[CR] รีวิวงาน Five Fest (Knowledge Festival ครั้งแรกของเมืองไทย!!!)

เนื่องด้วยได้บัตรเข้าชมงาน Five Fest แบบฟรีๆจากการเล่นกิจกรรมใน FB ผมก็เลยอยากตอบแทนผู้จัดและอยากรีวิวงานนี้ให้เพื่อนพันทิปได้ทราบกันสำหรับใครที่พลาดไปครับ (ราคาบัตรงานนี้เท่าที่ผมรู้มีสองรอบครับ คือ Vip 8800 บาท กับ ธรรมดา 5500 บาท ต่อมาก็ลดเหลือ 5500 กับ 3500 บาท ตามลำดับ ส่วนราคานักศึกษา 2700 บาทครับ )

งาน Five Fest คืออะไร
งาน Five Fest คืองานที่ผู้จัดเคลมว่าเป็นงาน Knowledge Festival ครั้งแรกของประเทศไทยจัดโดย 2morowgroup ซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับการให้ความรู้ในด้านการลงทุน จัดวันที่ 10 เดือน 10 ปี พศ 2558 ที่อิมแพคอารีน่าเมืองทองธานี เป็นงานเวทีสัมนาแบ่งหมวดออกเป็น 5 ด้านด้วยกันตามชื่องาน คือ 1. SELF INSPIRATION 2. INVESTMENT 3. CREATIVITY 4. TECH START-UP 5. ENTREPRENEURSHIP ครับ โดย Speaker จะมีทั้งหมด 30 คน ดูได้ตามรูปเลยครับ


สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม ดูได้ที่เว็บไซต์: http://www.fivefestthailand.com/ ครับ

เริ่มงาน
ก่อนที่จะเริ่มงานมาว่าด้วยการเดินทางก่อน ผมขับรถมาครับ (ความจริงมี Uber ให้จองฟรีสำหรับขาไป 300 บาทด้วยนะครับ Service กันสุดๆ) แต่เนื่องด้วยขนาดเมืองทองที่ใหญ่มากก ขนาดแค่ตึกอารีน่ายังแบ่งเป็นหลายส่วนเลย ผมไปจอดรถที่หน้า arena ที่เป็น outdoor แต่ประเด็นคือตัวงานอยู่ตึกด้านหลังโรงแรมโนโวเทลทำให้เดินไกลพอสมควรเลย (ความจริงมีบอกในเว็บไซต์ละครับ แต่ผมไม่ได้อ่านมา ซึ่งก็เป็นความผิดผมครับ แต่ถ้าเป็นไปได้ถ้าผู้จัดช่วยทำป้ายงานใหญ่ๆบอกตามทางได้ก็ดีนะครับ ส่วนทางเมืองทอง รปภก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ว่างานจัดที่ไหน ผมถามรปถไปประมาณ 8 คนครับถึงจะรู้ว่าไปทางไหน) แต่ยังไงก็แล้วแต่ ผมก็มาถึงจนได้ครับ ^^

สิ่งที่ได้ก่อนเริ่มงาน



เป็น Gift Voucher ครับ ส่วนใหญ่ก็เป็นส่วนลดงานสัมนาของ Stock2morrow และ Jordan Belfort(The wolf of wall street เป็นส่วนลด 500 บาทสำหรับ 500 ท่าแรกครับ) 2. สมุดบอก Agenda 3. ริสแบนด์ 4. สิทธิ์ในการดูย้อนหลัง Speaker คนอื่นๆได้ที่ skilllane 1 ปี

นอกงานมีอะไรบ้าง

ก็จะเป็นพวกบูท(ขอโทษนะครับที่ไม่ได้ถ่ายรูปมา)ที่เป็น partnership กับ 2morrow group เช่น Skilllane, stock radar, zip event บูทของ Uber และบูมขายหนังสือของ stock2morrow บูทของธ.กรุงศรี และบูทของ speaker เช่น เถ้าแก่น้อย และอื่นๆ

