อยากบ่น หลายเรื่อง แต่ไม่รู้ถ้าบ่นเยอะ กระทู้จะปลิวหรือไม่ งั้นผมขอบ่น เพื่อระบายสิ่งที่อยู่ในใจมานานละกัน
สิ่งที่จะบ่นต่อไปนี้ เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตของพวกเราทุกคน ทั้งที่อยู่ในกรุงเทพ หรือนอกกรุงเทพก็ตาม
** ผมเขียนไม่ค่อยเก่ง ถ้าผมบ่นแล้วมันวกไปวนมาผมก็ต้องกราบขอโทษ ณ ที่นี้ด้วย **
สิ่งที่จะบ่นเรื่องแรกเลยก็คือ ระบบขนส่งสาธารณะ ผมไม่เข้าใจว่าคนที่คิดเอารถตู้เข้ามาใช้ในระบบขนส่งสาธารณะ เขาคิดอะไรอยู่ถึงทำแบบนี้ ตั้งแต่ผมเห็นเขานำรถตู้เข้ามาเป็นระบบขนส่งสาธารณะ ผมคิดเลยว่านี่เรากำลังจะกลับไปสู่ประเทศที่ด้อยพัฒนาแล้วใช่ไหม? ทำไมผมถึงคิดเช่นนี้
1. รถตู้ขนส่งคนได้น้อย ทำให้สิ้นเปลืองพลังงาน ต้องใช้รถจำนวนมาก
2. อันตราย เนื่องจากรถตู้ส่วนใหญ่ติดฟิล์มทึบ แถมมีม่านกันแดดอีก คนข้างในรถนั้นทำอะไร คนข้างนอกจะไม่เห็นเลย
3. แหล่งรวมเชื้อโรคชั้นดี
4. เมื่อรถเกิดอุบัติเหตุ เช่นรถคว่ำ รถเสียหลัก คนในรถอาจจะหนีออกมาไม่ได้เลย เนื่องจากความแคบของรถตู้ แถบยังนั่งเบียดกันอีก
อื่นๆอีกมากมาย ถ้าใครบอกผมว่ารถตู้มันเร็วกว่าผมไม่เถียงครับ แต่ที่มันเร็วเพราะอะไรละ เพราะรถมันเล็ก มีเยอะ ออกถี่ ใช่ไหม? แล้วมันต้องแลกกับอะไร ? ทำไมถึงไม่แก้ปัญหาให้ตรงจุดกันละครับ.
คนที่ใช้ระบบขนส่งสาธารณะ เขาต้องการอะไร.....................ถูกครับ เขาต้องการคาดหวังเรื่องเวลาได้ เช่นทุกๆ 10 นาที รถต้องมาแน่นอน เช่น ผมออกจากบ้าน 9 โมงเช้า ไปรอรถเมย์ป้ายหน้าบ้านผม 9โมง10นาที รถต้องมาคันนึงแน่ๆ จริงไหมครับ. แค่นี้แหละครับที่คนใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะต้องการ ทำไมคุณถึงไม่แก้ให้ตรงจุด ถ้าคุณแก้ได้ผมเชื่อเลยว่า รถในกรุงเทพน้องลงแน่นอน เพราะคนจะหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะ มากขึ้น เพราะเขาสามารถที่จะวางแผนเรื่องเวลาได้ แล้วจะแก้มันยังไงละ ในเมื่อระบบขนส่งสาธารณะปัจจุบันมันเละขนาดนี้ ผมขอเสนอ (อาจจะไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดก็ได้)
1. ทิ้งระบบสัมปทานแบบเดิมซะ แล้วร่วมมือกับเอกชน มาช่วยกันบริหาร (ถ้ารัฐทำคนเดียวไม่ได้)
2. หยุดคิดสักทีว่าทำแล้วขาดทุน การทำระบบขนส่งสาธารณะ มันขาดทุนอยู่แล้ว
