ทุกๆอย่างถูกเขียนขึ้นมาหลังจากได้มีโอกาสไป Slow life ในไต้หวันแล้วแบบเห้ย!! นี่มันประเทศในฝันชัดๆ เนื่องจากเป็นคนชอบอ่าน ชอบหาข้อมูล ชอบเที่ยวอยู่แล้วเป็นทุนเดิม วันนี้จะมาโม้ไต้หวันแบบง่ายๆให้ฟังซัก10ข้อแบบย่อๆละกันนะ ว่าไต้หวันเนี้ยมันมีดีอะไร ทำไมใครไปก็หลงรักกลับมากันทุกคน
"ไต้หวัน"
กล่าวถึงประเทศนี้ขึ้นมากลางวงสนทนาของเพื่อนๆ สิ่งที่ได้ยินตามมานั้นคือ "ไปทำไมหรอ" "มีอะไรที่ไต้หวัน" "ไปเกาหลี ญี่ปุ่น ไม่ดีกว่าหรอ?"
หรือหนักสุดก็ "ประเทศอะไร? อยู่ตรงไหน?" น่าแปลกใจที่คนไทยบางส่วนมองข้ามประเทศแห่งนี้ไป นี่มันคือสุดยอดดินแดนแห่งความลงตัวในทุกๆด้านเลยนะ!! ไอเกาะรูปมันเทศอันเนี้ยแหละ ที่ไปแล้วไม่อยากกลับมาอีกเลย ใครๆก็หลงรัก ไม่ว่าจะเป็น เรื่องราวในประวัติศาสตร์ งานศิลปะ ดนตรี การท่องเที่ยว ของกิน หรือ จุดศูนย์รวมแห่งเทคโนโลยีที่เราใช้ๆกันโดยไม่รู้ตัวว่าสิ่งเหล่านี้เกิดจากประเทศเกาะเล็กทางตอนใต้ของญี่ปุ่นจะให้เล่าทั้งหมดก็ยาวไป เราจะขอสรุปประเด็นเด็ดๆที่จะทำให้คุณๆรู้จักและอยากจะไปลองสัมผัสไต้หวันซักครั้งดู เอางี้นะผมจะแบ่งเป็น 10 ข้อหลักๆที่จะทำให้คุณสนใจและหันกลับมามองประเทศนี้ใหม่อีกครั้ง
เหมือนมันเทศไหมครับ ฮ่าๆ
1.ประวัติศาสตร์
ประเทศส่วนใหญ่มักมีประวัติศาสตร์ที่น่าตื่นเต้นยาวนานและยิ่งใหญ่กันมาก่อน แต่ผิดกันกับไต้หวันที่มีประวัติศาสตร์ที่แสนสั้น ช่วงเวลาที่น่าสนใจจริงๆก็คงเป็นหลังช่วงสงครามโลกครั้งที่2 ก่อนหน้านั้นไต้หวันโดนกองทัพญี่ปุ่นอันเกรียงไกล เข้าไปตบมาจากจีนในช่วงค.ศ.1895-1945 ระยะเวลาที่อยู่ภายในการปกครองของญี่ปุ่นนั้นไต้หวันได้รับการพัฒนาต่างๆที่จีนไม่เคยทำให้ ทั้งระบบเทคโนโลยี ระบบรถไฟเป็นต้น แต่หลังจากสงครามยุติลง อังกฤษและอเมริกาก็ไปประชุมกันแถวๆอียิปว่า "เห้ย!! ถ้าเราชนะสงครามเดี๋ยวจะยึดเกาะมันเทศคืนให้นะ" นั้นแหละเป็นเหตุผลที่หลังจากญี่ปุ่นโดนระเบิดหนักๆไป2ลูก จีนก็ได้เกาะมันเทศคืนมา
จากรูปเห็นวันที่และปี ค.ศ. ชัดเจน นั้นแหละ 1945 ที่ไต้หวันเปลี่ยนมือจากญี่ปุ่นกลายเป็นจีนอีกครั้ง
จากรูปทางซ้ายคือจีนแผ่นดินใหญ่ มังกร คือ ราชวงค์ชิง ดร.ซุน ล้มราชวงค์ลงและเริ่มปกติจีนตามแนวประชาธิปไตย จนถึงปี 1949 เกิดสงครามกลางเมืองเปลี่ยนขั้วอำนาจ ประชาชนจีนผู้รักประชาธิปไตยเลยต้องหนีกันมาไต้หวัน
ส่วนเกาะไต้หวันเป็นญี่ปุ่นจนถึงปี1945 ญี่ปุ่นแพ้สงครามโลก ไต้หวันกลับมาเป็นจีนอีกครั้งภายใต้จีนแผ่นดินใหญ่ที่นำโดน ดร.ซุนที่เป็นหัวประชาธิปไตยเต็มตัว แต่สุดท้ายพอเกิดการเปลี่ยนอำนาจ จีนแผ่นดินใหญ่เลือกเดินระบบคอมมิวนิส ไต้หวันขอเดินหน้าต่อในระบบประชาธิปไตย
