ประสบการณ์การผ่าทอนซิล ครั้งแรก และครั้งเดียวในชีวิต พอ!!! เจ็บอ๊ะ T_T

กระทู้สนทนา
เนื่องด้วยเราได้คิวนัดผ่าทอนซิล วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2558 ที่ผ่านมา จึงอยากจะมาแชร์ให้ผู้ที่อาจจะร่วมชะตากรรมหลังจากเราให้ได้รู้ขั้นตอนและเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับเข้ารับการผ่าตัดนะคะ

หลังจากหาคุณหมอ เพื่อตรวจทอนซิล เพราะไข้ขึ้นเมื่อช่วงเดือนสิงหาคม คุณหมอก็แจ้งว่าต้องผ่าตัดละนะ เพราะว่าต่อมทอนซิลค่อนข้างใหญ่มาก เราเองซึ่งก็โดนคุณหมอทักมาหลายคน หลายโรงพยาบาลแล้ว ก็เอาวะ ผ่าก็ผ่า คุณหมอนัดวัน ได้เป็นวันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2558 โดยต้องมาตรวจเลือดและตรวจร่างกายวันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2558 เพื่อเช็คสภาพเม็ดเลือด ความผิดปกติของเม็ดเลือด ตรวจเอกซ์เรย์ปอด ตรวจ HIV บลา ๆ คุณหมอก็แจ้งผลเลย สรุปเข้ารับการผ่าตัดได้ตามปกติ เพราะผลทุกอย่างออกมาโอเคหมด โดยต้องรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ห้ามป่วย ถ้าป่วย ต้องเลื่อนผ่า
คืนก่อนถึงวันผ่า ต้องอดอาหารตั้งแต่เที่ยงคืน พอเช้าวันอาทิตย์ เราไปถึงโรงพยาบาลตอนตีห้า ไปคนเดียว เดี่ยว ๆ พร้อมกระเป๋า 1 ใบ สัมภาระส่วนตัวว่างั้น สำหรับการนอนโรงพยาบาล 1-2 คืน หิ้วสัมภาระเฉพาะของมีค่าไปฝากไว้ที่เค๊าท์เตอร์ฉุกเฉิน ตอนนี้พนักงานด้านประกันที่เรามีประกันกลุ่ม และประกันสังคมอยู่ที่โรงพยาบาลนี้ก็เอาเอกสารต่าง ๆ มาให้เซ็นต์ก็นั่งรอ สักพัก ประมาณ 6 โมงเช้า คุณพยาบาลก็นำขึ้นตึก ไปที่ห้องพักที่เราจะต้องพักฟื้น เพื่อเอาสัมภาระที่เหลือเก็บไว้ที่ห้อง และเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเตรียมเข้าห้องผ่าตัดโดยไม่ต้องใส่ชั้นในสักตัว ระหว่างนั้นก็มีพี่ ๆ พยาบาลเข้ามาเรื่อย ๆ รวมทั้งมาเจาะน้ำเกลือที่มือข้างที่เราไม่ถนัด

**อย่าเกร็งเวลาที่เจาะสายน้ำเกลือนะคะ เส้นมันจะดิ้น เราโดนไป 2 รู เรียบร้อยโรงเรียนน้ำเกลือค่ะ เจ็บตัวฟรีเลยตู!!!**

หลังจากนั้นเราก็งีบหลับ ก็นะ นอนห้าทุ่มครึ่ง กว่าจะหลับ และตื่นตีสี่ มาโรงพยาบาล ไม่ไหวอ่ะ ง่วง ความรู้สึกตอนนั้นก็แบบ ปลง ๆ เอาวะ ผ่าก็ผ่า ไม่ได้กลัวนะ แต่ตื่นเต้นนิดนึง

**พยายามปัสสาวะให้เรียบร้อยก่อนพี่ ๆ พยาบาลมาเข็นไปห้องผ่าตัดนะคะ**

จนเวลาแปดโมงสี่สิบห้า พี่พยาบาล 2 คน เข้ามาแก้ผ้าเราบนเตียง ย้ำว่าแก้ผ้า เพื่อเปลี่ยนชุดที่เราใส่อยู่กลับด้านจากผูกมัดด้านหน้า เป็นผูกมัดที่ด้านหลังเพื่อสะดวกสำหรับการผ่าตัด (บอกเราก็ได้ เดี๋ยวเราเปลี่ยนเองก็ได้ อายนะคะเฮ้ย) แล้วก็ออกไป สักพักพี่พยาบาลพร้อมบุรุษพยาบาล เพื่อย้ายจากเตียงนอนปกติเราไปนอนเตียงขนย้ายไปห้องผ่าตัด พอถึงห้องผ่าตัด ก็มีพยาบาลมาคลุมผมให้ นอนรออยู่บนเตียง สักพัก คุณหมอเจ้าของไข้ก็เข้ามาพูดคุยถึงการผ่าตัดที่จะเกิดขึ้นอะไรอย่างไรบ้าง และเข็นเราเข้าไปในห้องผ่าตัด