ในงานเป็นยังไง

มาดูตารางงานกันครับ (อาจจะเห็นไม่ชัดนะครับ เพราะถ่ายจากกล้องมือถือ ดูเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์)



โดยงานนี้มีลักษณะพิเศษคือมี main stadium และมีห้อง 4 ห้องตามด้านต่างๆ (ด้าน investment จะได้ main stadium ไปครับ) แล้วเราต้องเลือกคนที่อยากไปฟังตามที่เราสนใจ ซึ่งก็หมายความว่าเราก็จะไม่ได้ฟัง speaker คนที่พูดเวลาช่วงเดียวกัน แต่ก็สามารถกลับมาดูได้ที่ skilllane ครับ เค้าให้เวลาดู 1 ปีครับ แต่ก็จะมีบางหัวข้อที่มาพูดรวมๆโดยมี Speaker ประมาณ 2-3 คน

งานเป็นยังไง



เกริ่นมามากมายหลายตลบ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา (5555 เลียนแบบ MC แปป) ในกำหนดการบอกเริ่ม 9 โมง แต่เอาจริงๆก็เริ่ม 9.30 ครับ ผมเดาว่าทางผู้จัดยังเห็นว่าคนยังมาไม่เยอะเลยเริ่มเลทละมั่ง ซึ่งก็เลยทำให้หัวข้อรวมได้พูดน้อย ซึ่งผมก็รู้สึกไม่ค่อยได้อะไรมากนักใน session หัวข้อรวมมากนักนะครับ เหมือนมาถามคำถามทั่วๆไปในด้านธุรกิจและการลงทุน ที่ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ที่ฟังก็รู้อยู่แล้ว ผมเลยไม่ขอลงรายละเอียดตรงนี้มากนะครับ เพราะไม่ได้จดอะไรมาเลย ส่วนเพื่อนๆคนไหนที่จดมาก็มาแชร์กันได้นะครับ ผมขอรีวิวในหัวข้อแยกดีกว่าครับ

รีวิว Speaker คนที่ผมเลือกฟัง

ผมเลือกฟัง 1. เสี่ยยักษ์ วิชัย วชิรพงศ์  2. ทิม พิธา  (ชั่งใจอยู่นานว่าจะฟังพี่ตูนดีมั้ย แต่สุดท้ายก็เลือกพี่ทิมครับ เพราะผมอยากรวยครับ ไม่ได้อยากบินได้ 555555 แซวเล่นนะครับ) 3. วิชัย ทองแตง
** ออกตัวก่อนนะครับว่าผมเป็นนักศึกษาปี 4 เรียนบัญชี รั้วเหลือแดง ลงทุนในหุ้นแบบงูๆปลาๆ และขาดทั้งความรู้และประสบการณ์(พูดง่ายๆว่าคือโง่ครับ 5555) ประสบการณ์ที่น้อยของผมอาจทำให้การวิเคราะห์ของผมยังอ่อนไปมาก แต่ผมเป็นคนตรงครับ รู้สึกอย่างไรก็พิมมาอย่างนั้น ถ้ามีอะไรไปกระทบผู้อ่านก็หวังว่าจะไม่โกรธกันนะครับ ผมทำครั้งนี้เพราะมีเจตนาดี อยากให้มีการพัฒนาและปรับปรุงหวังว่าจะเข้าใจกันนะครับ และถ้าผิดอะไรก็บอกกันได้นะครับ^^




