[Short Story] "ก่อนละลาย"......-รบกวนอ่านติชมผลงานครับ-

กระทู้สนทนา


"ก่อนละลาย"


             ผ้าชุบน้ำถูกบิดเพื่อขับไล่น้ำออกจากเนื้อผ้า เสียงน้ำถูกขับออกกระทบน้ำที่อยู่ในขันน้ำดังเซ็งซ่า มืออบอุ่นของ -สำลี- ผู้เป็นแม่บรรจงเช็ดตัวลูกชายตัวน้อยอายุสี่ขวบเศษ อาการตัวร้อนเกิดจากเชื้ออันใดหรือโรคใดยังไม่เป็นที่แน่ชัด การภาวนาของผู้เป็นแม่ ขอต่อสิ่งเหนือธรรมชาติว่าอย่าเป็นมากกว่าไข้ธรรมดาเลย การเช็ดถูเพื่อให้ความร้อนละลายจากร่างการเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว

             แคร่ก แคร่ก  เสียงลูกสาวคนโตนั่งลากรถของเล่นใกล้ๆ กับแม่ในบ้านพักคนงานร้านอาหารที่คับแคบ การลงไปเล่นด้านนอกบ้านคงไม่ใช่เรื่องดีนัก ใต้ถุนบ้านเช่าที่เจ้าของร้านอาหารจัดหาให้คนงานเต็มไปด้วยน้ำขังเละเทะ

             ทางเดินเข้าออกถูกวางด้วยไม้อัดและแผ่นไม้กระดานวางต่อๆกันเป็นความยาวกว่าสิบเมตร ถึงจะมีพื้นดินแข็งให้สัมผัส บ้านพักถูกซอยห้องย่อยๆให้ได้ห้าห้อง มีคนงานอาศัยอยู่สามห้อง ช่วงกลางวันเช่นนี้จะเงียบงันเพราะคนงานออกไปทำงานกันหมด ส่วนวันนี้เป็นวันหยุดของสำลี กอรปกับอาการป่วยไข้ของลูกชาย ทำให้ -เดช- ผู้เป็นพ่อต้องอยู่ดูแลอีกแรง

        "พ่อ ไปหายืมเงินไอ้ขาวสักร้อยมาซื้อข้าวซื้อยาให้ลูกได้ไหม๊"   ผู้เป็นแม่นั่งมองดูลูกด้วยความเป็นห่วง

         "รอสักพักวันเสาร์มันยังไม่มาทำงานหรอกคงเกือบสิบโมงนู้นละ"

         ครอบครัวสำลีปากกัดตีนถีบออกจากบ้านเกิดมาที่ปากช่องได้สักเกือบปีแล้ว สองผัวเมียทั้งชีวิตทำงานในร้านอาหาร สำลีจะทำในส่วนครัวเก็บกวาด ล้างถ้วยชาม หรือ อื่นๆภายใน ไม่ชอบออกไปเสริฟหรือบริการส่วนหน้า พบปะลูกค้ามากนัก อาการหูไม่ดีแต่กำเนิดเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอไม่อยากพูดคุยกับใคร เศษทิปที่เป็นเหมือนโบนัสของพนักงานร้านอาหาร ไม่ค่อยจะตกมาถึงผู้อยู่ก้นครัวเช่นกัน ส่วนเดชมีหน้าที่เป็นกุ๊ก ซึ่งค่าตอบแทนก็ไม่ได้ทำให้ทั้งสองมีความเป็นอยู่ที่ดีมากกว่าแต่ก่อนนัก

         "ตี ดี่ ดิด ตี ดี ดิด....."

