ถ้าหากพูดถึงซอยอารีย์ ทุกท่านคงจะนึกถึงย่านที่มีร้านอาหารดีๆ ฮิปๆ สักหน่อย ตกแต่งเก๋ๆ และเป็นที่สังสรรค์ของมุนษย์ทำงานแบบ white collar ในช่วงค่ำๆ ให้อารมณ์แบบย่านเซ็นทรัลในฮ่องกง บังซาร์ในมาเลเซีย ไม่ก็เมย์แฟร์ในลอนดอน แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว การจะรีวิว ร้านอาหารเฉียบๆ แบบนั้น ก็ดูจะไม่ใช่ทางของผมผู้ซึ่งมีรายได้ไม่มาก ไม่นิยมดื่ม และกลับบ้านทันแสงสุดท้ายของวันเป็นประจำครับ
อย่ากระนั้นเลย ร้านที่อยากจะรีวิวในวันนี้ จึงกลายเป็นร้านธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ที่เรียกได้ว่า Hips และสวนทุกๆ กระแสไม่แพ้ร้านดังร้านอื่นๆ ในละแวกนี้ ตลอดจนสวนทางกับทุกร้านที่ผมเคยเขียนถึงในพันทิปแห่งนี้ ร้านนี้ไม่มีชื่อครับ เรียกตามชื่อคนขายซึ่งมีบุคลิกภาพอันเป็นเอกลักษณ์ว่า
“ร้านป้าอ้วน”
ทำเลที่ตั้ง ร้านนี้เดินทางมาสะดวกมากๆ ครับ มาได้ทั้งทางด่วน (โดยลงที่ทางด่วนพระราม 6) หรือจะมารถไฟฟ้าแล้วก็ต่อรถจักรยานยนต์รับจ้าง รถสามล้อเครื่อง รถแท็กซี่ หรือจะมีศรัทธาเดินมาจากปากซอยก็ได้ ผมจับระยะทางมาแล้วประมาณ 1.1 กิโลเมตร เรียกว่าเดินกันพอได้เหงื่อเล็กน้อย แต่ถ้าเป็นฤดูร้อนแบบไทย ก็อาจเข้าขั้นอาบเหงื่อต่างน้ำครับ จุดที่ตั้งของร้านป้าอ้วน จะอยู่บริเวณระหว่างอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน และสำนักงบประมาณ ภายในหมู่อาคารอันเป็นที่ตั้งของกรมต่างๆ ในกระทรวงการคลัง ซึ่งด้วยความที่เป็นพื้นที่กลาง มิใช่ตัวอาคารทำให้คนนอกยังสามารถเดินเข้ามาซื้อได้ครับ ถ้ามาจากทางพหลโยธิน เข้าทางซอยราชครูน่าจะสะดวกมากกว่า เพราะจะมาสุดที่ประตูรั้วข้างสำนักงบประมาณพอดีครับ
ทำไมต้องเป็นที่สำนักงบประมาณ สาเหตุจริงๆ ก็คือ
ป้าอ้วนนั้นเปิดร้านมาสิริรวม 44 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี 2514 (อันนี้จากปากคำของป้าอ้วนนะครับ) โดยขายที่สำนักงบประมาณ เพียงแต่ ณ วันนั้น สถานที่ตั้งของสำนักงบประมาณ คือ ตึกพัฒนา ภายในรั้วเดียวกับทำเนียบรัฐบาล จนกระทั่งเมื่อที่เดิมคับแคบก็ได้ย้ายร้านรวมมาอวดฝีมือพร้อมๆ กับที่ตั้งปัจจุบันของสำนักงบประมาณ ตั้งแต่ปี 2529 ครับหลังผมเกิดได้ 1 ปีครับ
เวลาทำการ ป้าอ้วนมีเวลาขายแน่นอน ทุกวันราชการ (จันทร์ – ศุกร์) ยกเว้นวันเสาร์อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เริ่มขายตั้งแต่เวลาประมาณ 11.45 น. หรือช้ากว่านั้น ขึ้นอยู่กับรถสี่ล้อเล็กที่ป้าอ้วนนั่งมาพร้อมคนขับ ส่วนด้านหลังก็เป็นกับข้าวที่เตรียมนำมาขาย และขายไปจนถึงหมดเวลาพักเที่ยง โดยจะเก็บของประมาณไม่เกินบ่ายสองโมง เรียกว่ามีเวลาอุดหนุนเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น โหดยิ่งกว่าร้านมิชลินหรูๆ ที่ต้องจองคิวล่วงหน้าซึ่งผมรู้จักหลายแห่งอีกครับ บอกแล้วและคงต้องย้ำตรงนี้อีกครั้งว่า คุณป้าอ้วนท่านเป็นผู้นำกระแสความฮิบป์โดยแท้จริงครับ