เสี่ยยักษ์ นักลงทุนระดับพันล้าน


เสี่ยเป็นคนที่พูดนิ่งๆแต่มีพลังมากกกก (เหมือนฟังอาจารย์เฉลิมชัยในเวอร์ชันเสียงโมโนโทน) คือถ้าเราฟังเราจะรู้เลยว่าผู้ชายคนนี้ passion มาเต็ม ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงรวยระดับพันล้าน โดยแรกเริ่มเสี่ยจะเล่าประวัติตัวเองคร่าวๆก็ว่าเคยทำอะไรมาบ้าง (ดูได้ในรูปครับ) ซื้อรถเบนซ์ตอนมี 10 ล้าน รถสปอร์ตตอนมี 100 ล้าน รถเฟอรารี่ตอนมีพันล้าน! (ขอเลียขาแปป) ซึ่งเสี่ยบอกกับเราว่าสิ่งแรกที่เราควรทำคือการพยายามหา passion ของตัวเอง โดยตัวเสี่ยเองจะทำเฉพาะสิ่งที่มันยากและไม่มีใครทำ สมัยยังหนุ่มเสี่ยทำโรงงานแป้งข้าวจ้าวของครอบครัววันละ 12 ชม. “อย่างน้อยก็แค่ตาย !!!” เสี่ยย้ำคำนี้กับเราถึงสามรอบ



    จากนั้นเสี่ยก็พูดถึงการลงทุนในอดีตของแก สไตล์การเล่นหุ้นของแกก็คือลงทุนในหุ้นที่ไม่มีคนสนใจจและพื้นฐานดี แกสามารถรอหุ้นได้เป็นปีๆ เพราะแกหวัง Big Shot ไม่ใช่แค่กำไร 20-30% แกไม่เชื่อคำพูดที่ว่า “อย่าเอาไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว” ไข่สามารถใส่ในตะกร้าใบเดียวได้ หากไข่ใบนั้นเป็นสิ่งที่เรารู้จริง
    เสี่ยยังพูดถึง “หุ้นเปลี่ยนชีวิต” อีกด้วย ซึ่งเป็นหุ้นรัฐวิสาหกิจและมีลักษณะผูกขาด คือ หุ้น PTT และ BMCL ในส่วนของ PTT แกเริ่มซื้อตั้งแต่ช่วง IPO ราคา 32 บาท สาเหตุที่กล้าซื้อตั้งแต่ IPO ก็เพราะเชื่อว่ารัฐบาลมักไม่ค่อยเอาเปรียบรายย่อย จึงมักตั้งราคา IPO ไม่สูงมาก จากนั้นก็ซื้ออีกไม้นึงตอน 70 บาท โดยการเข้าซื้อของแกส่วนใหญ่จะดูที่กราฟ Month ของ MACD ตัดขึ้น พร้อมกับ Volume ที่กำลังมา (เมื่อก่อนแกก็นับ wave ดู Fibonacci แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช้ละ) ต่อมาก็พูดถึงหุ้น BMCL แกสนใจหุ้นนี้เพราะเปรียบเทียบกับ ธนายง ที่ภายหลังเปลี่ยนเป็น BTS แล้ว ทำให้อยากเข้าซื้อเลย ปัจจุบันนี้ก็ยังถืออยู่  
จากนั้นเสี่ยก็ตอบคำถามเกี่ยวกับการลงทุนต่างประเทศ เสี่ยบอกว่ามีความน่าสนใจแต่เสี่ยคงไม่ลงทุนแล้ว (คหสต: เอาจริงๆ แค่นี้แกก็รวยแล้ว แกคงไม่คิดทำอะไรให้มันเสี่ยงเพิ่มเปล่าๆ) แกบอกว่าเพื่อนแกที่ไปลงทุนยังไม่เคยเจอใครได้กำไรกันสักคน ซึ่งแม้ว่าจะทำกำไรจากราคาหุ้นได้ แต่ก็จะมาขาดทุนเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนแทน

คำคมจากเสี่ยยักษ์ (บางคำผมเอามาปรับๆเองนะครับ ถูกผิดยังไงบอกได้ครับ)