อันนั้นคือเรื่องภายนอก ส่วนเรื่องภายในก็คือ ตอนเกิดสงครามโลกตอนนั้นจีนโดนปกครองโดยพรรคชาตินิยม คือมันก็กึ่งๆประชาธิปไตยแล้วแหละ ซึ่งพรรคชาตินิยมก็ไม่ค่อยถูกขี้หน้ากับท่านประธานเหมาแห่งพรรคคอมมิวนิสต์ซะด้วย ซึ่งก็สู้รบเกมส์การเมืองกันมาตลอดและสุดท้าย ท่านเจียง ไคเช็ก ก็พ่ายแพ้ท่านประธานเหมาในที่สุด จนต้องหนีและอพยบมาที่เกาะมันเทศ(เกาะไต้หวัน)ในที่สุด และตั้งประเทศจีนขึ้นมาใหม่โดยได้รับการสนับสนุนจากอเมริกาซะด้วย เพื่อวันนึงจะกลับไปยึดประเทศจีนแผ่นดินใหญ่คืนมาจากท่านเหมา ถ้าเราไปไต้หวันจะเห็นได้ว่าจะมีอนุสาวรีย์ทั้งดร.ซุน กับนายพล เจียง อยู่ ซึ่งคนไต้หวันนับถือเป็นอย่างมาก
ท่าน ดร.ซุน ยัตเซน ผู้เปลี่ยนประวัติศาสตร์จีนทุกๆอย่าง เอาจริงๆแทบจะเปลี่ยนประวัติศาสตร์โลกเลยแหละ
ท่านนายพลเจียง กำลังยิ้มให้ประชาชนตลอดเวลา ลูกชายของท่านเป็นคนเปลี่ยนระบบไต้หวันให้เป็นระบบประธานาธิบดี
เรื่องน่ารู้เพิ่มเติมนิดๆหน่อยๆ
คือจริงๆแล้วเหมา เจ๋อตง กับ เจียง ไคเช็กเป็นเพื่อนกันมาก่อนแต่เนื่องจาก เจียง ไคเช็กเป็นมือขวาสำคัญของ ดร.ซุน ยัตเซน และมีความใกล้ชิดกับ ซุน มาก ซึ่งซุนเองก็มีแนวคิดเป็นประชาธิปไตย เจียงจึงมีแนวคิดคล้ายๆกับ ซุน นั่นคือ ประเทศจีนต้องปกครองในระบอบประชาธิปไตย แต่ เหมาต้องการให้จีนปกครองแบบคอมมิวนิสต์ จึงเหตุให้ทั้งคู่ไม่ถูกกันและเป็นศัตรูกันจนถึงวันเสียของทั้งคู่
จริงๆแล้วที่อเมริกากับอังกฤษมาช่วยจีนก็เพราะท่าน ดร.ซุน ยัตเซน เนี้ยแหละสนิทกับฝรั่งไปทั่วโลก ได้ไปเรียนในต่างแดน รับความคิดประชาธิปไตยมาเต็มหัวเลย ที่เกิดของท่าน ซุน ยัดเซน คือ หมู่บ้านจงซาน(เดิมเป็นหมู่บ้านชุ่ยเฮิง) อำเภอเซียงซาน จังหวัดก่วงตง ประเทศจีน
สุดท้ายแล้วไต้หวันก็ยังไม่ถือว่าเป็นประเทศเพราะจีนไม่ยอม แต่คนไต้หวันบอกว่า เราคือประเทศ เราคือคนจีนไต้หวัน ไม่ใช่คนจีนคอมมิวนิสต์แบบนั้น ไต้หวันเลยแก้เกมส์ด้วยการไปตั้งสำนักงานสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป โดนหลีกเลี่ยงการใช้คำว่าไต้หวัน จีน หรือสถานทูตเป็นต้น เพื่อกันปัญหาหลายๆอย่าง ทั้งการดูมีประเทศจีน2ประเทศหรือเป็นสัญญาบอกว่าจะแยกตัวเป็นประเทศจากจีน เป็นต้น แต่หลักๆแล้วก็คือสถานทูตนั้นแหละ หน้าที่เดียวกัน คนไทยต้องไปขอวีซ่ากันที่นี่แหละ >>>
http://www.taiwanembassy.org/TH
กรอกวีซ่า
https://visawebapp.boca.gov.tw.