Eat in or Takeaway ไม่มีทางเลือกสำหรับร้านนี้ ไม่ต้องสำรองโต๊ะมาให้ยุ่งยาก เพราะไม่มีโต๊ะให้นั่งครับ ร้านป้าอ้วนมุ่งเน้นการขายแบบซื้อกลับไปรับประทานที่กรมกอง หรือจะซื้อกลับไปทานที่บ้านก็ไม่ว่ากัน กับข้าวกับปลาส่วนใหญ่จะถูกจัดใส่ถุงไว้เรียบร้อย มัดปากถุงหรือไม่มัดบ้าง แล้วแต่อารมณ์ศิลป์ของป้าอ้วน ในอดีตอาจจะมีแกงบางประเภทที่มาทั้งหม้อมีฝาปิด แล้วจะมาตักใส่ถุงเมื่อมีคนสั่ง แต่หลังๆ ก็จะมาแบบจัดชุดเรียบร้อยครับ
รายการอาหาร และราคา
ต้องนับว่าสิ่งนี้คือความหลากหลายเกินกว่าจะจาระไนได้หมด ผมอุดหนุนป้าอ้วนมาก็ 5-6 ปี แล้ว แม้มีช่วงหนึ่งที่ไม่ได้ทำงานอยู่แถวนี้แต่ก็ยังแวะกลับมาซื้อหาอยู่บ้าง พอให้คุณป้าอ้วนแซวเล่นให้ (ผม)หายคิดถึง เนื่องจากอาหารของป้าอ้วนมีทั้งคาวหวาน สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาขาย วันหนึ่งประมาณไม่เกิน 10 อย่าง ผมเองก็ถ่ายรูปไว้บ้าง ลืมถ่ายไว้บ้าง แต่จะขอเล่าถึงทุกเมนูที่มีมาให้เลือกเป็นประจำ สลับกับรูปประกอบบางส่วนแล้วกันนะครับ
เมนูเด็ดๆ ก็เช่น
- ต้มยำปลาทูน้ำใส ปลาทูตัวใหญ่ใส่เครื่องแบบไม่หวง ถุงละ 50 บาทเท่านั้นครับ สั่งมาทีถุงใหญ่มาก อารมณ์เหมือนถุงปล่อยปลา แต่มีปลาทูตัวเขื่องแค่ตัวเดียวครับ
- ผัดเนื้อกรรเชียงปูใส่ไข่ ส่วนใหญ่ป้าอ้วนจะเลือกใช้เนื้อตรงก้ามที่อาจมีคล้ายๆ กระดูกติดอยู่บ้าง ที่เห็นในจานนั้นแค่ 1 ใน 4 ของถุงนะครับ และไข่ที่ใส่ใส่มาแบบแก้บน ตรงข้ามกับเนื้อปูที่มาแบบจัดเต็มในราคาถุงละ 50 บาท
- ไข่พะโล้น่องไก่ ถุงละ 40 บาท ไข่ 3 ฟอง ไก่ 1 น่อง ถามป้าอ้วนทุกครั้งว่าทำไมไม่ทำใส่หมู ป้าก็ต้อบเหมือนกันทุกครั้งว่า นี่เป็นหม้ออิสลาม ผมถามจนเลิกถามไปแล้ว มีแต่ใบหน้าเปื้อนความสงสัยแทนว่า หม้อปกติที่ไม่ใช่อิสลามนี่ไม่เคยทำมาขายหรืออย่างไรครับ
- ไข่ลูกเขย อันนี้เด็ดสุดครับ 3 ฟอง 40 บาท ป้าอ้วนจะบรรจงเอาไข่ใส่ถุงต่างหาก มีถุงหอมเจียวกับพริกทอดแยกอีกถุง สุดท้ายเป็นถุงน้ำราดไข่ลูกเขย ที่บอกว่าอร่อย เพราะไข่ทุกฟองยังคงสภาพเป็นยางมะตูมอยู่ ทานกับน้ำราดและหอมเจียวแล้ว เนื้อสัมผัสเข้ากันสุดขีดครับ
- แกงเทโพและแกงคั่วผักบุ้ง อันนี้ผมว่าหน้าตาและราคาเหมือนกันคือ 40 บาท ถามว่าความต่างคืออะไร คำตอบก็คือเนื้อสัตว์ที่ใส่ลงไปครับ ถ้าเป็นแกงเทโพจะเป็นหมูสามชั้น แต่ถ้าเป็นแกงคั่วจะได้ปลาอินทรีไปแทนครับ ส่วนตัวผมชอบเทโพมากกว่าอยู่หน่อยครับ
- ปลาราดพริก 50 บาท แน่อนว่าแยกปลาทอด แยกน้ำราดมาเสร็จครับ เช่นเดียวกับฉู่ฉี่ปลาทอดของป้าอ้วน ซึ่งจะใช้ปลาทูทอดเป็นตัวๆ เท่านั้นครับ
- แกงเขียวหวานหมูเด้ง 40 บาท โดยมี option เสริมเป็นขนมจีน ซึ่งท่านสามารถเลือกรับเพิ่มหรือไม่รับเพิ่มก็ได้ครับ