- เวลาเล่นหุ้นเตรียมใจขาดทุนไปเลย 10% (ส่วนจุด Cut loss ของแกคือ 25% ซึ่งแกได้ใช้หลักการนี้ไปแล้วกับหุ้น SSI ครับ)
- ตอนรวยมันไม่ได้มีความสุขขนาดนั้น เพราะเวลาขาดทุนมันขาดทุนทีเป็นร้อยล้าน “ได้กำไรจากพันล้านเป็นสองพันล้าน เทียบไม่ได้กับขาดทุนที 2-3 ร้อยล้าน ทุกข์มากกว่าสุข” ช่วงทีแกมีความสุขที่สุดคือตอนมีเงิน 8 ล้าน เพราะเป็นจำนวนเงินที่แกคิดว่าพอดีสำหรับแกละ (แหม… ไม่รวยพูดไม่ได้นะครับ 5555)
- อย่าหลอกว่าตัวเองรวยด้วยการอวดรวย
- หุ้น PE 40 เท่าขึ้น ไม่ควรเล่น กว่าจะคืนทุนก็ 40 ปี เอาเงินไปฝากธนาคารดอกเบี้ย 4% คืนทุน 16 ปี ยังจะดีกว่า!!!
- อย่าเล่นหุ้นที่มีคนสนใจเยอะ เราจะไม่ได้ Big shot และสมัยนี้หุ้นที่ดีแต่คนสนใจน้อยก็ไม่มีแล้ว สมัยนี้ ถ้าอยากรวยต้องเล่นหุ้น Turnaround (เอ๊ะ! พูดถึง BMCL หรือเปล่าไม่แน่ใจ 5555)
ไม่ผิดหวังครับในแง่การสร้างแรงบันดาลใจ

เสร็จไปหนึ่งคน ก็เป็นช่วงพักกลางวันครับ ได้กินอาหารบุฟเฟ่ต์ น่าจะเป็นของโรงแรมโนโวเทลนะครับ ก็อร่อยดี เสียดาย ลืมถ่ายรูป ผมตักสตูเนื้อมาเพียบเลย แล้วผมเจอรุ่นพี่ในคณะด้วย และก็ได้เพื่อนใหม่ที่เป็นเพื่อนของรุ่นพี่เค้า ดีใจมาก คิดว่าจะมาเหงาๆคนเดียวละ เย้! ก็เลยมีเพื่อนไปนั่งฟังคุณทิม พิธา ด้วยกัน

ทิม พิธา ผู้บริหาร TRBO ธุรกิจนํ้ามันรำข้าว

สำหรับผมนี่เป็น Talk ที่ดีที่สุดที่ได้ฟังในวันนั้นแล้วครับ ไม่ผิดหวังจริงๆครับ ที่ไม่ได้ฟังพี่ตูนแล้วมาฟังพี่ทิมแทน สาวๆไม่ต้องแปลกใจนะครับ ถ้าคุณจะตกหลุมรักเค้าตั้งแต่เจอกันครั้งแรก ขนาดผมยังอยากจะกรี๊ดใส่เลย เป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์มากๆ ทั้งหล่อ ทั้งรวย ทั้งเก่ง แบบเพอเฟคมากกกก กรี๊ดดด ขอกอดดดที! 5555 เอาล่ะ! เรามาฟังกันดีกว่าผู้ชายคนนี้พูดอะไรไปบ้าง เริ่มแรกพี่ทิมก็ขอบคุณคนดูก่อนเลยครับที่มาฟังเค้าแทนพี่ตูน เรียกเสียงฮาไปได้ยกใหญ่ จากนั้นพี่แกก็ถามคนดูว่าเป็นใครบ้าง (อ่ะแน่ะ มีการดู Target group ด้วย) ใครเป็นนักเรียน มนุษย์เงินเดือน หรือเจ้าของธุรกิจ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นมนุษย์เงินเดือนครับ จากนั้นก็พูดเค้าเนื้อหา โดยเปิดหัวข้อว่า “3 keys takeaways of todays” คือเส้นทางในการดำเนินธุรกิจที่ควรจะเป็นเริ่มตั้งแต่เปิดบริษัทจนดำเนินธุรกิจเลย คือ
(คหสต: อาจเพราะคนฟังส่วนใหญ่เป็นมนุษย์เงินเดือนละมั่ง ผมเลยคิดว่าพี่ทิมจึงพูดในลักษณะนี้ คือ เป็นการแนะแนวเหล่ามนุษย์เงินเดือนก่อนเริ่มต้นทำธุรกิจนั่นเอง)