2.เศรษฐกิจและการเมือง
อันนี้ถือว่าเทพมากๆสำหรับประเทศที่โดนโยนกันไปโยนกันมาเปลี่ยนมือกันบ่อยเหลือเกิน หลักจากสงครามสงบ ไต้หวันถือว่าพัฒนาเร็วมากกกกกก ในทุกๆด้าน เศษรฐกิจเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว อุตสาหกรรมต่างๆถูกพัฒนาขึ้นมาเทียบเท่าประเทศที่เจริญแล้ว จนตอนนี้ไต้หวันเนี้ยแหละเป็นหนึ่งในประเทศที่เจริญแล้ว ไต้หวันถูกตั้งฉายาไปต่างๆนาๆว่า มังกรตัวที่2ของเอเชีย (ตัวที่1ก็จีนแผ่นดินใหญ่อะแหละ)
หรือ อีกอันนึงที่ฮิตมากๆคือ เสือตัวที่4แห่งเอเชีย (4เสือที่เจริญด้วยความรวดเร็วคือ ฮ่องกง สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และ ไต้หวันนั้นเอง)
ไต้หวันนั้นเป็นประเทศที่ค่าเงินนั้นมีสกุลเงินเป็นของตัวเอง ที่เกิดจากที่ตอนท่านเจียง ออกจากไต้หวันนั้นแหละ นำทองคำในพระราชวังต้องห้ามออกมาด้วยหมดเลย และในช่วงยุคที่จีนเศรษฐกิจตกต่ำนั้น ก็ได้ใช้จังหวะเนี้ยแหละ เอาทองคำที่มีสร้างสกุลเงินตัวเองซะเลย ซึ่งประเทศไต้หวันนั้นมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 14 ของโลก หน่วยเงินตราที่ใช้ คือ ดอลลาร์ไต้หวัน (NT$)
ทรัพยากรธรรมชาติส่วนใหญ่นั้นมีจำนวนน้อย แต่ไต้หวันนั้นเป็นประเทศอุตสาหกรรมชั้นสูง เป็นอุตสาหกรรมที่เป็นเน้นไปที่การผลิต และมีการนำเข้าน้ำมันดิบและแร่เหล็ก เพื่อนำไปผลิตรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์ ส่งออกไปจำหน่ายทั่วโลก ถือเป็นการค้าโดยการผลิต ในปัจจุบันมีการนำเข้าชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ บางทีคอมหรือมือถือที่คุณๆใช้อ่านกันอยู่เนี้ย เป็นของไต้หวันโดนที่คุณไม่รู้ด้วยนะว่าสิ่งนี้ นั้นเป็นสินค้าไต้หวัน เอาไว้จะเล่าลึกๆในข้อเทคโนโลยีละกัน
ทุกวันนี้ไต้หวันกับจีนก็อยู่กันแบบแยกกันอยู่ แต่ก็ไม่แยกประเทศ นักธุรกิจในไต้หวันเข้าไปลงทุนในจีนมากมาย ในเมืองจีนมีบริษัทไต้หวัน อยู่ประมาณ 70,000 กว่าบริษัท ซึ่งเยอะมากๆ เกิดการจ้างงานเยอะมากๆในเมืองจีนจากบริษัทไต้หวัน
3.การศึกษา
การศึกษาเนี้ย เรียกได้ว่าอันดับต้นๆของเอเชียเลยแหละ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2004-2009 SCI และ SSCI ได้ตีพิมพ์ตัวเลขการเติบโตของไต้หวันจากประมาณช่วงศตวรรษที่ 20 ถึงศตวรรษที่ 15 รวมถึงสภาเศรษฐกิจโลก (World Economy Forum or WEF) ก็ได้รายงานอันดับการแข่งขันไว้ว่าการศึกษาต่อและอบรมในไต้หวันติดอยู่อันดับสูง อย่างไรก็ตามค่าครองชีพและการใช้จ่ายในการศึกษาอยู่ในเกณฑ์สมเหตุสมผล ซึ่งช่วยลดคอร์สในการไปเรียนต่อได้เป็นอย่างดี
สำหรับสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษามีทั้งหมด 164 สถาบัน ซึ่งเน้นความแตกต่างกันไปในด้านงานวิจัยทางวิชาการ การเรียนการสอน และเทคนิคการสอน จากทั้งหมดนี้เป็นมหาวิทยาลัย 105 แห่ง (มหาวิทยาลัยรัฐบาล 42 แห่ง) และวิทยาลัย 59 แห่ง (วิทยาลัยรัฐบาล 12 แห่ง) ซึ่งเป็นอาชีวศึกษา 93 แห่ง
