ปัจจุบันการทำหนังสือเดินทางหรือ Passport ใช้เวลาเร็วมากแค่ 2 วันทำการไม่นับวันยื่นคำร้อง
ก็จะได้รับเล่มมาครอบครองแล้ว และถ้าต้องการเล่มด่วนภายในวันที่ยื่นก็ยังทำได้ง่าย ๆ
แค่ยื่นเรื่องช่วงเช้าตั้งแต่ 08.30 น. หรือก่อนเที่ยงก็จะสามารถรับเล่มได้ในช่วงบ่ายก่อน
ปิดทำการประมาณ 15.30 น. ^^
เพียงแต่หนังสือเดินทางเร่งด่วนในวันเดียวต้องจ่ายค่าธรรมเนียมพิเศษเพิ่มเป็นเล่มละ 3,000 บาท
กรณีรับเล่มวันรุ่งขึ้นคิดค่าธรรมเนียม 2,000 บาท และ 1,000 บาทสำหรับการรับเล่มปกติ
ในวันที่ 3 หลังวันที่ยื่นขอ เช่นยื่นทำวันจันทร์ได้รับวันพุธ หรือทำวันศุกร์ได้วันอังคาร เป็นต้น
โดยสามารถมารับเล่มเองได้ตามกำหนดเวลาที่ระบุในใบรับ หากมีหนังสือเดินทางเล่มเก่า
ก็ให้นำไปพร้อมใบรับเพื่อยกเลิกเล่มเก่า เสร็จแล้วเจ้าหน้าที่จะคืนมาให้เก็บไว้เป็นที่ระลึกด้วย
กรณีผู้ปกครองหรือบุคคลทั่วไปที่จะทำหนังสือเดินทางเล่มใหม่แทนเล่มเก่าที่กำลังจะหมดอายุ
แต่ในเล่มเก่ายังมีวีซ่าอเมริกาแบบ 10 ปีที่ยังไม่หมดอายุ ในวันที่ไปรับและได้หนังสือเดินทาง
เล่มใหม่มาแล้ว ให้นำหนังสือเดินทางทั้งเล่มใหม่และเล่มเก่า ไปติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อให้ทำ
สลักหลังหรือ Endorsement กำกับว่าวีซ่าในหนังสือเดินทางเล่มเก่ามีผลบังคับใช้ในเล่มใหม่ด้วย
โดยไม่ต้องไปสถานทูตอเมริกาเพื่อยื่นคำร้องขอวีซ่าใหม่แต่อย่างไร ถ้าจำไม่ผิดจะมี
ค่าธรรมเนียมประมาณ 100 บาท
ขอย้ำว่าอย่าลืมให้เจ้าหน้าที่ที่กรมการกลสุลทำสลักหลังโอนวีซ่าไปหนังสือเดินทางเล่มใหม่
มิเช่นนั้นวีซ่าที่อยู่ในเล่มเก่าจะใช้ไม่ได้ เมื่อสลักหลังแล้วและต้องการจะเดินทางไปอเมริกา
ต้องนำหนังสือเดินทางทั้ง 2 เล่มไปใช้คู่กันด้วยเสมอ ขาดเล่มใดเล่มหนึ่งไม่ได้เด็ดขาด
เพราะวีซ่าอยู่ในเล่มเก่า และต้องใช้เล่มใหม่ในการเดินทางนั่นเอง
ในกรณีไม่สะดวกเดินทางมารับหนังสือเดินทางด้วยตนเอง สามารถมอบอำนาจให้ผู้อื่น
มารับแทนได้ โดยในใบรับจะมีช่องให้กรอกรายละเอียดชื่อผู้รับมอบอำนาจ และต้องลง
ลายมือชื่อทั้งของผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจ พร้อมกับนำบัตรประชาชนตัวจริง
ของทั้งสองคน และหนังสือเดินทางเล่มเก่าไปแสดงด้วย กรณีสลักหลังก็สามารถให้
ผู้รับมอบอำนาจทำแทนได้เช่นเดียวกัน
หากไม่ได้ต้องการหนังสือเดินทางแบบเร่งด่วน และไม่ต้องการไปรับเองหรือไม่ต้องการ
มอบอำนาจให้ผู้อื่นไปรับแทน สามารถเลือกให้สถานกงสุลส่งเล่มหนังสือเดินทางไปให้
ทางไปรษณีย์ได้ โดยกรอกชื่อ ที่อยู่สำหรับการส่ง ทาง EMS พร้อมเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มอีก
40 บาทเท่านั้น ใช้เวลารอรับที่บ้านประมาณ 5-7 วันได้เลย
ส่วนมากนักเรียนที่จะไปศึกษาต่อต่างประเทศในระดับปริญญาตรีมักจะมีอายุไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์
บิดามารดาต้องเดินทางไปลงนามให้ความยินยอมด้วยทั้ง 2 คนและต้องนำบัตรประชาชน
และทะเบียนบ้านไปด้วย หากมีการเปลี่ยนชื่อคนใดคนหนึ่ง ให้นำใบสำคัญการเปลี่ยนชื่อไปด้วย
กรณีบิดามารดาจดทะเบียนหย่า จะต้องนำทะเบียนบันทึกการหย่าที่ระบุว่าบุตรอยู่ในความปกครอง