3. จัดระบบรถใหม่ วางเส้นทางการเดินรถใหม่ อาจจะทำเป็น shuttle bus ก็ได้ แล้วให้คนไปต่อรถที่ปลายทางเอา ส่วนในซอยเล็กๆ อาจจะมีรถเมย์ขนาดเล็กเข้าไป หรือพี่วินมอเตอร์ไซต์ก็ได้ ผมจะยกตัวอย่างสายปื่นเกล้านะครับ เช่นผมจะไปเซ็นทรัลปิ่นเกล้า โดยนั่งจากอนุสาวรีย์ ซึ่งมีหลายสายมากที่ไป แล้วเข้าอนุสาวรีย์หมด ทำไมไม่ยุบเป็นสายเดียวแล้ววิ่งไป-กลับแค่ อนุสาวรีย์ - ปิ่นเกล้า (สาย 28 ก็ได้) ทำให้ในอนุสาวรีย์รถเมย์ก็จะน้อยลงไปเยอะเลย แล้วคนจะถามอีกว่า แล้วถ้าจะไป สายใต้ใหม่ ศาลสยา ไปยังไงละ ก็จะมีนถเมย์ที่วิ่งแต่ปิ่นเกล้า - ศาลายา ไงละครับ เหมือน อนุสาวรย์ - ปิ่นเกล้า แหละทำแบบนี้ไปทุกๆ สาย รถเมย์ก็จะน้อยลง มีคุณภาพมากขึ้น รถเมย์ไม่ทับซ้อนด้วย
4. ถ้าทำให้รถเมย์น้อยลงได้ วิ่งตรงตามเวลาได้แล้ว สิ่งที่จะตามมาคือความเป็นระเบียบไงครับ เราก็จะสามารถให้คนต่อแถวขึ้นรถเมย์ได้ กระเป๋ารถเมย์ก็ไม่ต้องใช้ แล้วมาใช้วิธีหยอดเหรียญ หรือให้ทันสมัยกว่านั้นก็ใช้บัตรประชาชนนี้แหละครับ เติมเงินเข้าไป แล้วแตะเพื่อขึ้นรถเมย์แทน
5. ผมเชื่อว่าถ้าทำได้ถึงขั้นนี้แล้ว คนใช้รถส่วนตัวจะน้อยลงอย่างเห็นได้ใช้ เพราะในเมื่อเราสามารถคำนวณเวลาการเดินทางได้แล้ว เราจะใช้รถส่วนตัวทำไมละ นำมันก็แพง จอดไว้ขับไปเที่ยวต่างจังหวัดดีกว่า
แต่ที่ผมหนักใจ คือรถตู้ครับ เพราะเราให้เขาเลิกไม่ได้แน่ๆ ตอนนี้รถตู้ก็เหมือนมาเฟียกลุ่มหนึ่งไปแล้ว ใครไปย้าย ไปยุบ มีหวัง ประท้วง หรือก่อความไม่สงบชัว เรื่องนี้ทางรัฐบาลก็ต้องหาทางจัดการเอง เพราะคุณเป็นคนให้เขาเข้ามาในระบบขนส่งสาธารณะ
==============================================================
อีกสิ่งที่อยากจะบ่นก็คือเรื่องการผูกขาดต่างๆ ทำไมเมืองไทยไม่บังคับใช้กฏหมายตัวนี้เสียที หรือเมืองไทยยังไม่มีกฏหมายว่าด้วยเรื่องการผูกขาดครับ และที่ผมหนักใจมากกว่านั้นคือ ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงยังไม่ตื่นตัวกับเรื่องนี้ ทำเป็นเรื่องปกติ ไม่มีอะไรไปซะอย่างนั้น คุณรู้ไหมว่าการผูกขาดมันอันตรายขนาดไหน มันจะทำลายชีวิตเราในอนาคตเราขนาดไหน สังเกตุง่ายๆ ณ ปัจจุบันก็ได้ครับ. ต่างประเทศไม่ว่าใครจะคิดผูกขาดอะไร ก็จะถูกฟ้อง ขึ้นศาลหมด ตามข่าวก็มีให้อ่านกัน แต่พอย้อนมาดูประเทศเรา ทำไมเราถึงนิ่งเฉย ให้บริษัทบางบริษัท ครอบครองธุรกิจส่วนใหญ่ได้เยอะขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจของกิน การสื่อสาร การค้าปลีก-ส่ง เป็นต้น คุณรู้ไหมพวกนี้มันกำลังทำลายร้านค้าเล็กๆ ไปทีละนิด ทีละนิด จนอยู่ไม่ได้ และปิดตัวไป ถ้าร้านพวกนี้ปิดตัวไป หมด แล้วเหลือเขาอยู่เจ้าเดียว จะเกิดอะไรขึ้น?...................