ระบบการเรียนการสอนประกอบด้วยขั้นตอนการศึกษาอย่างเป็นทางการ 22 ระดับ โดยทั่วไปเริ่มจาก 2 ปีในการศึกษาก่อนโรงเรียน ประถมศึกษา 6 ปี มัธยมศึกษาตอนต้น 3 ปี มัธยมศึกษาตอนปลาย 3 ปี วิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัย 4 ปี (โรงเรียนแพทย์ 7 ปี) ระดับปริญญาโท 2-4 ปี และปริญญาเอก 4-7 ปี
ถ้าใครสนใจประเทศนี้ อยากไปเรียนหาข้อมูลดูนะครับมีหลายๆที่เปิดรับสมัครและมีทุนให้มากมายและขอบอกเลยว่าไต้หวันเป็นประเทศที่นำงบประมาณมาจัดสรรให้การศึกษาอย่างมาก โดยมีห้องสมุดสาธารณะและมีพิพิธภัณฑ์มากมาย
http://www.bbc.com/news/business-32608772 จากข่าวของ BBC ไต้หวันเป็นประเทศที่ได้รับการศึกษาเฉลี่ยสูงมากๆ
QS World University Rankings by Subject 2015 - Education(National Taiwan Normal University อยู่ในอันดับที่22ของโลกในปีนี้)
http://www.topuniversities.com/university-rankings/university-subject-rankings/2015/education-training#sorting=rank+region=+country=+faculty=+stars=false+search=
อันนี้ของ timeshighereducation
https://www.timeshighereducation.com/world-university-rankings/2015/world-ranking#!/page/1/length/100
4.ผู้คน
คำจำกัดความของคนไต้หวันนั้นก็คงให้ว่าเป็นส่วนผสมของจีนแผ่นดินใหญ่กับญี่ปุ่น ภาษาพูดวิถีการดำเนินชีวิตวัฒนธรรมภาษาพูดแบบจีน แต่ได้ความมีวินัยความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความอ่อนน้อมแบบญี่ปุ่น ซึ่งมันลงตัวมากๆ
คนไต้หวันถ้ามีอายุหน่อยจะพูดอังกฤษไม่ค่อยได้แต่พูดญี่ปุ่นได้แทน มีปู่ยายเพื่อนคนไต้หวันพูดญี่ปุ่นกันเป็นคนญี่ปุ่นเลย ก็เค้าเกิดกันตอนไต้หวันเป็นประเทศญี่ปุ่นกันอยู่นั้นแหละ รุ่นพ่อก็พอมีพูดได้บ้าง
ส่วนเด็กรุ่นใหม่ๆพูดอังกฤษกันเก่งมากๆจนรู้สึกได้ว่าการเรียนการสอนไม่ธรรมดา อนาคตไต้หวันทำธุรกิจได้เปรียบทั้งโลกแน่ ไหนจะพูดจีนได้100%อยู่แล้วอังกฤษยังดีอีก สุดยอดไปเลยค้าขายกับจีนและฝรั่งสบาย
ผู้คนที่นี่ชอบช่วยเหลือ จากที่ไปมาซักพักได้รับการช่วยเหลือจากคนไต้หวันเป็นอย่างดี ทุกคนดูเกรงใจคนอื่นในที่สาธารณะพูดคุยกันเสียงเบามากๆ ถ้ามีใครโวยวายคุยกันเสียงดังขึ้นมาจะรู้ได้เลยว่านั้นคงมาจากจีนแผ่นดินใหญ่
5.ความปลอดภัย
ไต้หวันมีความปลอดภัยเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากญี่ปุ่น มาเที่ยวจึงไม่ต้องกลัวว่าจะถูกหลอกถูกโกงเลย ราคาสินค้าต่างๆจะแปะป้ายไว้ชัดเจนมากๆเป็นเมืองที่น่าไปเที่ยวมากๆ บ้านเมืองมีกล้องเยอะมากๆและไม่ดัมมี่ด้วยนะ เจ้าหน้าที่ของรัฐตามจุดต่างๆให้การช่วยเหลือเป็นอย่างดี
อ้างอิง :
http://www.presscave.com/top-safest-countries-in-the-world/
ไต้หวัน10ด้าน ที่เป็นเหตุผลให้ผมต้องเดินทางไปเพื่อชม "ไต้หวัน"
"ไต้หวัน"
กล่าวถึงประเทศนี้ขึ้นมากลางวงสนทนาของเพื่อนๆ สิ่งที่ได้ยินตามมานั้นคือ "ไปทำไมหรอ" "มีอะไรที่ไต้หวัน" "ไปเกาหลี ญี่ปุ่น ไม่ดีกว่าหรอ?"