ของผู้ใดเป็นเอกสารตัวจริงมาแสดงแทน หรือกรณีบิดาหรือมารดาคนใดคนหนึ่งเสียชีวิต
ต้องนำใบมรณะบัตรตัวจริงไปเป็นหลักฐานด้วย
เนื่องจากหนังสือเดินทางปัจจุบันมีอายุ 5 ปีไม่ใช่ 10 ปีเหมือนในอดีตที่สามารถต่ออายุเพิ่มได้ 5 ปี
และการเรียนระดับปริญญาตรีในอเมริกาใช้เวลา 4 ปี จึงไม่แนะนำให้ใช้หนังสือเดินทางที่มีอายุ
เหลือน้อยกว่า 4 ปีไปยื่นขอวีซ่า เพราะหนังสือเดินทางจะหมดอายุก่อนที่จะเรียนจบ
การทำหนังสือเดินทางเล่มใหม่ที่หมดอายุระหว่างเรียนยังไม่จบจะยุ่งยากมาก เพราะจะต้อง
เดินทางไปทำเองถึงรัฐที่มีสถานทูตเช่นในกรุง Washington D.C. หรือสถานกงศุลในรัฐ California,
Los Angeles ซึ่งนอกจากจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางและเสียค่าที่พักอีกจำนวนมากแล้ว
เมื่อทำเสร็จต้องกลับไปรอเล่มที่จะส่งมาให้ทางไปรษณีย์อีกนานเกือบเดือนเลยทีเดียว
ที่หนักกว่านั้นก็คือไปรษณีย์ของสหรัฐอเมริกาได้ชื่อว่าไม่น่าไว้ใจมากที่สุดเพราะอาจทำให้
การส่งหนังสือเดินทางมาถึงเราล่าช้ากว่าปกติหรือกระทั่งสูญหายระหว่างทางได้!
เพื่อป้องกันความยุ่งยากข้างต้นให้คอยจนกว่าจะได้รับเอกสาร I-20 จากมหาวิทยาลัยแล้ว
จึงค่อยทำหนังสือเดินทางน่าจะดีกว่า เพราะจะช่วยทำให้หนังสือเดินทางที่จะทำใหม่
มีอายุการใช้งานได้ยาวนานขึ้นจนกระทั่งถึงวันที่เรียนจบ
ปัจจุบันนอกจากที่กรมการกงสุล ถนนแจ้งวัฒนะแล้ว ยังมีสำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว
เปิดให้บริการกับผู้ขอหนังสือเดินทางหลายแห่ง ทั้งในกรุงเทพมหานครและจังหวัดสำคัญ ๆ ดังนี้
กรมการกงสุล แจ้งวัฒนะ ที่อยู่ 123 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210
โทรศัพท์ 02 203 5000 กด 1 (เมื่อเข้าสู่ระบบกรมการกงสุล กด 5 เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่)
สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว บางนา-ศรีนครินทร์ ศูนย์การค้าธัญญาพาร์ค ศรีนครินทร์
ชั้น 2 โซน E โทรศัพท์ 02 136 3800, 02 136 3802 และ 093 -0105246
สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว ปิ่นเกล้า ชั้น 5 อาคารเทสโก้โลตัส
โทรศัพท์ 0-2433-0280-87 และ 093 0105247
สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว มีนบุรี ถนนสุวินทวงศ์
Bic C สุวินทวงศ์ ชั้น 2 อยู่ระหว่าง WATSON กับ Food court
โทรศัพท์ 02 5728442 และ 02 981 7257
และสำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราวตามต่างจังหวัดที่สำคัญ ๆ อีกนับ 10 แห่งทั่วประเทศ
สามารถตรวจสอบรายละเอียดได้จากลิงค์นี้
http://www.consular.go.th/main/th/organize/21037-%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3.html
การจ่ายค่าธรรมเนียม SEVIS
เมื่อได้รับเอกสาร I-20 จากมหาวิทยาลัยและได้รับหนังสือเดินทางเล่มใหม่แล้ว ให้ชำระ
ค่าธรรมเนียม SEVIS ก่อน SEVIS เป็นฐานข้อมูลออนไลน์สำหรับบันทึกข้อมูลของ
นักเรียนต่างชาติที่เข้าไปศึกษาต่อในประเทศสหรัฐอเมริกา การกรอกรายละเอียดการชำระเงิน
ต้องใช้ข้อมูลที่มีอยู่ใน I-20 ค่าธรรมเนียมคิดเป็นเงิน US$200 ซึ่งต้องชำระผ่านบัตรเครดิต
และไม่แน่ใจว่ามีการชำระเงินด้วยช่องทางอื่นอีกด้วยหรือไม่?
