงียบทะมึนที่เหลี่ยมเขาออกมาได้ แสงของมันแม้จะยังไม่แรงนัก แต่แม่กลับรู้สึกว่าแดดเช้านี้คงพอจะไล่ไรฝุ่นที่มองไม่เห็นซึ่งกำลังเกาะกินเส้นไยเสื้อหนาวสีตุ่นของแม่ได้บ้าง พลางลำเลียงผ้าห่มผืนสีชาออกมาพาดบนราวไม้ไผ่ ขันติ์คุกเข่า คางเกยทับอยู่บนหลังมือที่กุมซ้อนกับรองไม่ให้ความหยาบหนาและเส้นเสี้ยนจากขอบวงกบที่ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จึงจะมีบานหน้าต่างมาติดตั้งเสียที สายตาทอดหุ่ยไปยังผู้หญิงวัยเลยกลางคนข้างนอก เสียงไม้ตีไปบนผืนผ้าที่ขึงเรียงกันบนราวดังอยู่ ปุบ ปับ ๆ
“อ้าว แล้วไม่ไปเรียนเหรอวันนี้” เธอหันหน้ามายังคนที่คางยังเกยคากับขอบหน้าต่างอยู่อย่างเงียบงัน ลมหนาวกระโชกแรงข้ามมาทางหน้าต่างกระดาษเอสี่สีขาวกลุ่มหนึ่งถูกกระชากจนหลุดออกมาจากแรงทับของเครื่องคิดเลขและปากกาน้ำเงินไม่มีปลอก เสียงกระดาษหวีดร้องอย่างตกใจที่ถูกพัดพาไปอย่างไร้ทิศทางออกไปนอกบ้าน เขายังคงนิ่งงัน ผู้หญิงคนเดิมตกใจยกไม้หวังจะช่วยคัดค้านไม่ให้ลมหอบกระดาษสีขาวออกไปไกล ลมยังคงบ้านบิ่นหมุนกระดาษสามสี่แผ่นไปจนไกลสุดเอื้อม
“ช่างมันเถอะแม่” เขายื่นมือข้างไปหน้า ลมหนาวสายเดิมพลิ้วไล่ไปตามนิ้วมือ เขากางมือเพื่อรับแรงลม “ถ้าพวกเขาอยากจะให้มันเสร็จ เขาคงจริงใจมากกว่านี้” เขาชาที่แขน พลางมองไปที่กรอบวงกบเปลือยเปล่า
“มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เด็กๆอย่างเราทำตามหน้าที่ของเราก็พอแล้ว” เธอเดินเข้ามาเก็บแผ่นกระดาษที่กระจายอยู่บนพื้นขึ้นมาวางบนเสื่อกก กระเป๋าสะพายสีดำถูกนำมาทับกระดาษเพื่อต้านแรงลมที่ยังกรรโชกมาเป็นระลอก
“...นี่อะไร ยังจะมาย้ายพวกเรากลับไปที่นั่นอีก พวกผมเลือกแล้วนะแม่ว่าพวกผมอยากเรียนที่นี่ และอีกปีเดียว เราก็จะจบออกมาทำงานเลี้ยงแม่เลี้ยงน้องได้แล้ว ชีวิตของนักศึกษาที่นี่มันมีค่าต่างกับนักศึกษาที่ม.ใหญ่ตรงไหน” ขอบไม้คมถูกกดด้วยแรงจากคาง รอยคมกดทับเป็นรอบยาวตามท้องแขน เขาถอนตัวมานอนบนเสื่อ หนุนมือทั้งสองข้าง ตาเขาหลับเสียงหายใจแข่งกับแรงลมข้างนอกที่ตีหลังคาสังกะสีอยู่โครมคราม