หรือหนักสุดก็ "ประเทศอะไร? อยู่ตรงไหน?" น่าแปลกใจที่คนไทยบางส่วนมองข้ามประเทศแห่งนี้ไป นี่มันคือสุดยอดดินแดนแห่งความลงตัวในทุกๆด้านเลยนะ!! ไอเกาะรูปมันเทศอันเนี้ยแหละ ที่ไปแล้วไม่อยากกลับมาอีกเลย ใครๆก็หลงรัก ไม่ว่าจะเป็น เรื่องราวในประวัติศาสตร์ งานศิลปะ ดนตรี การท่องเที่ยว ของกิน หรือ จุดศูนย์รวมแห่งเทคโนโลยีที่เราใช้ๆกันโดยไม่รู้ตัวว่าสิ่งเหล่านี้เกิดจากประเทศเกาะเล็กทางตอนใต้ของญี่ปุ่นจะให้เล่าทั้งหมดก็ยาวไป เราจะขอสรุปประเด็นเด็ดๆที่จะทำให้คุณๆรู้จักและอยากจะไปลองสัมผัสไต้หวันซักครั้งดู เอางี้นะผมจะแบ่งเป็น 10 ข้อหลักๆที่จะทำให้คุณสนใจและหันกลับมามองประเทศนี้ใหม่อีกครั้ง
เหมือนมันเทศไหมครับ ฮ่าๆ
1.ประวัติศาสตร์
ประเทศส่วนใหญ่มักมีประวัติศาสตร์ที่น่าตื่นเต้นยาวนานและยิ่งใหญ่กันมาก่อน แต่ผิดกันกับไต้หวันที่มีประวัติศาสตร์ที่แสนสั้น ช่วงเวลาที่น่าสนใจจริงๆก็คงเป็นหลังช่วงสงครามโลกครั้งที่2 ก่อนหน้านั้นไต้หวันโดนกองทัพญี่ปุ่นอันเกรียงไกล เข้าไปตบมาจากจีนในช่วงค.ศ.1895-1945 ระยะเวลาที่อยู่ภายในการปกครองของญี่ปุ่นนั้นไต้หวันได้รับการพัฒนาต่างๆที่จีนไม่เคยทำให้ ทั้งระบบเทคโนโลยี ระบบรถไฟเป็นต้น แต่หลังจากสงครามยุติลง อังกฤษและอเมริกาก็ไปประชุมกันแถวๆอียิปว่า "เห้ย!! ถ้าเราชนะสงครามเดี๋ยวจะยึดเกาะมันเทศคืนให้นะ" นั้นแหละเป็นเหตุผลที่หลังจากญี่ปุ่นโดนระเบิดหนักๆไป2ลูก จีนก็ได้เกาะมันเทศคืนมา
จากรูปเห็นวันที่และปี ค.ศ. ชัดเจน นั้นแหละ 1945 ที่ไต้หวันเปลี่ยนมือจากญี่ปุ่นกลายเป็นจีนอีกครั้ง
จากรูปทางซ้ายคือจีนแผ่นดินใหญ่ มังกร คือ ราชวงค์ชิง ดร.ซุน ล้มราชวงค์ลงและเริ่มปกติจีนตามแนวประชาธิปไตย จนถึงปี 1949 เกิดสงครามกลางเมืองเปลี่ยนขั้วอำนาจ ประชาชนจีนผู้รักประชาธิปไตยเลยต้องหนีกันมาไต้หวัน
ส่วนเกาะไต้หวันเป็นญี่ปุ่นจนถึงปี1945 ญี่ปุ่นแพ้สงครามโลก ไต้หวันกลับมาเป็นจีนอีกครั้งภายใต้จีนแผ่นดินใหญ่ที่นำโดน ดร.ซุนที่เป็นหัวประชาธิปไตยเต็มตัว แต่สุดท้ายพอเกิดการเปลี่ยนอำนาจ จีนแผ่นดินใหญ่เลือกเดินระบบคอมมิวนิส ไต้หวันขอเดินหน้าต่อในระบบประชาธิปไตย