          เสียงรถไอศกรีมเจ้าดังถูกขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไซค์แต่งแต้มสีสันสวยงาม ผ่านมาพร้อมให้บริการ เด็กหญิงตัวน้อยรีบวิ่งออกมาจากห้องผ่านพ่อผู้นั่งอยู่หน้าประตู มายืนเกาะราวบันได สายตาชะเง้อมองละห้อย ตามจนรถสีแดงลับตา

          เดชมองดูลูก ด้วยความหม่นหมอง ภาพตรงหน้าสะท้อนถึงความไม่เอาไหนของตนเองอย่างสุดแสน ภาพของเมียรักที่ยอมตกลงปลงใจมาใช้ชีวิตด้วย ลำบากขนาดหาเศษเหรียญซื้อยาพาราเซตามอลเม็ดมาบดให้ลูกกินบรรเทาไข้ ยังไม่มี

         มือที่คีบบุหรี่ครึ่งตัวที่เหลือจากขอหัวหน้าเมื่อวาน สั่นเทา ไม้ขีดวางข้างๆไม่มีวี่แวว จะถูกจับมาจุด ความจุกจนพูดไม่ออกอัดแน่นเอ่อล้นมาจนปกคลุมทุกความสวยงามของโลกใบนี้

         "พ่อ หนูอยากกินไอติม"
          เสียงลูกสาวกล่าวอย่างเดียงสา หนูน้อยไม่หันหน้ามาหาพ่อเพราะมัวแต่ชะเง้อเผื่อรถสีแดงคันนั้นจะกลับมา.....

         -ไม่มีเสียงตอบจากพ่อ-

          สำลี ยังขมักเขม่นเช็ดตัวลูกชาย ดวงตาล่อยลอยปล่อยวาง กับสิ่งที่อยู่ตรหน้า การบากบั่นที่ทำมาไม่มีค่าอันใดเลยหรือ สำลีครุ่นคิด การเป็นคนดีก้มหน้าก้มตาทำงานสุจริต ไม่ได้ช่วยให้สิ่งศักดิ์สิทธิมอบพรวิเศษอันใดให้ชีวิตที่แร้นแค้นมีท่าทีดีขึ้น สมองโล่งว่าง ปากลอกเป็นเศษขุย ลำคอแห้งผาก ไม่มีแม้น้ำลายให้กลืนกิน ไม่พยายามคิดถึงสิ่งที่ตนเองเผชิญอยู่ ลูกสาวตัวน้อยหยุดชะเง้อเดินกลับเข้ามาหามารดา

           "แม่ หนูอยากกินไอติม" ไร้ปฏิกิริยาใดโต้ตอบ          
            "แม่ หนูอยากกินไอติม" คำพูดซ้ำเข้าโสตมารดากระตุ้นให้กลับมามองโลกตรงหน้า             
            "ไปขอเงินพ่อไป" แม่เงยหน้าบอกลูกน้อยทั้งๆที่รู้คำตอบดี

            เด็กน้อยยังไม่ทันอ้าปาก เดช วางบุหรี่ครึ่งมวนลงแล้วลุกพรึ่บขึ้นทันทีแล้วเดินออกจากห้อง ทิ้งทั้งสามคนแม่ลูกโดยไม่กล่าวอะไร ภรรยาและลูกน้อยมองตาม ยังไม่ทันก้าวลงบันไดพ้นขั้นที่ห้า เสียงเด็กสาวร้องจ้าตามหลังมา เดชสาวก้าวยาวๆเพื่อหนีจากจุดสิ้นหวัง ย่ำผ่านแผ่นไม้ที่วางบนน้ำเน่าขัง ทุกก้าวที่กดทับลงบนกระดาน น้ำรอบๆแผ่นไม้กระเพื่อมรับเป็นระรอก ตอบรับกับชีวิตอันน่าสมเพช ของสิ่งมีชีวิตอันสูงส่งที่แสนต่ำต้อย  
          
           เสียงหวี้ดหวิวของสายลมยามหนาวกลายเป็นเพลงประกอบสุดเศร้าให้กับบทบรรยายในหห้วงคิดของเดชที่คอยกระหน่ำซ้ำเติม ฉายภาพความรันทด ตรากตรำ ต่ำเตี้ย ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อสิ่งเร้าผลักดันเกินอารมณ์จะรับ น้ำตาก็ก้าวมาทำหน้าที่ หลั่งรินอย่างเชื่องช้า ไม่มีเสียงอันใดออกจากลำคอ น้ำที่ไหลจากตาพรั่งพรูรับเป็นระรอกๆตามอารมณ์ที่ค่อยๆส่งออกมาเป็นระยะๆ