เมื่อกรอกข้อมูลเสร็จและชำระเงินเรียบร้อยแล้ว ก็จะมีใบเสร็จรับรองการชำระเงินขึ้นมา
ก็ให้เซฟไว้แล้วปริ้นออกมาเก็บไว้เพื่อนำไปใช้กรอกข้อมูลในการสมัครวีซ่า และนำไปเป็น
หลักฐานในวันสัมภาษณ์ด้วย แต่สำหรับวีซ่าท่องเที่ยวทั่วไปไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียม SEVIS
การชำระค่า SEVIS สามารถทำได้ตามลิ้งค์นี้
https://www.fmjfee.com/i901fee/index.jsp
ขั้นตอนการยื่นสมัครขอวีซ่าของสถานทูตอเมริกา
เมื่อได้รับเอกสาร I-20 จากมหาวิทยาลัยและหนังสือเดินทางและชำระค่าธรรมเนียม SEVIS แล้ว
ต่อไปก็เป็นขั้นตอนการชำระเงินค่าธรรมเนียมวีซ่าที่เคาน์เตอร์ธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา
ซึ่งเป็นเพียงธนาคารเดียวที่รับชำระค่าวีซ่าของสถานทูตอเมริกาอย่างเป็นทางการ
โดยขอแบบฟอร์มได้จากธนาคารหรือ โหลดใบ Pay-In จากเว็บไซต์ของสถานทูต แล้วกรอกชื่อ
ที่อยู่ เลขที่หนังสือเดินทาง พร้อมทั้ง Code จากเอกสาร I-20 และข้อมูลอื่น ๆ เสร็จแล้วชำระ
ค่าธรรมเนียมประมาณ 6,000 บาทบวกลบเล็กน้อยตามอัตราแลกเปลี่ยน ณ ขณะนั้น
(ข้อมูลนี้บันทึกเมื่อ 12 ตุลาคม 2558)
ถ้ามีคุณพ่อคุณแม่หรือญาติพี่น้องที่จะเดินทางไปด้วยก็ยื่นขอวีซ่าไปพร้อมกันเลยจะมีโอกาส
ได้วีซ่าได้ง่ายกว่าโดยไม่ต้องลุ้นให้เหนื่อย เพราะสามารถใช้เหตุผลในการเดินทางเพื่อ
ไปส่งลูกหลาน และมีที่อยู่ของมหาวิทยาลัยเป็นแหล่งอ้างอิงได้เป็นอย่างดี เนื่องจากคุณแม่
มีวีซ่า 10 ปีอยู่แล้วก็เลยสบาย ไม่ต้องทำใหม่ตอนไปส่งน้อง Paul เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
แต่วีซ่าจะหมดอายุกลาง ปี 2016 นี้แล้ว หากต้องการจะไปเยี่ยมลูกในอนาคตก็ต้องเตรียมเอกสาร
ยื่นขอวีซ่าใหม่อีกครั้ง
เมื่อชำระค่าธรรมเนียมเสร็จแล้ว ทางธนาคารก็จะออกใบรับหรือใบเสร็จรับเงินพร้อมด้วยรหัส
สำหรับนำไปกรอกในแบบฟอร์มขอวีซ่าออนไลน์ต่อไป ให้เก็บใบรับหรือสลิปนี้ไว้สำหรับใช้
เป็นหลักฐานในวันสัมภาษณ์อีกเช่นกัน
ขณะเดียวกันระบบก็จะส่งข้อความผ่านอีเมลล์แจ้งว่าได้รับเงินแล้ว ซึ่งจะใช้เวลา 1 วันทำการ
ก็จะสามารถ Log In เพื่อเข้าไปนัดวันสัมภาษณ์บนเว็บไซต์ของสถานทูตอเมริกาได้ โดยเลือก
วันสัมภาษณ์ตามวันเวลาในตารางปฏิทิน ตารางนัดส่วนใหญ่จะว่างพอให้เลือกตามที่เราสะดวก
ยกเว้นช่วง High Season ประมาณเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงที่นักเรียนไทยปิด
ภาคเรียนใหญ่และผู้ปกครองที่มีฐานะก็จะพาบุตรหลานไปเที่ยวหรือเรียนภาคฤดูร้อนที่อเมริกา
รวมทั้งนักเรียนที่จะเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย
เมื่อเลือกวันนัดได้แล้วให้ปริ๊นเก็บไว้เพื่อใช้ยืนยันการนัดสัมภาษณ์หรือ Appointment Confirmation
ซึ่งเป็นเอกสารที่สำคัญมาก ต้องนำไปยื่นเพื่อใช้ในวันสัมภาษณ์ด้วย
แบบฟอร์ม DS-160 หรือแบบฟอร์ม application online ของสถานทูตสหรัฐอเมริกา เป็นแบบฟอร์ม
ที่ผู้ที่ต้องการยื่นขอวีซ่าทุกประเภท รวมทั้งผู้ขอจากทุกประเทศจะต้องกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน
ระหว่างการกรอกแบบฟอร์ม DS-160 หากเจอคำถามที่ยังไม่มีข้อมูลพร้อมกรอก สามารถหยุด
และเซฟเก็บไว้ก่อนแล้วค่อยกลับมาทำต่อเมื่อมีข้อมูลแล้ว การเซฟเก็บข้อมูลสามารถ
ทำได้เรื่อย ๆ นานถึง 30 วันจนกว่าเราจะได้ข้อมูลมากรอกจนครบถ้วนสมบูรณ์
แต่ห้ามเผลอและปล่อยให้ข้อมูลค้างออนไลน์จนหมดเขต 30 วันโดยไม่ได้ Submit ข้อมูล
โดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้ข้อมูลที่กรอกทั้งหมดหรือใบสมัครหมดอายุโดยอัตโนมัติ
และไม่สามารถ Log in เข้าไปได้อีก ต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดตั้งแต่ขั้นตอนการชำระค่าวีซ่าเลยทีเดียว!