อันนั้นคือเรื่องภายนอก ส่วนเรื่องภายในก็คือ ตอนเกิดสงครามโลกตอนนั้นจีนโดนปกครองโดยพรรคชาตินิยม คือมันก็กึ่งๆประชาธิปไตยแล้วแหละ ซึ่งพรรคชาตินิยมก็ไม่ค่อยถูกขี้หน้ากับท่านประธานเหมาแห่งพรรคคอมมิวนิสต์ซะด้วย ซึ่งก็สู้รบเกมส์การเมืองกันมาตลอดและสุดท้าย ท่านเจียง ไคเช็ก ก็พ่ายแพ้ท่านประธานเหมาในที่สุด จนต้องหนีและอพยบมาที่เกาะมันเทศ(เกาะไต้หวัน)ในที่สุด และตั้งประเทศจีนขึ้นมาใหม่โดยได้รับการสนับสนุนจากอเมริกาซะด้วย เพื่อวันนึงจะกลับไปยึดประเทศจีนแผ่นดินใหญ่คืนมาจากท่านเหมา ถ้าเราไปไต้หวันจะเห็นได้ว่าจะมีอนุสาวรีย์ทั้งดร.ซุน กับนายพล เจียง อยู่ ซึ่งคนไต้หวันนับถือเป็นอย่างมาก
ท่าน ดร.ซุน ยัตเซน ผู้เปลี่ยนประวัติศาสตร์จีนทุกๆอย่าง เอาจริงๆแทบจะเปลี่ยนประวัติศาสตร์โลกเลยแหละ
ท่านนายพลเจียง กำลังยิ้มให้ประชาชนตลอดเวลา ลูกชายของท่านเป็นคนเปลี่ยนระบบไต้หวันให้เป็นระบบประธานาธิบดี
เรื่องน่ารู้เพิ่มเติมนิดๆหน่อยๆ
คือจริงๆแล้วเหมา เจ๋อตง กับ เจียง ไคเช็กเป็นเพื่อนกันมาก่อนแต่เนื่องจาก เจียง ไคเช็กเป็นมือขวาสำคัญของ ดร.ซุน ยัตเซน และมีความใกล้ชิดกับ ซุน มาก ซึ่งซุนเองก็มีแนวคิดเป็นประชาธิปไตย เจียงจึงมีแนวคิดคล้ายๆกับ ซุน นั่นคือ ประเทศจีนต้องปกครองในระบอบประชาธิปไตย แต่ เหมาต้องการให้จีนปกครองแบบคอมมิวนิสต์ จึงเหตุให้ทั้งคู่ไม่ถูกกันและเป็นศัตรูกันจนถึงวันเสียของทั้งคู่
จริงๆแล้วที่อเมริกากับอังกฤษมาช่วยจีนก็เพราะท่าน ดร.ซุน ยัตเซน เนี้ยแหละสนิทกับฝรั่งไปทั่วโลก ได้ไปเรียนในต่างแดน รับความคิดประชาธิปไตยมาเต็มหัวเลย ที่เกิดของท่าน ซุน ยัดเซน คือ หมู่บ้านจงซาน(เดิมเป็นหมู่บ้านชุ่ยเฮิง) อำเภอเซียงซาน จังหวัดก่วงตง ประเทศจีน
สุดท้ายแล้วไต้หวันก็ยังไม่ถือว่าเป็นประเทศเพราะจีนไม่ยอม แต่คนไต้หวันบอกว่า เราคือประเทศ เราคือคนจีนไต้หวัน ไม่ใช่คนจีนคอมมิวนิสต์แบบนั้น ไต้หวันเลยแก้เกมส์ด้วยการไปตั้งสำนักงานสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป โดนหลีกเลี่ยงการใช้คำว่าไต้หวัน จีน หรือสถานทูตเป็นต้น เพื่อกันปัญหาหลายๆอย่าง ทั้งการดูมีประเทศจีน2ประเทศหรือเป็นสัญญาบอกว่าจะแยกตัวเป็นประเทศจากจีน เป็นต้น แต่หลักๆแล้วก็คือสถานทูตนั้นแหละ หน้าที่เดียวกัน คนไทยต้องไปขอวีซ่ากันที่นี่แหละ >>>http://www.taiwanembassy.org/TH
กรอกวีซ่า https://visawebapp.boca.gov.tw.
