ไม่ใช่รีวิว แต่เป็นการอวย “The Martian”

*ผมไม่เคยอ่านนิยายนะครับ พูดถึงเฉพาะในแง่ความเป็นหนังละกัน

สำหรับคนอยากอ่านน้อยๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

   ไม่รู้จะอธิบายยังไงว่าผมปลื้มหนังเรื่องนี้มาก ด้วยความที่สนใจในเทคโนโลยีอวกาศ Sci-fi เกม Kerbal Space Program และดนตรียุค 70's-80's ทำให้ตลอดเวลาสองขั่วโมงยี่สิบเอ็ดนาที ผมมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ถึงขนาดนอนไม่หลับต้องมานั่งเขียนกระทู้
   เรียกได้ว่าหนังนักบินอวกาศถูกทำกันมาจนไม่รู้จะทำอะไรใหม่ โดยเฉพาะในช่วงปี 2000 หนังอวกาศดาวอังคารกำลังบูมมาก ที่เด่นๆคงเป็นสองเรื่องนี้คือ Mission to Mars และ Red planet ก่อนกระแสจะซาลง จนในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมากระแสหนังแนวนี้ได้กลับมาอีกครั้งโดยเรื่องเด่นๆคงหนีไม่พ้น Gravity และ Interstellar แต่อะไรคือสิ่งที่ทำให้ The Martian โดดเด่นเป็นสง่าเหมือนเป็นหลักไมล์ของหนังแนวนี้

ไม่เหมือนหนังแต่เหมือนสารคดี
-    เรื่องนี้ไม่มีตัวร้าย ไม่มีผู้ร้ายมาสร้างความดราม่าใดๆ ตัวละครทุกคนเหมือนเป็นบุคคลจริงๆที่ต่างมีความคิดและความรับผิดชอบของตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่าต้องเกิดความขัดแย้งกันเพื่อให้เนื้อเรื่องดำเนินไปได้ แต่มันเป็นเหตุและผลที่คนดูสัมผัสได้ในเหมือนในโลกความเป็นจริง มุมมองจากกล้องบุคคลที่หนึ่งหรือพูดง่ายๆกล้อง GoPro สร้างความรู้สึกเหมือนเราชมภาพบันทึกเหตุการณ์จริงหรือ ได้สัมผัสมุมมองผ่านสายตาของตัวละคร ประกอบกับลำดับภาพและการบอกเล่าเรื่องราว ที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนดูสารคดีจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง หรือจะได้เรียกได้ว่าเรื่องนี้ทำได้คล้ายกับเรื่อง Apollo 13 ก็ไม่แปลก ที่แปลกคือนี่มันเป็นนิยาย

ความสมจริง
-    ไม่ขอถกละเอียดในเรื่องทฤษฎีและหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่ในหนังละกัน แต่หลายอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่พบได้ในชีวิตประจำวัน อีกทั้งเทคโนโลยีการบินอวกาศที่ใช้ในหนังก็เป็นไปได้มากในอนาคตอันใกล้และหลายอย่างก็ยังใช้อยู่ในปัจจุบัน อย่างผมดีใจเป็นเนื้อเต้นตอนที่เห็น Pathfinder (เรื่อง Red Planet เล่นไปแล้วนี่หว่า โดนพระเอกจับไปทำเป็นวิทยุ) หรือตอนที่ผ.อ.นาซ่าพูดถึง Hohmann’s transfer orbit (ดีใจแทบจะร้องเห้ย แต่แอบกลัวคนที่นั่งข้างๆจะหาว่าบ้าเหมือนกัน) ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราแต่ละคนมักมีประสบการณ์ร่วมหรืออย่างน้อยๆเราก็เคยเห็นในข่าว ซึ่งมันทำให้รู้สึกเข้าถึงได้ความสมจริงของเนื้อเรื่องมากขึ้น

อารมณ์ขัน
-    ผมแปลกใจที่มุขตลกหลายฉากทำออกมาได้ดีมาก ดีกว่าหนังตลกหลายๆเรื่องซะอีก เพราะตอนแรกผมนึกว่าเรื่องนี้ต้องออกมากดดัน เครียดและเศร้า แต่แท้จริงแล้วมันเป็นเรื่องของความหวัง มุมมองในแง่บวก และการเผชิญปัญหา ซึ่งหนังสามารถดำเนินเรื่องได้น่าตามติดตลอดทั้งบนดาวอังคารและบนโลก ต้องปรบมือให้กับการแสดงของ Matt Damon มาวันนี้เขาท็อปฟอร์มจริงๆ และที่ขาดไม่ได้คือนักแสดงสมทบต่างๆทั้งกลุ่มลูกเรือและจนท.ภาพพื้นดินซึ่งถึงแม้บางคนมีบทอยู่ไม่มาก แต่มันก็เพียงพอที่ช่วยเติมเต็มเรื่องราว สีสันและสร้างอารมณ์ร่วมได้ตลอดทั้งเรื่อง คิดไม่ออกว่าเรื่องนี้จะเป็นยังไง ถ้าขาดส่วนนี้ไป

ดนตรีประกอบ
-    2001: A Space Odyssey น่าจะเป็นเรื่องที่ทำให้ภาพลักษณ์ของหนังอวกาศมาคู่กับดนตรีแนวคลาสสิกหรือแอมเบี้ยน เรื่องที่เปลี่ยนสูตรสำเร็จอันนี้คงเป็นเรื่อง Guardians of the Galaxy ที่ขนเอาเพลงฮิตเก่าๆมาเป็นเพลงประกอบ ซึ่งสำหรับเรื่องนี้ ผมว่าเพลงยุคดิสโก้เป็นเหมือนตัวแทนของการมองโลกในแง่บวกอย่างลงตัวและกลายเป็นเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้ไปแล้ว

สรุป 9/10
สำหรับผมนี้คืออีกหนึ่งหนังในตำนานของ Ridley Scott
และเป็นหนังนักบินอวกาศที่ดีที่สุด ณ ปัจจุบันครับ ว่าแล้วก็อยากจะหาโอกาสไปดูอีกซักรอบ
-    อยากให้ 10/10 แต่กลัวจะเกินงามเพราะมีบางจุดที่ผมว่ามันเป็นสูตรสำเร็จที่เรื่องอื่นๆก็เคยทำ แต่โดยรวมเยี่ยมมาก เรื่องนี้แย่งตำแหน่งหนังประจำปี 2015 ของผม จาก Mad Max : Fury road ไปแล้ว
-    เพลงท้ายเครดิตออกมา หงายเงิบกันทั้งโรงทีเดียว




แถมเพลง
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่