เราก็ยังนิ่งนะ เพราะรู้ว่า เดี๋ยววางยา ผ่าเราก็ไม่รู้สึกอะไร ก็เลยไม่ได้กลัว เพราะที่อ่าน ๆ มาตามเว็บต่าง ๆ สภาวะที่ผ่าแล้วต่างหากที่น่ากลัว และนรกชัด ๆ !

พอเข้าไปในห้องผ่าตัด ไฟดวงใหญ่ก็อยู่บนตัวเรา หลังจากที่เราย้ายจากเตียงเคลื่อนย้ายไปนอนบนเตียงผ่าตัด หนาวมากกกกก จนพี่ ๆ พยาบาลลดอุณหภูมิห้องผ่าตัดให้ก่อน เราก็ต้องปลดแขนเสื้อออกข้างนึง ก็มีพยาบาลมาเตรียมร่างกายเรา โดยการใส่ที่วัดชีพจร ประมาณสามจุด ได้ และรัดอะไรสักอย่างน่าจะเป็นตัววัดไว้ที่ต้นแขนขวา สักพัก น่าจะเป็นคุณหมอวิสัญญีผู้หญิง ก็เข้ามาในห้องผ่าตัด ในระหว่างที่คุณหมอ และพี่ ๆ พยาบาลกำลังง่วงอยู่กับการเตรียมตัว ใส่ชุดผ่าตัด เตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ คุยกันมุ้งมิ้งในระหว่างนั้น

คุณหมอวิสัญญี ก็แจ้งว่า จะฉีดยาสลบเข้าสายน้ำเกลือนะคะ ระหว่างนั้นก่อนฉีด เราก็ดมออกซิเจนอยู่แล้วแหละ หายใจเข้า หายใจออก พอฉีดยาสลบเข้าสายน้ำเกลือ รู้สึกได้เลยว่าแสบแขนซ้ายมาก สักพัก ก็คงปล่อยยาสลบมาตามท่อออกซิเจน เพราะจำได้ว่า ภาพแสงไฟบนตัวเรา ค่อย ๆ เบลอ ๆ ๆ ๆ และไม่รู้สึกตัวอะไรอีกเลย

ตัดภาพ!!!

เราสะลึมสะลืองัวเงีย แต่รู้สึกว่า เหมือนมีใครคุยกัน ประหนึ่งว่า ขอโทษนะคะ จะใส่แพมเพิร์ตให้นะ ปวดปัสสาวะไม๊? บลา ๆ ๆ (เอ๊ะ นี่ชั้นใส่แพมเพิร์ต เอ๊ะ ชั้นก็โป๊สิ เอ๊ะ ๆ ) ไม่ทันละ 5555+ ก็ลืมตาค่ะ ถามพี่พยาบาลว่าที่นี่ที่ไหน เพราะว่าไม่ใช่ห้องพักฟื้นเมื่อเช้าที่เราขึ้นไปมา พี่พยาบาลบอก อ๋ออ ห้อง ICU ค่ะ พักสังเกตอาการสัก 6 ชั่วโมงนะคะ แล้วค่อยขึ้นวอร์ดเนาะ สังเกตตัวเองก็อ้าว ใส่เสื้อตามปกติแล้วนี่หว่า หมดกัน เฮ้ออออ….. ในความรู้สึกตอนนั้น ปวดปัสสาวะมาก แต่ว่าพยายามเบ่งเท่าไหร่ก็ไม่ออก ปวดจนปวดท้องแล้ว แต่เบ่งไม่ออกสักที ก็เลยกวักมือหยอย ๆ เพราะพูดไม่ได้ เริ่มปวดคอมาก ๆ พยายามสื่อช้า ๆ ว่า อยากให้ปรับเตียงนั่งให้หน่อย ท่านอนทำให้ปัสสาวะไม่ออก เบ่งไม่ออก พี่พยาบาลก็ปรับให้ เบ่งอยู่นาน กว่าจะปัสสาวะได้ เต็มผืนเลย จนพี่พยาบาลมาเปลี่ยนให้ใหม่เป็นแผ่นที่สอง และเช็ดทำความสะอาดให้อย่างดี เออ นาทีนี้ เอาเหอะ ตามสบายเลยค่ะพี่ขา…. เรี่ยวแรงไม่มี มึนยาค่ะ