2.เศรษฐกิจและการเมือง
อันนี้ถือว่าเทพมากๆสำหรับประเทศที่โดนโยนกันไปโยนกันมาเปลี่ยนมือกันบ่อยเหลือเกิน หลักจากสงครามสงบ ไต้หวันถือว่าพัฒนาเร็วมากกกกกก ในทุกๆด้าน เศษรฐกิจเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว อุตสาหกรรมต่างๆถูกพัฒนาขึ้นมาเทียบเท่าประเทศที่เจริญแล้ว จนตอนนี้ไต้หวันเนี้ยแหละเป็นหนึ่งในประเทศที่เจริญแล้ว ไต้หวันถูกตั้งฉายาไปต่างๆนาๆว่า มังกรตัวที่2ของเอเชีย (ตัวที่1ก็จีนแผ่นดินใหญ่อะแหละ) หรือ อีกอันนึงที่ฮิตมากๆคือ เสือตัวที่4แห่งเอเชีย (4เสือที่เจริญด้วยความรวดเร็วคือ ฮ่องกง สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และ ไต้หวันนั้นเอง)
ไต้หวันนั้นเป็นประเทศที่ค่าเงินนั้นมีสกุลเงินเป็นของตัวเอง ที่เกิดจากที่ตอนท่านเจียง ออกจากไต้หวันนั้นแหละ นำทองคำในพระราชวังต้องห้ามออกมาด้วยหมดเลย และในช่วงยุคที่จีนเศรษฐกิจตกต่ำนั้น ก็ได้ใช้จังหวะเนี้ยแหละ เอาทองคำที่มีสร้างสกุลเงินตัวเองซะเลย ซึ่งประเทศไต้หวันนั้นมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 14 ของโลก หน่วยเงินตราที่ใช้ คือ ดอลลาร์ไต้หวัน (NT$)
ทรัพยากรธรรมชาติส่วนใหญ่นั้นมีจำนวนน้อย แต่ไต้หวันนั้นเป็นประเทศอุตสาหกรรมชั้นสูง เป็นอุตสาหกรรมที่เป็นเน้นไปที่การผลิต และมีการนำเข้าน้ำมันดิบและแร่เหล็ก เพื่อนำไปผลิตรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์ ส่งออกไปจำหน่ายทั่วโลก ถือเป็นการค้าโดยการผลิต ในปัจจุบันมีการนำเข้าชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ บางทีคอมหรือมือถือที่คุณๆใช้อ่านกันอยู่เนี้ย เป็นของไต้หวันโดนที่คุณไม่รู้ด้วยนะว่าสิ่งนี้ นั้นเป็นสินค้าไต้หวัน เอาไว้จะเล่าลึกๆในข้อเทคโนโลยีละกัน
ทุกวันนี้ไต้หวันกับจีนก็อยู่กันแบบแยกกันอยู่ แต่ก็ไม่แยกประเทศ นักธุรกิจในไต้หวันเข้าไปลงทุนในจีนมากมาย ในเมืองจีนมีบริษัทไต้หวัน อยู่ประมาณ 70,000 กว่าบริษัท ซึ่งเยอะมากๆ เกิดการจ้างงานเยอะมากๆในเมืองจีนจากบริษัทไต้หวัน
3.การศึกษา
การศึกษาเนี้ย เรียกได้ว่าอันดับต้นๆของเอเชียเลยแหละ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2004-2009 SCI และ SSCI ได้ตีพิมพ์ตัวเลขการเติบโตของไต้หวันจากประมาณช่วงศตวรรษที่ 20 ถึงศตวรรษที่ 15 รวมถึงสภาเศรษฐกิจโลก (World Economy Forum or WEF) ก็ได้รายงานอันดับการแข่งขันไว้ว่าการศึกษาต่อและอบรมในไต้หวันติดอยู่อันดับสูง อย่างไรก็ตามค่าครองชีพและการใช้จ่ายในการศึกษาอยู่ในเกณฑ์สมเหตุสมผล ซึ่งช่วยลดคอร์สในการไปเรียนต่อได้เป็นอย่างดี
สำหรับสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษามีทั้งหมด 164 สถาบัน ซึ่งเน้นความแตกต่างกันไปในด้านงานวิจัยทางวิชาการ การเรียนการสอน และเทคนิคการสอน จากทั้งหมดนี้เป็นมหาวิทยาลัย 105 แห่ง (มหาวิทยาลัยรัฐบาล 42 แห่ง) และวิทยาลัย 59 แห่ง (วิทยาลัยรัฐบาล 12 แห่ง) ซึ่งเป็นอาชีวศึกษา 93 แห่ง