ใช่ครับ เขาจะขายอะไร แพงแค่ไหน เราก็ต้องซื้อครับ เพราะถ้าเราไม่ซื้อเขา เราก็ไม่รู้ว่าจะไปซื้อที่ไหน. อีกอย่างที่กระทบน่าจะหนักเอาการก็พวกที่ผลิตสินค้า นำเข้าสินค้าต่างๆ เมื่อผลิต หรือนำเข้ามาแล้วก็ต้องหาที่จัดจำหน่าย และจะไปที่ไหนได้ละครับ ก็ต้องคลานไปหาเขา เพราะเหลือเขาเจ้าเดียวในตลาดแล้ว ทีนี้เขาก็มีอำนาจต่อรองที่สูงมากๆ ชี้เป็นชี้ตายได้เลย ที่เหลือก็คิดต่อเอาเองนะครับ ว่าจะเป็นยังไงต่อไป?.......................ใช่ครับเขาแถบไม่ต้องรับความเสี่ยงเรื่องสินค้าเลยก็ได้ เช่นของเสียต่างๆ ผู้ผลิตก็รับผิดชอบสิ ไม่รับผิดชอบก็ไม่ต้องขาย คุณก็ต้องยอมใช่ไหมครับ ไม่งั้นคุณก็ขายไม่ได้เป็นต้น
และยังมีอีกหลายๆเรื่องที่เกี่ยวกับการผูกขาด แต่ผมไม่ได้บ่น ที่ผมมาบ่นเรื่องนี้ด้วย อยากให้คนไทยตระหนักถึงเรื่องนี้กันเถอะครับ
ทำไมเมื่อก่อน เราไม่ต้องมีร้านที่เปิด 24ชม. เรายังอยู่กันได้?
ผมยอมรับว่าเป็นคนนึงที่เข้าร้าน 24ชม. เหมือนกัน แต่นั้นเพราะมันไม่มีทางเลือกครับ ถ้ามีทางเลือก ผมจะเข้าไปซื้อของตามร้านค้าเล็กๆ มากกว่า สิ่งที่ได้มาคือได้เห็นการจัดร้านที่ไม่เหมือนใคร ไปที่ไหนก็ไม่เหมือนกัน ได้พูดคุยกับคนขาย ผมว่ามันดีนะ
==============================================================
บ่นเรื่อง อย. และวันหมดอายุ ผมไม่เข้าใจว่าไปรู้ ไปจำอะไรกันมา ทำให้คนสมัยนี้กังวลเรื่อง อย. กับ วันหมดอายุมากขนาดนี้ ผมมองว่า ของกินที่ไม่มี อย. ยังมั่นใจกว่ามี อย. อีก คุณคิดหรอว่า อย. เขาเข้าไปตรวจทุกวัน และคุณรู้หรอ หลังจากเขาให้ อย. แล้ว ของกินมันจะสะอาด คุณเคยเข้าไปดูกระบวนการ การผลิต อุปกรณ์ ที่ใช้หรอว่าสะอาด ถูกหลัก อย. จะมีผลก็ต่อเมื่อคุณกินมันเข้าไป หรือเกิดแกะมาเจออะไร แล้วไปฟ้อง ร้องเรียน นั่นแหละ เขาถึงจะไปตรวจซ้ำ และลงโทษผู้ผลิต ผมจึงมองว่าของกินที่ไม่มี อย. ที่ป้าๆ ย้ายๆ หรือคนในหมู่บ้านทำออกมาขาย ยังน่ากินกว่าอีก เพราะเราเจอกันทุกวัน เรารู้นิว่า ป้าคนนี้เป็นยังไง ยายคนนี้เป็นยังไง ส่วนคนทำก็ต้องออกมาขายทุกวัน เขาก็ต้องทำให้ดี เพื่อที่จะได้ขายได้ ถ้าทำไม่ดีก็ไม่มีคนซื้อ แถมเรายังได้กินของกินแปลกๆ แถมรสชาติแต่ละที่ก็ไม่เหมือนกันด้วยหละ แต่ผมเห็นคนสมัยนี้ (ส่วนน้อย) จะมองของกินพวกนี้เป็นอะไรสักอย่างที่ดูน่ารังเกียจ แล้วเข้าไปซื้อของในร้าน 24ชม. กิน ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน.