“แม่กับน้องอยู่กันได้ ขันติ์ไปเรียนให้จบ พวกเรารอได้” เสียงเท้าที่คุ้นหูมาหยุดอยู่ข้างๆตัวเขา จังหวะเนื้อผ้าถูกวางลงบนเสื่ออย่างเบามือ แม่ค่อยๆคลี่ผ้าออกจากพับ กลิ่นสาบโชยเข้าจมูก เขายังหลับตานอนตะแคง ห่อตัว และหนุนแขนที่งอเข้ามารองน้ำหนักข้างหู จังหวะงอเข่าเครื่องคิดเลขที่ปรากฏตัวเลขจำนวนหนึ่งดังคลิกเลือนไปจากหน้าจอ
“ผมจะไม่ไปเรียนที่นั่น ที่นี่คือมหาวิทยาลัยของผม ของพวกเราทุกคน เสาโฉนดรอบมหาวิทยาลัยบนภูนั้นพวกผมช่วยกันขุดและวางมันมากับมือ เหงื่อที่แบกเสาหมุดของพวกเราก็เค็มไม่น้อยกว่าเหงื่อจากน้ำมือของพวกเขา ผมมั่นใจ” แผ่นวัตถุสีขาวยังปลิวว่อนหลอกหลอนอย่างเดียวบนท้องฟ้าไกลลิบ ลมหนาวต้นฤดูพัดลู่กับผืนผ้าที่ขึงให้ร่วงกราวลงกับพื้น กิ่งมะยมข้างบ้านยังครูดสังกะสีดังครูดคราด เขายังหลับตา ภาวนาให้หนาวครั้งนี้เป็นเพียงแค่ความฝัน แดดข้างนอกเริ่มส่องแสงจ้า เมฆทะมึนครึ้มที่เพิ่งมาอยากขยายตัวตามบังแสง แต่เมฆคงลืมไปว่ามันเป็นเพียงหมอกควันที่มีโอกาสอยู่บนที่สูง!
“มหาวิทยาลัย” ในจินตนาการ
ลมหนาวเพิ่งเริ่มพัดสอบมาจากทางทิศตะวันออกได้เพียงสองวัน แม่ดีใจจะได้ใส่เสื้อหนาวตัวอุ่นเสียที แม้จะเก่าเก็บมาแล้วถึงแปดเดือน วันนี้แดดเพิ่งโชนแสงแข่งกับก้อนเมฆเงียบทะมึนที่เหลี่ยมเขาออกมาได้ แสงของมันแม้จะยังไม่แรงนัก แต่แม่กลับรู้สึกว่าแดดเช้านี้คงพอจะไล่ไรฝุ่นที่มองไม่เห็นซึ่งกำลังเกาะกินเส้นไยเสื้อหนาวสีตุ่นของแม่ได้บ้าง พลางลำเลียงผ้าห่มผืนสีชาออกมาพาดบนราวไม้ไผ่ ขันติ์คุกเข่า คางเกยทับอยู่บนหลังมือที่กุมซ้อนกับรองไม่ให้ความหยาบหนาและเส้นเสี้ยนจากขอบวงกบที่ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จึงจะมีบานหน้าต่างมาติดตั้งเสียที สายตาทอดหุ่ยไปยังผู้หญิงวัยเลยกลางคนข้างนอก เสียงไม้ตีไปบนผืนผ้าที่ขึงเรียงกันบนราวดังอยู่ ปุบ ปับ ๆ
“อ้าว แล้วไม่ไปเรียนเหรอวันนี้” เธอหันหน้ามายังคนที่คางยังเกยคากับขอบหน้าต่างอยู่อย่างเงียบงัน ลมหนาวกระโชกแรงข้ามมาทางหน้าต่างกระดาษเอสี่สีขาวกลุ่มหนึ่งถูกกระชากจนหลุดออกมาจากแรงทับของเครื่องคิดเลขและปากกาน้ำเงินไม่มีปลอก เสียงกระดาษหวีดร้องอย่างตกใจที่ถูกพัดพาไปอย่างไร้ทิศทางออกไปนอกบ้าน เขายังคงนิ่งงัน ผู้หญิงคนเดิมตกใจยกไม้หวังจะช่วยคัดค้านไม่ให้ลมหอบกระดาษสีขาวออกไปไกล ลมยังคงบ้านบิ่นหมุนกระดาษสามสี่แผ่นไปจนไกลสุดเอื้อม