รูปถ่ายที่ต้องใช้ประกอบการยื่นขอวีซ่าต้องเป็นรูปหน้าตรง ไม่ยิ้มเห็นฟัน ไม่ใส่แว่น หรือหมวก
ต้องเห็นภาพใบหน้าเกิน 50% ของรูป และ Background ด้านหลังต้องเป็นพื้นสีขาวเท่านั้น
ไม่มีเงา ตัดขนาดให้ตรงตามที่กำหนดแล้วนำไปแนบหรือ Insert ในใบสมัครออนไลน์
หากรูปไม่ตรงตามสเปคที่กำหนด การโหลดรูปขึ้นบนใบสมัครจะถูกปฏิเสธจนกว่าเราจะ
ตัดขนาดรูปให้มีขนาดและความคมชัดถูกต้องตรงตามสเปคที่กำหนดบนเว็บไซต์ นอกจากนั้น
รูปที่ปริ้นก็ต้องเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดด้วย มิเช่นนั้นในวันนัดสัมภาษณ์ถ้าเจ้าหน้าที่
ไม่ให้ผ่านเข้าไปสัมภาษณ์นี่งานเข้าเลย เพราะต้องเสียเวลาไปถ่ายรูปใหม่ ก็คงไม่สนุกแน่ ๆ
ดังนั้นต้องถ่ายให้ตรงตามขนาดที่กำหนดเท่านั้น ซึ่งถ้าไปตามร้านถ่ายรูปส่วนใหญ่จะมี
ความรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว
แต่เนื่องจากคุณแม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน และเพื่อการประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย
จึงใช้กล้องถ่ายรูปให้ลูก ๆ เอง แล้วนำไปอัดที่ร้านขนาดเท่ารูปถ่ายขนาดจัมโบ้ปกติ
หรืออัดขนาด 2P ซึ่งจะมี 2 รูปในหนึ่งใบแล้วใช้คัทเตอร์ตัดให้ได้ขนาด Passport size
หรือ 2x2 นิ้ว สั่งอัดเผื่อ 2-3 ใบรวมค่าใช้จ่ายไม่ถึง 20 บาท ไม่ต้องเสียค่าถ่ายและค่าอัด
ครั้งละ 200-300 บาท สามารถประหยัดตังค์เป็นค่าขนมลูกได้ด้วย ^^
นอกจากนั้นรูปที่ถ่ายเองที่อยู่ในรูปดิจิตอลก็สามารถนำมา Corp หรือตัดขนาดให้ได้ตามสเปค
เพื่อโหลดขึ้นแนบกับใบสมัครออนไลน์ได้ง่ายกว่า ไม่ต้องวุ่นวายให้ร้านโอนรูปออนไลน์ให้
และรูปที่อัดมาสำหรับแนบกับใบสมีคร กับรูปดิจิตอลสำหรับโหลดออนไลน์ก็จะเป็นรูปเดียวกัน
สะดวกและง่ายกว่ากันเยอะเลย
เมื่อกรอกข้อมูลครบถ้วนแล้วให้ปริ๊นเอกสาร DS160 เก็บไว้เพื่อนำไปยื่นในวันนัดสัมภาษณ์
พร้อมกับเอกสารอื่น ๆ เช่น ใบเสร็จรับเงินค่าวีซ่าจากธนาคาร, ใบนัดสัมภาษณ์หรือ
Appointment Confirmation, ใบเสร็จชำระค่า SEVIS, Bank Statement, เอกสาร I-20,
Transcript จากโรงเรียน หนังสือรับรองเงินเดือนของผู้ปกครอง ตั๋วเครื่องบินหรือสำเนา
การจองตั๋ว (ถ้ามี) รูปถ่าย 2 รูป และอื่น ๆ (ถ้ามี)
"กว่าลูกทั้ง 3 คนจะได้ทุนเรียนอเมริกาฟรี" ตอนที่ 7 ขั้นตอนการทำหนังสือเดินทางและการขอวีซ่านักเรียน
ก็จะได้รับเล่มมาครอบครองแล้ว และถ้าต้องการเล่มด่วนภายในวันที่ยื่นก็ยังทำได้ง่าย ๆ
แค่ยื่นเรื่องช่วงเช้าตั้งแต่ 08.30 น. หรือก่อนเที่ยงก็จะสามารถรับเล่มได้ในช่วงบ่ายก่อน
ปิดทำการประมาณ 15.30 น. ^^
เพียงแต่หนังสือเดินทางเร่งด่วนในวันเดียวต้องจ่ายค่าธรรมเนียมพิเศษเพิ่มเป็นเล่มละ 3,000 บาท
กรณีรับเล่มวันรุ่งขึ้นคิดค่าธรรมเนียม 2,000 บาท และ 1,000 บาทสำหรับการรับเล่มปกติ
ในวันที่ 3 หลังวันที่ยื่นขอ เช่นยื่นทำวันจันทร์ได้รับวันพุธ หรือทำวันศุกร์ได้วันอังคาร เป็นต้น