อีกเรื่องก็คือวันหมดอายุ คุณรู้ไหมของหมดอายุกินได้ ถ้า
1. ไม่แยกน้ำ แยกเนื้อ
2. กลิ่นยังเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนไปจากเดิม
3. รสชาติ เหมือนเดิม ไม่เปรี้ยว หรือมีรสชาติที่ประหลาดไป
4. ไม่ขึ้นรา
แค่นี้แหละครับ ไม่ต้องไปทิ้ง มันยังกินได้ และใช้ได้ ครับ
==============================================================
สุดท้ายนี้ผมอยากให้เราลองคิดกลับมาที่ตัวเราเองว่า เราพึ่งคนอื่นมากเกินไปหรือไม่ ในการใช้ชีวิต เพราะประเทศเราพัฒนาตามแบบอเมริกา ที่จะพึ่งทุกอย่าง ไม่ช่วยเหลือตัวเองเลย คิดในทางกลับ ถ้าเกิดวันนึงรัฐช่วยเราไม่ได้ หมอไม่มี หรือเกิดเหตุอะไรก็แล้วแตี่ เช่นไฟฟ้าดับ น้ำไม่ไหล เราจะสามารถ
1. ทำอาหารเองได้ไหม
2. ปฐมพยาบาลเบื่องต้นเป็นไหม
3. เอาตัวรอดได้ไหม โดยที่ไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น
อื่นๆ คิดไม่ออก.
บ่นๆ เรื่อยเปื่อย (ปัญหาสังคม คุณภาพชีวิต)
สิ่งที่จะบ่นต่อไปนี้ เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตของพวกเราทุกคน ทั้งที่อยู่ในกรุงเทพ หรือนอกกรุงเทพก็ตาม
** ผมเขียนไม่ค่อยเก่ง ถ้าผมบ่นแล้วมันวกไปวนมาผมก็ต้องกราบขอโทษ ณ ที่นี้ด้วย **
สิ่งที่จะบ่นเรื่องแรกเลยก็คือ ระบบขนส่งสาธารณะ ผมไม่เข้าใจว่าคนที่คิดเอารถตู้เข้ามาใช้ในระบบขนส่งสาธารณะ เขาคิดอะไรอยู่ถึงทำแบบนี้ ตั้งแต่ผมเห็นเขานำรถตู้เข้ามาเป็นระบบขนส่งสาธารณะ ผมคิดเลยว่านี่เรากำลังจะกลับไปสู่ประเทศที่ด้อยพัฒนาแล้วใช่ไหม? ทำไมผมถึงคิดเช่นนี้
1. รถตู้ขนส่งคนได้น้อย ทำให้สิ้นเปลืองพลังงาน ต้องใช้รถจำนวนมาก
2. อันตราย เนื่องจากรถตู้ส่วนใหญ่ติดฟิล์มทึบ แถมมีม่านกันแดดอีก คนข้างในรถนั้นทำอะไร คนข้างนอกจะไม่เห็นเลย
3. แหล่งรวมเชื้อโรคชั้นดี
4. เมื่อรถเกิดอุบัติเหตุ เช่นรถคว่ำ รถเสียหลัก คนในรถอาจจะหนีออกมาไม่ได้เลย เนื่องจากความแคบของรถตู้ แถบยังนั่งเบียดกันอีก
อื่นๆอีกมากมาย ถ้าใครบอกผมว่ารถตู้มันเร็วกว่าผมไม่เถียงครับ แต่ที่มันเร็วเพราะอะไรละ เพราะรถมันเล็ก มีเยอะ ออกถี่ ใช่ไหม? แล้วมันต้องแลกกับอะไร ? ทำไมถึงไม่แก้ปัญหาให้ตรงจุดกันละครับ.