พี่ๆ พยาบาลห้อง ICU น่ารักมาก พูดจาดีมาก ถามไถ่ตลอด โอเคเลยค่ะ พอเราเริ่มรู้สึกตัวได้เต็มที่ประมาณ 80% ก็ถามพยาบาลว่าประมาณกี่โมงแล้ว ก็ได้ความว่าประมาณ สิบโมงกว่า ๆ แสดงว่าเราเข้าห้องผ่าไปประมาณชั่วโมงนึงได้ ระหว่างนั้นเราก็นอนพังพาบไป เห็นคุณหมอ พี่ ๆ พยาบาลเดินไปมาในห้อง ICU เห็นญาติ ๆ บางคนมองเข้าไปในห้อง เพื่อมองดูญาติของตัวเองที่พักฟื้นอยู่ผ่านกระจกห้อง ไม่ต้องสงสัย ไม่มีญาติเรา  เรามาคนเดียว หุหุหุ

สักประมาณเกือบเที่ยง พี่พยาบาลนำยาใส่ไซริงค์มาให้ ถามกินได้ไม๊? เจ็บมากไม๊? ค่อยดูดยานะคะ บลา ๆ แล้วก็เอาอาหารเที่ยงมาให้ คือ น้ำหวานเฮลส์บลูบอย และไอสครีมรสวนิลาประมาณ 2 สคู๊ป คุณพยาบาลบอกว่าไม่ไหว ไม่หมดก็ไม่ต้องฝืน สรุป เราฝืนกินจนหมด กินไปร้องไห้ไป น้ำตาซึมมาก มันปวด ปวดมาก ๆ เลย ทรมานมาก ๆ ไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่อยากหายก็ต้องโด๊ปอ่ะนะ พยาบาลก็ฉีดยาแก้ปวดเข้าสายน้ำเกลือให้ และลูบแขนตามเส้นให้เพราะยาแสบเส้นมาก (คาดว่าจะเป็นมอร์ฟีนนะคะ) รู้สึกดีมาก เบลอ ๆ มึน ๆ ดี ตอนนี้พี่พยาบาลสังเกตเห็นว่ารูสายน้ำเกลือที่สองที่เจาะไว้ ทำไมมันปูด ๆ ผิดปกติ มันมีน้ำเกลือคั่ง สรุป เจาะใหม่ค่ะ รูที่ 3 สนุกสุขสันต์หรรษามาก 5555+ สามรูในวันเดียว เย้!!!

หลังจากกินยาหลังอาหาร (ความปวดอย่าไปพูดถึง หนักหนาสาหัสมาก) ก็ได้เวลาขึ้นห้องพักฟื้นของเรา เราก็รีเควสขอมือถือเลยค่ะที่ฝากไว้ จะแจ้งญาติ ๆ ให้ทราบว่ายังอยู่ดี วางยาแล้วฟื้นค่ะ ไม่ต้องห่วง พอมาถึงห้อง เราก็นอนพัก พยาบาลวัดความดัน ดูความเรียบร้อย วัดไข้ ถามไถ่ และออกไป เราก็นอน ๆ รอสักพัก ของที่เราฝากไว้ก็นำมาให้ถึงห้อง โอเคมากค่ะ ได้สื่อสารแล้ว เพื่อนเราทราบเรื่องก็เลยจะมานอนเป็นเพื่อน โอย ดีใจมาก มีคนอยู่ด้วยแล้ว 5555+

สรุป เราอยู่โรงพยาบาล 2 วัน แผลสวยค่ะ แต่เริ่มไอ คืนที่จะออกจากโรงพยาบาล ไม่ได้มีไข้แต่เนื่องจากลำคอมีสิ่งแปลกปลอม ร่างกายเราก็จะพยายามไอออก เพราะพวกสะเก็ดแผล หรือระบบสร้างผิวอะไรสักอย่างมันทำงาน และมันคงไประคายคอค่ะ