โดยสามารถมารับเล่มเองได้ตามกำหนดเวลาที่ระบุในใบรับ หากมีหนังสือเดินทางเล่มเก่า
ก็ให้นำไปพร้อมใบรับเพื่อยกเลิกเล่มเก่า เสร็จแล้วเจ้าหน้าที่จะคืนมาให้เก็บไว้เป็นที่ระลึกด้วย
กรณีผู้ปกครองหรือบุคคลทั่วไปที่จะทำหนังสือเดินทางเล่มใหม่แทนเล่มเก่าที่กำลังจะหมดอายุ
แต่ในเล่มเก่ายังมีวีซ่าอเมริกาแบบ 10 ปีที่ยังไม่หมดอายุ ในวันที่ไปรับและได้หนังสือเดินทาง
เล่มใหม่มาแล้ว ให้นำหนังสือเดินทางทั้งเล่มใหม่และเล่มเก่า ไปติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อให้ทำ
สลักหลังหรือ Endorsement กำกับว่าวีซ่าในหนังสือเดินทางเล่มเก่ามีผลบังคับใช้ในเล่มใหม่ด้วย
โดยไม่ต้องไปสถานทูตอเมริกาเพื่อยื่นคำร้องขอวีซ่าใหม่แต่อย่างไร ถ้าจำไม่ผิดจะมี
ค่าธรรมเนียมประมาณ 100 บาท
ขอย้ำว่าอย่าลืมให้เจ้าหน้าที่ที่กรมการกลสุลทำสลักหลังโอนวีซ่าไปหนังสือเดินทางเล่มใหม่
มิเช่นนั้นวีซ่าที่อยู่ในเล่มเก่าจะใช้ไม่ได้ เมื่อสลักหลังแล้วและต้องการจะเดินทางไปอเมริกา
ต้องนำหนังสือเดินทางทั้ง 2 เล่มไปใช้คู่กันด้วยเสมอ ขาดเล่มใดเล่มหนึ่งไม่ได้เด็ดขาด
เพราะวีซ่าอยู่ในเล่มเก่า และต้องใช้เล่มใหม่ในการเดินทางนั่นเอง
ในกรณีไม่สะดวกเดินทางมารับหนังสือเดินทางด้วยตนเอง สามารถมอบอำนาจให้ผู้อื่น
มารับแทนได้ โดยในใบรับจะมีช่องให้กรอกรายละเอียดชื่อผู้รับมอบอำนาจ และต้องลง
ลายมือชื่อทั้งของผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจ พร้อมกับนำบัตรประชาชนตัวจริง
ของทั้งสองคน และหนังสือเดินทางเล่มเก่าไปแสดงด้วย กรณีสลักหลังก็สามารถให้
ผู้รับมอบอำนาจทำแทนได้เช่นเดียวกัน
หากไม่ได้ต้องการหนังสือเดินทางแบบเร่งด่วน และไม่ต้องการไปรับเองหรือไม่ต้องการ
มอบอำนาจให้ผู้อื่นไปรับแทน สามารถเลือกให้สถานกงสุลส่งเล่มหนังสือเดินทางไปให้
ทางไปรษณีย์ได้ โดยกรอกชื่อ ที่อยู่สำหรับการส่ง ทาง EMS พร้อมเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มอีก
40 บาทเท่านั้น ใช้เวลารอรับที่บ้านประมาณ 5-7 วันได้เลย
ส่วนมากนักเรียนที่จะไปศึกษาต่อต่างประเทศในระดับปริญญาตรีมักจะมีอายุไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์
บิดามารดาต้องเดินทางไปลงนามให้ความยินยอมด้วยทั้ง 2 คนและต้องนำบัตรประชาชน
และทะเบียนบ้านไปด้วย หากมีการเปลี่ยนชื่อคนใดคนหนึ่ง ให้นำใบสำคัญการเปลี่ยนชื่อไปด้วย
กรณีบิดามารดาจดทะเบียนหย่า จะต้องนำทะเบียนบันทึกการหย่าที่ระบุว่าบุตรอยู่ในความปกครอง
ของผู้ใดเป็นเอกสารตัวจริงมาแสดงแทน หรือกรณีบิดาหรือมารดาคนใดคนหนึ่งเสียชีวิต
ต้องนำใบมรณะบัตรตัวจริงไปเป็นหลักฐานด้วย
เนื่องจากหนังสือเดินทางปัจจุบันมีอายุ 5 ปีไม่ใช่ 10 ปีเหมือนในอดีตที่สามารถต่ออายุเพิ่มได้ 5 ปี
และการเรียนระดับปริญญาตรีในอเมริกาใช้เวลา 4 ปี จึงไม่แนะนำให้ใช้หนังสือเดินทางที่มีอายุ