คนที่ใช้ระบบขนส่งสาธารณะ เขาต้องการอะไร.....................ถูกครับ เขาต้องการคาดหวังเรื่องเวลาได้ เช่นทุกๆ 10 นาที รถต้องมาแน่นอน เช่น ผมออกจากบ้าน 9 โมงเช้า ไปรอรถเมย์ป้ายหน้าบ้านผม 9โมง10นาที รถต้องมาคันนึงแน่ๆ จริงไหมครับ. แค่นี้แหละครับที่คนใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะต้องการ ทำไมคุณถึงไม่แก้ให้ตรงจุด ถ้าคุณแก้ได้ผมเชื่อเลยว่า รถในกรุงเทพน้องลงแน่นอน เพราะคนจะหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะ มากขึ้น เพราะเขาสามารถที่จะวางแผนเรื่องเวลาได้ แล้วจะแก้มันยังไงละ ในเมื่อระบบขนส่งสาธารณะปัจจุบันมันเละขนาดนี้ ผมขอเสนอ (อาจจะไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดก็ได้)
1. ทิ้งระบบสัมปทานแบบเดิมซะ แล้วร่วมมือกับเอกชน มาช่วยกันบริหาร (ถ้ารัฐทำคนเดียวไม่ได้)
2. หยุดคิดสักทีว่าทำแล้วขาดทุน การทำระบบขนส่งสาธารณะ มันขาดทุนอยู่แล้ว
3. จัดระบบรถใหม่ วางเส้นทางการเดินรถใหม่ อาจจะทำเป็น shuttle bus ก็ได้ แล้วให้คนไปต่อรถที่ปลายทางเอา ส่วนในซอยเล็กๆ อาจจะมีรถเมย์ขนาดเล็กเข้าไป หรือพี่วินมอเตอร์ไซต์ก็ได้ ผมจะยกตัวอย่างสายปื่นเกล้านะครับ เช่นผมจะไปเซ็นทรัลปิ่นเกล้า โดยนั่งจากอนุสาวรีย์ ซึ่งมีหลายสายมากที่ไป แล้วเข้าอนุสาวรีย์หมด ทำไมไม่ยุบเป็นสายเดียวแล้ววิ่งไป-กลับแค่ อนุสาวรีย์ - ปิ่นเกล้า (สาย 28 ก็ได้) ทำให้ในอนุสาวรีย์รถเมย์ก็จะน้อยลงไปเยอะเลย แล้วคนจะถามอีกว่า แล้วถ้าจะไป สายใต้ใหม่ ศาลสยา ไปยังไงละ ก็จะมีนถเมย์ที่วิ่งแต่ปิ่นเกล้า - ศาลายา ไงละครับ เหมือน อนุสาวรย์ - ปิ่นเกล้า แหละทำแบบนี้ไปทุกๆ สาย รถเมย์ก็จะน้อยลง มีคุณภาพมากขึ้น รถเมย์ไม่ทับซ้อนด้วย
4. ถ้าทำให้รถเมย์น้อยลงได้ วิ่งตรงตามเวลาได้แล้ว สิ่งที่จะตามมาคือความเป็นระเบียบไงครับ เราก็จะสามารถให้คนต่อแถวขึ้นรถเมย์ได้ กระเป๋ารถเมย์ก็ไม่ต้องใช้ แล้วมาใช้วิธีหยอดเหรียญ หรือให้ทันสมัยกว่านั้นก็ใช้บัตรประชาชนนี้แหละครับ เติมเงินเข้าไป แล้วแตะเพื่อขึ้นรถเมย์แทน
5. ผมเชื่อว่าถ้าทำได้ถึงขั้นนี้แล้ว คนใช้รถส่วนตัวจะน้อยลงอย่างเห็นได้ใช้ เพราะในเมื่อเราสามารถคำนวณเวลาการเดินทางได้แล้ว เราจะใช้รถส่วนตัวทำไมละ นำมันก็แพง จอดไว้ขับไปเที่ยวต่างจังหวัดดีกว่า