ระบบการเรียนการสอนประกอบด้วยขั้นตอนการศึกษาอย่างเป็นทางการ 22 ระดับ โดยทั่วไปเริ่มจาก 2 ปีในการศึกษาก่อนโรงเรียน ประถมศึกษา 6 ปี มัธยมศึกษาตอนต้น 3 ปี มัธยมศึกษาตอนปลาย 3 ปี วิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัย 4 ปี (โรงเรียนแพทย์ 7 ปี) ระดับปริญญาโท 2-4 ปี และปริญญาเอก 4-7 ปี
ถ้าใครสนใจประเทศนี้ อยากไปเรียนหาข้อมูลดูนะครับมีหลายๆที่เปิดรับสมัครและมีทุนให้มากมายและขอบอกเลยว่าไต้หวันเป็นประเทศที่นำงบประมาณมาจัดสรรให้การศึกษาอย่างมาก โดยมีห้องสมุดสาธารณะและมีพิพิธภัณฑ์มากมาย
http://www.bbc.com/news/business-32608772 จากข่าวของ BBC ไต้หวันเป็นประเทศที่ได้รับการศึกษาเฉลี่ยสูงมากๆ
QS World University Rankings by Subject 2015 - Education(National Taiwan Normal University อยู่ในอันดับที่22ของโลกในปีนี้)
http://www.topuniversities.com/university-rankings/university-subject-rankings/2015/education-training#sorting=rank+region=+country=+faculty=+stars=false+search=
อันนี้ของ timeshighereducation
https://www.timeshighereducation.com/world-university-rankings/2015/world-ranking#!/page/1/length/100
4.ผู้คน
คำจำกัดความของคนไต้หวันนั้นก็คงให้ว่าเป็นส่วนผสมของจีนแผ่นดินใหญ่กับญี่ปุ่น ภาษาพูดวิถีการดำเนินชีวิตวัฒนธรรมภาษาพูดแบบจีน แต่ได้ความมีวินัยความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความอ่อนน้อมแบบญี่ปุ่น ซึ่งมันลงตัวมากๆ
คนไต้หวันถ้ามีอายุหน่อยจะพูดอังกฤษไม่ค่อยได้แต่พูดญี่ปุ่นได้แทน มีปู่ยายเพื่อนคนไต้หวันพูดญี่ปุ่นกันเป็นคนญี่ปุ่นเลย ก็เค้าเกิดกันตอนไต้หวันเป็นประเทศญี่ปุ่นกันอยู่นั้นแหละ รุ่นพ่อก็พอมีพูดได้บ้าง
ส่วนเด็กรุ่นใหม่ๆพูดอังกฤษกันเก่งมากๆจนรู้สึกได้ว่าการเรียนการสอนไม่ธรรมดา อนาคตไต้หวันทำธุรกิจได้เปรียบทั้งโลกแน่ ไหนจะพูดจีนได้100%อยู่แล้วอังกฤษยังดีอีก สุดยอดไปเลยค้าขายกับจีนและฝรั่งสบาย
ผู้คนที่นี่ชอบช่วยเหลือ จากที่ไปมาซักพักได้รับการช่วยเหลือจากคนไต้หวันเป็นอย่างดี ทุกคนดูเกรงใจคนอื่นในที่สาธารณะพูดคุยกันเสียงเบามากๆ ถ้ามีใครโวยวายคุยกันเสียงดังขึ้นมาจะรู้ได้เลยว่านั้นคงมาจากจีนแผ่นดินใหญ่
5.ความปลอดภัย
ไต้หวันมีความปลอดภัยเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากญี่ปุ่น มาเที่ยวจึงไม่ต้องกลัวว่าจะถูกหลอกถูกโกงเลย ราคาสินค้าต่างๆจะแปะป้ายไว้ชัดเจนมากๆเป็นเมืองที่น่าไปเที่ยวมากๆ บ้านเมืองมีกล้องเยอะมากๆและไม่ดัมมี่ด้วยนะ เจ้าหน้าที่ของรัฐตามจุดต่างๆให้การช่วยเหลือเป็นอย่างดี
อ้างอิง : http://www.presscave.com/top-safest-countries-in-the-world/