เหลือน้อยกว่า 4 ปีไปยื่นขอวีซ่า เพราะหนังสือเดินทางจะหมดอายุก่อนที่จะเรียนจบ
การทำหนังสือเดินทางเล่มใหม่ที่หมดอายุระหว่างเรียนยังไม่จบจะยุ่งยากมาก เพราะจะต้อง
เดินทางไปทำเองถึงรัฐที่มีสถานทูตเช่นในกรุง Washington D.C. หรือสถานกงศุลในรัฐ California,
Los Angeles ซึ่งนอกจากจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางและเสียค่าที่พักอีกจำนวนมากแล้ว
เมื่อทำเสร็จต้องกลับไปรอเล่มที่จะส่งมาให้ทางไปรษณีย์อีกนานเกือบเดือนเลยทีเดียว
ที่หนักกว่านั้นก็คือไปรษณีย์ของสหรัฐอเมริกาได้ชื่อว่าไม่น่าไว้ใจมากที่สุดเพราะอาจทำให้
การส่งหนังสือเดินทางมาถึงเราล่าช้ากว่าปกติหรือกระทั่งสูญหายระหว่างทางได้!
เพื่อป้องกันความยุ่งยากข้างต้นให้คอยจนกว่าจะได้รับเอกสาร I-20 จากมหาวิทยาลัยแล้ว
จึงค่อยทำหนังสือเดินทางน่าจะดีกว่า เพราะจะช่วยทำให้หนังสือเดินทางที่จะทำใหม่
มีอายุการใช้งานได้ยาวนานขึ้นจนกระทั่งถึงวันที่เรียนจบ
ปัจจุบันนอกจากที่กรมการกงสุล ถนนแจ้งวัฒนะแล้ว ยังมีสำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว
เปิดให้บริการกับผู้ขอหนังสือเดินทางหลายแห่ง ทั้งในกรุงเทพมหานครและจังหวัดสำคัญ ๆ ดังนี้
กรมการกงสุล แจ้งวัฒนะ ที่อยู่ 123 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210
โทรศัพท์ 02 203 5000 กด 1 (เมื่อเข้าสู่ระบบกรมการกงสุล กด 5 เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่)
สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว บางนา-ศรีนครินทร์ ศูนย์การค้าธัญญาพาร์ค ศรีนครินทร์
ชั้น 2 โซน E โทรศัพท์ 02 136 3800, 02 136 3802 และ 093 -0105246
สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว ปิ่นเกล้า ชั้น 5 อาคารเทสโก้โลตัส
โทรศัพท์ 0-2433-0280-87 และ 093 0105247
สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว มีนบุรี ถนนสุวินทวงศ์
Bic C สุวินทวงศ์ ชั้น 2 อยู่ระหว่าง WATSON กับ Food court
โทรศัพท์ 02 5728442 และ 02 981 7257
และสำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราวตามต่างจังหวัดที่สำคัญ ๆ อีกนับ 10 แห่งทั่วประเทศ
สามารถตรวจสอบรายละเอียดได้จากลิงค์นี้
http://www.consular.go.th/main/th/organize/21037-%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3.html
การจ่ายค่าธรรมเนียม SEVIS
เมื่อได้รับเอกสาร I-20 จากมหาวิทยาลัยและได้รับหนังสือเดินทางเล่มใหม่แล้ว ให้ชำระ
ค่าธรรมเนียม SEVIS ก่อน SEVIS เป็นฐานข้อมูลออนไลน์สำหรับบันทึกข้อมูลของ
นักเรียนต่างชาติที่เข้าไปศึกษาต่อในประเทศสหรัฐอเมริกา การกรอกรายละเอียดการชำระเงิน
ต้องใช้ข้อมูลที่มีอยู่ใน I-20 ค่าธรรมเนียมคิดเป็นเงิน US$200 ซึ่งต้องชำระผ่านบัตรเครดิต
และไม่แน่ใจว่ามีการชำระเงินด้วยช่องทางอื่นอีกด้วยหรือไม่?