1.ใหม่-ชัด-โดน ไอเดียในการเริ่มต้นธุรกิจของเราต้องประกอบด้วยสามคำนี้ โดยพี่ทิมก็ยกตัวอย่างการทำธุรกิจของพี่เค้าว่า ใหม่=ธุรกิจน้ำมันรำข้าว มีการทำอย่างจริงจัง มีการสร้างแบรนด์ และมีนวัตกรรมใหม่ๆอยู่เสอม ชัด= ชัดกับ target group ของตัวเอง (ไม่จำเป็นว่าต้องชัดกับทุกคน ขอแค่เฉพาะกับ Target group ของตัวเองเท่านั้น) ซึ่งของธุรกิจพี่ทิม ลูกค้าก็จะเป็นพวกบริษัทอาหารแบรนด์ดังๆ เช่น ไก่ทอด อาหาร fastfood บลาๆ โดน=ของพี่ทิมจะคือการนำข้อดีของสินค้าตัวเองมา Offer ให้กับลูกค้า เช่น แต่ก่อนแบรนด์ไก่ทอดจะใช้น้ำมันปาล์มในการผลิตสินค้า ซึ่งก็มักจะโดน NGO และผู้บริโภคต่อต้าน เพราะมันทำให้เกิดมลพิษค่อนข้างมาก ทั้งยังไม่ดีต่อสุขภาพ พี่ทิมจึงเล็งเห็นจุดอ่อนตรงนี้ และไป offer กับบริษัทพวกนี้ว่าน้ำมันรำข้าวของเค้ามันดีกว่านะ มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระมากกว่า มีจุดเดือดที่สูงกว่า ทำให้ไม่เกิดมะเร็ง (น้ำมันที่ร้อนๆแล้วควันขึ้น แสดงว่ามันเลยจุดเดือดแล้วครับ ซึ่งผมพึ่งรู้ว่า จุดเดือดของน้ำมันรำข้าวนั่นยังสูงกว่าน้ำมันมะกอกอีก) และยังเป็นการช่วยเกษตรกรชาวไทยอีกด้วย
ซึ่งกลยุทธ์ใหม่-ชัด-โดนนี่ก็ควรคิดถึงหลัก “4C” ด้วย คือ  1. Competitor 2. Company 3. Customer 4. Cost ดังนั้นก่อนที่คุณจะไปกู้เงินมาทำธุรกิจ ก็ต้องตอบโจทย์พวกนี้ให้ได้ก่อนว่าคุณทำมันได้แล้วหรือยัง

    2. What is SME ? คำจำกัดความของคำว่า SME ของคุณคืออะไร อย่าทำให้มันเป็น Small-Moody-Exhausted แต่จงทำให้เป็น Smart-Modern-Excellent

    3. Boss vs Leader คุณคิดว่าแบบไหนดีกว่ากัน ส่วนใหญ่ก็จะตอบว่า Leader ซึ่งพี่ทิมบอกเราว่าไม่ใช่ มันขึ้นอยู่กับลักษณะลูกน้องของเราว่าเป็นแบบไหน ถ้าลูกน้องเป็นคนที่ทำก็ต่อเมื่อสั่ง และต้องบอกทีละเสต็ปด้วยว่าให้ทำอะไร ก็ต้องเป็น Boss แต่ถ้าลูกน้องเป็นพวกที่ชอบความท้าทาย ชอบทำอะไรด้วยตัวเอง เราก็ต้องเป็น Leader
ชื่อสินค้า:   Five Fest Festival
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่