แต่ที่ผมหนักใจ คือรถตู้ครับ เพราะเราให้เขาเลิกไม่ได้แน่ๆ ตอนนี้รถตู้ก็เหมือนมาเฟียกลุ่มหนึ่งไปแล้ว ใครไปย้าย ไปยุบ มีหวัง ประท้วง หรือก่อความไม่สงบชัว เรื่องนี้ทางรัฐบาลก็ต้องหาทางจัดการเอง เพราะคุณเป็นคนให้เขาเข้ามาในระบบขนส่งสาธารณะ
==============================================================
อีกสิ่งที่อยากจะบ่นก็คือเรื่องการผูกขาดต่างๆ ทำไมเมืองไทยไม่บังคับใช้กฏหมายตัวนี้เสียที หรือเมืองไทยยังไม่มีกฏหมายว่าด้วยเรื่องการผูกขาดครับ และที่ผมหนักใจมากกว่านั้นคือ ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงยังไม่ตื่นตัวกับเรื่องนี้ ทำเป็นเรื่องปกติ ไม่มีอะไรไปซะอย่างนั้น คุณรู้ไหมว่าการผูกขาดมันอันตรายขนาดไหน มันจะทำลายชีวิตเราในอนาคตเราขนาดไหน สังเกตุง่ายๆ ณ ปัจจุบันก็ได้ครับ. ต่างประเทศไม่ว่าใครจะคิดผูกขาดอะไร ก็จะถูกฟ้อง ขึ้นศาลหมด ตามข่าวก็มีให้อ่านกัน แต่พอย้อนมาดูประเทศเรา ทำไมเราถึงนิ่งเฉย ให้บริษัทบางบริษัท ครอบครองธุรกิจส่วนใหญ่ได้เยอะขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจของกิน การสื่อสาร การค้าปลีก-ส่ง เป็นต้น คุณรู้ไหมพวกนี้มันกำลังทำลายร้านค้าเล็กๆ ไปทีละนิด ทีละนิด จนอยู่ไม่ได้ และปิดตัวไป ถ้าร้านพวกนี้ปิดตัวไป หมด แล้วเหลือเขาอยู่เจ้าเดียว จะเกิดอะไรขึ้น?...................ใช่ครับ เขาจะขายอะไร แพงแค่ไหน เราก็ต้องซื้อครับ เพราะถ้าเราไม่ซื้อเขา เราก็ไม่รู้ว่าจะไปซื้อที่ไหน. อีกอย่างที่กระทบน่าจะหนักเอาการก็พวกที่ผลิตสินค้า นำเข้าสินค้าต่างๆ เมื่อผลิต หรือนำเข้ามาแล้วก็ต้องหาที่จัดจำหน่าย และจะไปที่ไหนได้ละครับ ก็ต้องคลานไปหาเขา เพราะเหลือเขาเจ้าเดียวในตลาดแล้ว ทีนี้เขาก็มีอำนาจต่อรองที่สูงมากๆ ชี้เป็นชี้ตายได้เลย ที่เหลือก็คิดต่อเอาเองนะครับ ว่าจะเป็นยังไงต่อไป?.......................ใช่ครับเขาแถบไม่ต้องรับความเสี่ยงเรื่องสินค้าเลยก็ได้ เช่นของเสียต่างๆ ผู้ผลิตก็รับผิดชอบสิ ไม่รับผิดชอบก็ไม่ต้องขาย คุณก็ต้องยอมใช่ไหมครับ ไม่งั้นคุณก็ขายไม่ได้เป็นต้น
และยังมีอีกหลายๆเรื่องที่เกี่ยวกับการผูกขาด แต่ผมไม่ได้บ่น ที่ผมมาบ่นเรื่องนี้ด้วย อยากให้คนไทยตระหนักถึงเรื่องนี้กันเถอะครับ
ทำไมเมื่อก่อน เราไม่ต้องมีร้านที่เปิด 24ชม. เรายังอยู่กันได้?