เมื่อกรอกข้อมูลเสร็จและชำระเงินเรียบร้อยแล้ว ก็จะมีใบเสร็จรับรองการชำระเงินขึ้นมา
ก็ให้เซฟไว้แล้วปริ้นออกมาเก็บไว้เพื่อนำไปใช้กรอกข้อมูลในการสมัครวีซ่า และนำไปเป็น
หลักฐานในวันสัมภาษณ์ด้วย แต่สำหรับวีซ่าท่องเที่ยวทั่วไปไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียม SEVIS
การชำระค่า SEVIS สามารถทำได้ตามลิ้งค์นี้ https://www.fmjfee.com/i901fee/index.jsp
ขั้นตอนการยื่นสมัครขอวีซ่าของสถานทูตอเมริกา
เมื่อได้รับเอกสาร I-20 จากมหาวิทยาลัยและหนังสือเดินทางและชำระค่าธรรมเนียม SEVIS แล้ว
ต่อไปก็เป็นขั้นตอนการชำระเงินค่าธรรมเนียมวีซ่าที่เคาน์เตอร์ธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา
ซึ่งเป็นเพียงธนาคารเดียวที่รับชำระค่าวีซ่าของสถานทูตอเมริกาอย่างเป็นทางการ
โดยขอแบบฟอร์มได้จากธนาคารหรือ โหลดใบ Pay-In จากเว็บไซต์ของสถานทูต แล้วกรอกชื่อ
ที่อยู่ เลขที่หนังสือเดินทาง พร้อมทั้ง Code จากเอกสาร I-20 และข้อมูลอื่น ๆ เสร็จแล้วชำระ
ค่าธรรมเนียมประมาณ 6,000 บาทบวกลบเล็กน้อยตามอัตราแลกเปลี่ยน ณ ขณะนั้น
(ข้อมูลนี้บันทึกเมื่อ 12 ตุลาคม 2558)
ถ้ามีคุณพ่อคุณแม่หรือญาติพี่น้องที่จะเดินทางไปด้วยก็ยื่นขอวีซ่าไปพร้อมกันเลยจะมีโอกาส
ได้วีซ่าได้ง่ายกว่าโดยไม่ต้องลุ้นให้เหนื่อย เพราะสามารถใช้เหตุผลในการเดินทางเพื่อ
ไปส่งลูกหลาน และมีที่อยู่ของมหาวิทยาลัยเป็นแหล่งอ้างอิงได้เป็นอย่างดี เนื่องจากคุณแม่
มีวีซ่า 10 ปีอยู่แล้วก็เลยสบาย ไม่ต้องทำใหม่ตอนไปส่งน้อง Paul เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
แต่วีซ่าจะหมดอายุกลาง ปี 2016 นี้แล้ว หากต้องการจะไปเยี่ยมลูกในอนาคตก็ต้องเตรียมเอกสาร
ยื่นขอวีซ่าใหม่อีกครั้ง
เมื่อชำระค่าธรรมเนียมเสร็จแล้ว ทางธนาคารก็จะออกใบรับหรือใบเสร็จรับเงินพร้อมด้วยรหัส
สำหรับนำไปกรอกในแบบฟอร์มขอวีซ่าออนไลน์ต่อไป ให้เก็บใบรับหรือสลิปนี้ไว้สำหรับใช้
เป็นหลักฐานในวันสัมภาษณ์อีกเช่นกัน
ขณะเดียวกันระบบก็จะส่งข้อความผ่านอีเมลล์แจ้งว่าได้รับเงินแล้ว ซึ่งจะใช้เวลา 1 วันทำการ
ก็จะสามารถ Log In เพื่อเข้าไปนัดวันสัมภาษณ์บนเว็บไซต์ของสถานทูตอเมริกาได้ โดยเลือก
วันสัมภาษณ์ตามวันเวลาในตารางปฏิทิน ตารางนัดส่วนใหญ่จะว่างพอให้เลือกตามที่เราสะดวก
ยกเว้นช่วง High Season ประมาณเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงที่นักเรียนไทยปิด
ภาคเรียนใหญ่และผู้ปกครองที่มีฐานะก็จะพาบุตรหลานไปเที่ยวหรือเรียนภาคฤดูร้อนที่อเมริกา
รวมทั้งนักเรียนที่จะเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย
เมื่อเลือกวันนัดได้แล้วให้ปริ๊นเก็บไว้เพื่อใช้ยืนยันการนัดสัมภาษณ์หรือ Appointment Confirmation
ซึ่งเป็นเอกสารที่สำคัญมาก ต้องนำไปยื่นเพื่อใช้ในวันสัมภาษณ์ด้วย
แบบฟอร์ม DS-160 หรือแบบฟอร์ม application online ของสถานทูตสหรัฐอเมริกา เป็นแบบฟอร์ม
ที่ผู้ที่ต้องการยื่นขอวีซ่าทุกประเภท รวมทั้งผู้ขอจากทุกประเทศจะต้องกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน
ระหว่างการกรอกแบบฟอร์ม DS-160 หากเจอคำถามที่ยังไม่มีข้อมูลพร้อมกรอก สามารถหยุด
และเซฟเก็บไว้ก่อนแล้วค่อยกลับมาทำต่อเมื่อมีข้อมูลแล้ว การเซฟเก็บข้อมูลสามารถ
ทำได้เรื่อย ๆ นานถึง 30 วันจนกว่าเราจะได้ข้อมูลมากรอกจนครบถ้วนสมบูรณ์
แต่ห้ามเผลอและปล่อยให้ข้อมูลค้างออนไลน์จนหมดเขต 30 วันโดยไม่ได้ Submit ข้อมูล
โดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้ข้อมูลที่กรอกทั้งหมดหรือใบสมัครหมดอายุโดยอัตโนมัติ
และไม่สามารถ Log in เข้าไปได้อีก ต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดตั้งแต่ขั้นตอนการชำระค่าวีซ่าเลยทีเดียว!