“ช่างมันเถอะแม่” เขายื่นมือข้างไปหน้า ลมหนาวสายเดิมพลิ้วไล่ไปตามนิ้วมือ เขากางมือเพื่อรับแรงลม “ถ้าพวกเขาอยากจะให้มันเสร็จ เขาคงจริงใจมากกว่านี้” เขาชาที่แขน พลางมองไปที่กรอบวงกบเปลือยเปล่า
“มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เด็กๆอย่างเราทำตามหน้าที่ของเราก็พอแล้ว” เธอเดินเข้ามาเก็บแผ่นกระดาษที่กระจายอยู่บนพื้นขึ้นมาวางบนเสื่อกก กระเป๋าสะพายสีดำถูกนำมาทับกระดาษเพื่อต้านแรงลมที่ยังกรรโชกมาเป็นระลอก
“...นี่อะไร ยังจะมาย้ายพวกเรากลับไปที่นั่นอีก พวกผมเลือกแล้วนะแม่ว่าพวกผมอยากเรียนที่นี่ และอีกปีเดียว เราก็จะจบออกมาทำงานเลี้ยงแม่เลี้ยงน้องได้แล้ว ชีวิตของนักศึกษาที่นี่มันมีค่าต่างกับนักศึกษาที่ม.ใหญ่ตรงไหน” ขอบไม้คมถูกกดด้วยแรงจากคาง รอยคมกดทับเป็นรอบยาวตามท้องแขน เขาถอนตัวมานอนบนเสื่อ หนุนมือทั้งสองข้าง ตาเขาหลับเสียงหายใจแข่งกับแรงลมข้างนอกที่ตีหลังคาสังกะสีอยู่โครมคราม
“แม่กับน้องอยู่กันได้ ขันติ์ไปเรียนให้จบ พวกเรารอได้” เสียงเท้าที่คุ้นหูมาหยุดอยู่ข้างๆตัวเขา จังหวะเนื้อผ้าถูกวางลงบนเสื่ออย่างเบามือ แม่ค่อยๆคลี่ผ้าออกจากพับ กลิ่นสาบโชยเข้าจมูก เขายังหลับตานอนตะแคง ห่อตัว และหนุนแขนที่งอเข้ามารองน้ำหนักข้างหู จังหวะงอเข่าเครื่องคิดเลขที่ปรากฏตัวเลขจำนวนหนึ่งดังคลิกเลือนไปจากหน้าจอ
“ผมจะไม่ไปเรียนที่นั่น ที่นี่คือมหาวิทยาลัยของผม ของพวกเราทุกคน เสาโฉนดรอบมหาวิทยาลัยบนภูนั้นพวกผมช่วยกันขุดและวางมันมากับมือ เหงื่อที่แบกเสาหมุดของพวกเราก็เค็มไม่น้อยกว่าเหงื่อจากน้ำมือของพวกเขา ผมมั่นใจ” แผ่นวัตถุสีขาวยังปลิวว่อนหลอกหลอนอย่างเดียวบนท้องฟ้าไกลลิบ ลมหนาวต้นฤดูพัดลู่กับผืนผ้าที่ขึงให้ร่วงกราวลงกับพื้น กิ่งมะยมข้างบ้านยังครูดสังกะสีดังครูดคราด เขายังหลับตา ภาวนาให้หนาวครั้งนี้เป็นเพียงแค่ความฝัน แดดข้างนอกเริ่มส่องแสงจ้า เมฆทะมึนครึ้มที่เพิ่งมาอยากขยายตัวตามบังแสง แต่เมฆคงลืมไปว่ามันเป็นเพียงหมอกควันที่มีโอกาสอยู่บนที่สูง!