ผมยอมรับว่าเป็นคนนึงที่เข้าร้าน 24ชม. เหมือนกัน แต่นั้นเพราะมันไม่มีทางเลือกครับ ถ้ามีทางเลือก ผมจะเข้าไปซื้อของตามร้านค้าเล็กๆ มากกว่า สิ่งที่ได้มาคือได้เห็นการจัดร้านที่ไม่เหมือนใคร ไปที่ไหนก็ไม่เหมือนกัน ได้พูดคุยกับคนขาย ผมว่ามันดีนะ
==============================================================
บ่นเรื่อง อย. และวันหมดอายุ ผมไม่เข้าใจว่าไปรู้ ไปจำอะไรกันมา ทำให้คนสมัยนี้กังวลเรื่อง อย. กับ วันหมดอายุมากขนาดนี้ ผมมองว่า ของกินที่ไม่มี อย. ยังมั่นใจกว่ามี อย. อีก คุณคิดหรอว่า อย. เขาเข้าไปตรวจทุกวัน และคุณรู้หรอ หลังจากเขาให้ อย. แล้ว ของกินมันจะสะอาด คุณเคยเข้าไปดูกระบวนการ การผลิต อุปกรณ์ ที่ใช้หรอว่าสะอาด ถูกหลัก อย. จะมีผลก็ต่อเมื่อคุณกินมันเข้าไป หรือเกิดแกะมาเจออะไร แล้วไปฟ้อง ร้องเรียน นั่นแหละ เขาถึงจะไปตรวจซ้ำ และลงโทษผู้ผลิต ผมจึงมองว่าของกินที่ไม่มี อย. ที่ป้าๆ ย้ายๆ หรือคนในหมู่บ้านทำออกมาขาย ยังน่ากินกว่าอีก เพราะเราเจอกันทุกวัน เรารู้นิว่า ป้าคนนี้เป็นยังไง ยายคนนี้เป็นยังไง ส่วนคนทำก็ต้องออกมาขายทุกวัน เขาก็ต้องทำให้ดี เพื่อที่จะได้ขายได้ ถ้าทำไม่ดีก็ไม่มีคนซื้อ แถมเรายังได้กินของกินแปลกๆ แถมรสชาติแต่ละที่ก็ไม่เหมือนกันด้วยหละ แต่ผมเห็นคนสมัยนี้ (ส่วนน้อย) จะมองของกินพวกนี้เป็นอะไรสักอย่างที่ดูน่ารังเกียจ แล้วเข้าไปซื้อของในร้าน 24ชม. กิน ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน.
อีกเรื่องก็คือวันหมดอายุ คุณรู้ไหมของหมดอายุกินได้ ถ้า
1. ไม่แยกน้ำ แยกเนื้อ
2. กลิ่นยังเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนไปจากเดิม
3. รสชาติ เหมือนเดิม ไม่เปรี้ยว หรือมีรสชาติที่ประหลาดไป
4. ไม่ขึ้นรา
แค่นี้แหละครับ ไม่ต้องไปทิ้ง มันยังกินได้ และใช้ได้ ครับ
==============================================================
สุดท้ายนี้ผมอยากให้เราลองคิดกลับมาที่ตัวเราเองว่า เราพึ่งคนอื่นมากเกินไปหรือไม่ ในการใช้ชีวิต เพราะประเทศเราพัฒนาตามแบบอเมริกา ที่จะพึ่งทุกอย่าง ไม่ช่วยเหลือตัวเองเลย คิดในทางกลับ ถ้าเกิดวันนึงรัฐช่วยเราไม่ได้ หมอไม่มี หรือเกิดเหตุอะไรก็แล้วแตี่ เช่นไฟฟ้าดับ น้ำไม่ไหล เราจะสามารถ
1. ทำอาหารเองได้ไหม
2. ปฐมพยาบาลเบื่องต้นเป็นไหม
3. เอาตัวรอดได้ไหม โดยที่ไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น
อื่นๆ คิดไม่ออก.