รูปถ่ายที่ต้องใช้ประกอบการยื่นขอวีซ่าต้องเป็นรูปหน้าตรง ไม่ยิ้มเห็นฟัน ไม่ใส่แว่น หรือหมวก
ต้องเห็นภาพใบหน้าเกิน 50% ของรูป และ Background ด้านหลังต้องเป็นพื้นสีขาวเท่านั้น
ไม่มีเงา ตัดขนาดให้ตรงตามที่กำหนดแล้วนำไปแนบหรือ Insert ในใบสมัครออนไลน์
หากรูปไม่ตรงตามสเปคที่กำหนด การโหลดรูปขึ้นบนใบสมัครจะถูกปฏิเสธจนกว่าเราจะ
ตัดขนาดรูปให้มีขนาดและความคมชัดถูกต้องตรงตามสเปคที่กำหนดบนเว็บไซต์ นอกจากนั้น
รูปที่ปริ้นก็ต้องเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดด้วย มิเช่นนั้นในวันนัดสัมภาษณ์ถ้าเจ้าหน้าที่
ไม่ให้ผ่านเข้าไปสัมภาษณ์นี่งานเข้าเลย เพราะต้องเสียเวลาไปถ่ายรูปใหม่ ก็คงไม่สนุกแน่ ๆ
ดังนั้นต้องถ่ายให้ตรงตามขนาดที่กำหนดเท่านั้น ซึ่งถ้าไปตามร้านถ่ายรูปส่วนใหญ่จะมี
ความรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว
แต่เนื่องจากคุณแม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน และเพื่อการประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย
จึงใช้กล้องถ่ายรูปให้ลูก ๆ เอง แล้วนำไปอัดที่ร้านขนาดเท่ารูปถ่ายขนาดจัมโบ้ปกติ
หรืออัดขนาด 2P ซึ่งจะมี 2 รูปในหนึ่งใบแล้วใช้คัทเตอร์ตัดให้ได้ขนาด Passport size
หรือ 2x2 นิ้ว สั่งอัดเผื่อ 2-3 ใบรวมค่าใช้จ่ายไม่ถึง 20 บาท ไม่ต้องเสียค่าถ่ายและค่าอัด
ครั้งละ 200-300 บาท สามารถประหยัดตังค์เป็นค่าขนมลูกได้ด้วย ^^
นอกจากนั้นรูปที่ถ่ายเองที่อยู่ในรูปดิจิตอลก็สามารถนำมา Corp หรือตัดขนาดให้ได้ตามสเปค
เพื่อโหลดขึ้นแนบกับใบสมัครออนไลน์ได้ง่ายกว่า ไม่ต้องวุ่นวายให้ร้านโอนรูปออนไลน์ให้
และรูปที่อัดมาสำหรับแนบกับใบสมีคร กับรูปดิจิตอลสำหรับโหลดออนไลน์ก็จะเป็นรูปเดียวกัน
สะดวกและง่ายกว่ากันเยอะเลย
เมื่อกรอกข้อมูลครบถ้วนแล้วให้ปริ๊นเอกสาร DS160 เก็บไว้เพื่อนำไปยื่นในวันนัดสัมภาษณ์
พร้อมกับเอกสารอื่น ๆ เช่น ใบเสร็จรับเงินค่าวีซ่าจากธนาคาร, ใบนัดสัมภาษณ์หรือ
Appointment Confirmation, ใบเสร็จชำระค่า SEVIS, Bank Statement, เอกสาร I-20,
Transcript จากโรงเรียน หนังสือรับรองเงินเดือนของผู้ปกครอง ตั๋วเครื่องบินหรือสำเนา
การจองตั๋ว (ถ้ามี) รูปถ่าย 2 รูป และอื่น ๆ (ถ้ามี)