**ถ่ายรูปดูไว้เปรียบเทียบในแต่ละวัน หากมีความผิดปกติ จะได้สังเกตุได้นะคะ**

กลับมาห้อง ไม่ต้องทำอะไร กินอะไรก็ปวดและแสบค่ะ พยายามทานตามที่โรงพยาบาลให้ทาน สรุป ไม่ได้น้ำเกลือแล้ว ร่างกายหิวง่ายกว่าตอนอยู่โรงพยาบาลเยอะมากค่ะ แค่ไอศกรีม และน้ำหวาน เอาไม่อยู่ ได้โรคปวดกระเพาะมาเพิ่ม ก็ลองทานนั่นทานนี่เรื่อง โยเกิร์ต นม ไวตามิลค์ นมเปรี้ยว ไมโล โอวัลติล สรุป แสบหมดค่ะ เลยต้องกลับมากินไอศกรีมรสวนิลา กับน้ำเฮลส์บลูบอยอย่างเดิม

**พยายามอย่าออกกำลังกายทำนั่นทำนี่นะคะ เนื่องจากเราทานได้น้อยกว่าปกติมากมาย ร่างกายมันไม่มีพลังงานเหลือเยอะแยะพอที่จะให้เราไปทำอย่างอื่นได้ ถ้าเผาผลาญเยอะ หมายความว่าเราต้องกินเพิ่ม ทรมานคอค่ะ**

อาการแสบคอ มันจะร้าวไปถึงหูเลยค่ะ แสบ ปวด นาน ทรมานเป็นสิบนาที ทุกวันนี้ก็ยังปวดอยู่นะคะ รวมทั้งพอไอเสร็จ ก็จะปวดแบบนี้เหมือนกัน แต่เมื่อวันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม (เมื่อวานนี้) ต้องวิ่งกลับไปโรงพยาบาลใหม่ค่ะ เนื่องจากนอนไม่ได้ ไอทั้งคืน ตื่นทุกชั่วโมงมาสองคืนแล้วตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล และมีเลือดออก ช๊อคไปแป๊บ เลยถลาไปโรงพยาบาลในตอนสาย ๆ ค่ะ ได้ยาแก้ปวดมาเข็มนึง และยาอย่างอื่นที่แรงกว่าเดิมมาเพิ่ม พร้อมน้ำเกลือกลั้วคอ ก็โอเคขึ้นนะคะ เพราะว่าคอเราบวม อักเสบ ลิ้นไก่บวมเป่งเลยค่ะ ที่สำคัญ ได้ยาพ่นแบบผสมยาชามาด้วย เลอค่ามากค่ะ มันทำให้เราไม่รู้สึกระคายคอ พอไม่ระคายคอก็ไม่อยากไอ นอนสบายค่ะ แต่ว่าพยายามไม่พ่นเยอะ เนื่องจากรู้สึกเหมือนมีเอฟเฟคกับกระเพาะค่ะ มันมวน ๆ ท้องอยากอาเจียรอย่างไรไม่รู้

จนวันนี้ ไอน้อยลง พยายามจิบน้ำมากขึ้น แอบกินโจ๊กแบบอุ่นจนเกือบเย็นใส่ไข่ลวกเพิ่ม ก็หิวอ่ะเนาะ พยายามสังเกตว่าเรากินอะไรได้ ที่ไม่แสบคอ สรุป น้อยมากกกก แทบจะไม่มี แสบทุกอย่าง กินยาน้ำก็ยังแสบ เฮ้ออ ทรมานมากชีวิตนี้ มียาประทังชีวิตบรรเทาปวด หมดฤทธิ์ยา คอก็ปวดตุ๊บ ๆ อีกระลอก ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าจะหายเมื่อไหร่ ถ้านับจากวันผ่า นี่ก็ผ่านมา 6 วัน เดี๋ยววันจันทร์ไปพบแพทย์อีกรอบค่ะ

เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ ^__^ หวังว่าคงมีประโยชน์สำหรับคนที่รอขึ้นเขียงน้า อิอิอิ

สำหรับค่าใช้จ่าย เราใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนค่ะ ประมาณ หกหมื่นกว่าบาท แต่เรามีประกันกลุ่มของบริษัท และประกันสังคมที่โรงพยาบาลนี้ค่ะ ส่วนต่าง แปดพันกว่าบาทก็วิ่งเข้าประกันสังคม สรุป เราไม่ได้เสียเงินสักบาทเลยค่ะ

การผ่าไม่น่ากลัว แต่ที่น่ากลัวคือหลังผ่าค่ะ 55555555+
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่