            โลกทุนนิยมที่หมุนไปตามกระแส ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ความเสรี ชะตากรรม การศึกษา การตัดสินใจ ต้นทุนชีวิต สิ่งใดหนอที่เดชกับครอบครัวต้องกล่าวโทษ แต่ถึงจะโทษสิ่งใดก็ไร้ประโยชน์ ท้ายสุดก็ต้องก้มหน้าก้มตาบอกตัวเองให้รับความเป็นไปตามกระแสอัปปรีย์นี้  

           "ไปไหนละเดช"

            เสียงเฮียชายร่างท้วม หัวล้านเตียนท่าทางใจดี ทักทายขณะที่เดชเดินก้มหน้าผ่านหน้าบ้าน
เดชเงยหน้า ตาแดงก่ำไม่มีเวลาเช็ดน้ำตาแต่ความหมองหม่น มองหน้าเฮียชาย  

             "ผมจะไปหาไอ้ขาวครับเฮีย"เดชตอบเสียงสั่นเครือ    
        
              "ไปยืมเงินมันอีกละสิ มันเข้าไปในเมืองซื้อของให้หัวหน้าบ่ายโน้นละถึงจะกลับ"
              เฮียชายพูดพร้อมยิ้มท่าทางเข้าใจสิ่งตรงหน้าทำเอาหน้าเดชเปลี่ยนสี  
      
             "เอากับเฮียไปก่อนไหม๊ละ สักร้อยก่อนก็พอช่วยกันได้"
             เฮียชายควักกระเป๋าดึงแบงค์ร้อยออกมายื่นให้ เดชก้มหน้าไม่กล้าสบตา ไร้คำพูด ยืนนิ่งกึ่งรับกึ่งสู้สถานการณ์

            "ไม่ต้องคิดมากรับก่อนเงินเดือนออกก็เอามาให้ ไม่ได้ให้เลยสักหน่อย"
            เดชยังนิ่ง เฮียชายจับมือเดชขึ้นมันแล้วยัดแบงค์ร้อยใส่มือเดช คำขอบคุณจุกในลำคอ น้ำตาทะลัก เงินในกำมือยับยู่ยี่ โผกอดเฮียชาย ค่าของเงินไม่ได้คงตัว แบงค์ร้อยตอนมีค่ามหาศาล กว่าความจริงหลายล้านเท่า เฮียชายปัดป้องรับคำสรรเสริญต่างๆนานาแล้วบอกเดชให้รีบไปจัดการภาระกิจของตนเอง

            เดช ไปร้านขายยา สั่งสิ่งที่ตนปราถนา ยื่นมือส่งมอบเงินที่กลายสภาพเป็นก้อนกลม ให้คนขาย รอรับเงินทอนแล้วมุ่งหน้าไปร้านอาหารตามสั่ง เลือกเมนูที่ลูกๆสามารถทานได้ พร้อมเร่งแม่ค้าด้วยความรีบ

         "ตี ดี่ ดิด ตี ดี ดิด"เสียงรถไอศกรีมแว่วย้อนกลับมา เดชมือสั่นโบกรถน้ำแข็งหวาน

          "เอาอันห้าบาทให้หน่อยพ่อค้า"
          "มีแต่เจ็ดบาทครับ"
          "เจ็ดบาทก็ได้ครับ"


           มือนึงที่กำถุงข้าวและยาชุ่มเหงื่อ อีกมือรับไอศกรีม แล้วรี่วิ่งกลับสู่จุดเริ่มต้นที่เขาจากมาใบหน้าลูกเมียยิ้มรับปรากฏ
ความคิดอย่างเดียวคือกลับไปให้ทัน
        
           "ก่อนไอศกรีมละลาย"

---------------------------------------------


Credit Picture : http://f.ptcdn.info/389/010/000/1380609397-Flood2JPG-o.jpg
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่