- ปีกไก่ทอดถุงละ 50 บาท และ
หมูสับปั้นก้อนทอด ทอดมาแห้งอร่อย ไม่มันมาก ในราคา 3 ก้อน 40 บาท หรือก้อนละ 10 บาทตามสภาพเศรษฐกิจขณะนั้น ซึ่งผมก็ชักเลือนๆ ไปแล้วเหมือนกันครับ
- ปีกเป็ดพะโล้ อันนี้ผมชิบมาก อร่อยที่สุดในสามโลก เพราะตัวปีกหอมน้ำพะโล้ และถูกตุ๋นจนเปื่อย ล่อนออกจากกระดูก ไม่เหนียวเหมือนหลายๆ ร้าน พร้อมน้ำส้มพริกตำและกระเทียมรสเด็ดดครับ ราคาก็ 40 บาทเท่านั้นครับ บางวันจะมีเครื่องในเป็ดด้วย ซึ่งอร่อยเลิศไม่แพ้กันนะครับ
- หมูและเนื้อแดดเดียว อันนี้มาเป็นถุงใหญ่ราคารถุงละ 100 บาท เก็บไว้ทานได้หลายวันทีเดียวครับ
- ต้มสายบัวกะทิ รสไทยมากๆ ถึงเครื่องในราคา 40 บาทเช่นกันครับ
- ผัดกะเพราเป็ดย่าง อีกเมนูที่ไม่ค่อยเห็นตามร้านข้าวแกง ราคาเท่าไรไม่แน่ใจ เพราะแล้วแต่อารมณ์คุณป้าอ้วน ตามสภาพของถุงที่ตัก อาจจะ 40 หรือ 50 บาทก็ได้ ห้ามทวง ห้ามถามห้ามทำ ให้คุณป้าขุ่นเคืองใจ บอกขายเท่าไรก็ซื้อไปแล้วกันครับ
- ต้มข่าไก่ 40 บาท เน้นเนื้อๆ กระดูกน้อยมาก พร้อมเลือดไก่และเห็ดนางฟ้า แต่จะเป็นแบบที่ใส่น้ำมันพริกเผาครับ บางท่านอาจจะไม่ชอบการปรุงลักษณะดังกล่าว แต่รสชาติอร่อยนะครับ เปรี้ยวนำนิดๆ และเผ็ดแซมหน่อยๆด้วยพริกแห้งที่ใส่มา ผมชอบเอามาทานต่างซุปครับ
- ผัดสะตอ ราคา 50 บาท เป็นผัดเครื่องแกงใส่เนื้อสัตว์ แล้วแยกสะตอไว้ให้อีกถุง สารภาพว่ารายการนี้ไม่เคยลองซื้อ แต่มีคนบอกเสมอว่าอร่อยครับ
- ไก่ทอดกระเทียม ใช้ไก่ส่วนเนื้อหน้าอก หั่นเป็นลูกเต๋าขนาดใหญ่(มาก) สำหรับเมนูนี้จะมีกระเทียมเจียวแยกต่างหากไว้ให้โรยอีกหนึ่งถุงเล็กด้วยครับ ตรงกันข้ามถ้าเป็นหมูกระเทียมจะได้หมูผัดซอสชุ่มฉ่ำ ไม่แห้งเหมือนไก่กระเทียมครับ
- ผัดเผ็ดหอยแมลงภู่ใส่ใบโหระพา รสชาติดี ใช้หอยแมลงภู่ขนาดตัวกลางๆ ราคา 50 บาทบ้าง 60 บาทบ้างครับ
- กุ้งกระเทียม เป็นกุ้งกุลาดำตัวใหญ่ จำนวน 3-4 ตัว ถ้าอารมณ์ดี คุณป้าอ้วนผมก็จะผัดกะเพรามาในราคาถุงละ 80 -100 บาท ตามขนาดครับ แต่ส่วนใหญ่ก็ขนาดยาวเท่านิ้วกลาง กัดไปเนื้อแน่นและเด้งดีทีเดียว
- มักกะโรนีผัดกับแฮม เป็นอาหารง่ายๆ ราคา 50 บาท มักกะโรนีที่ใช้เป็นแบบข้อเล็กมากๆ ผัดกับซอสมะเขือเทศธรรมดา แต่อร่อยอย่างประหลาด ส่วนแฮมก็ใช้แฮมจริงๆ ไม่ใช่โบโลน่าหรือมอร์ตาเดลล่าแบบที่บางแห่งชอบใช้ครับ
- พะแนงซี่โครงหมู เป็นอีกอย่างที่ต้องใช้คำว่าอร่อยถึงตาย เพราะป้าอ้วนจะเลือกใช้ ซี่โครงหมูตรงบริเวณกระดูกอ่อน หั่นมาชิ้นใหญ่ๆ เนื้อเยอะๆ กระดูกน้อยๆ ถุงหนึ่งมีสัก 5 ชิ้น ราคาก็ 60 - 70 บาท แล้วแต่อารมณ์ของคุณป้าอ้วนเขาอีกเช่นกันนะครับ
มาในส่วนของหวานกันบ้าง
ของหวานร้านป้าอ้วนก็อร่อยไม่แพ้ของคาว และราคาแพงหน่อยคือชุดละ 20 -30 บาท ตามแต่ประเภทของหวาน มีตั้งแต่ สาคูสีเขียวในน้ำกะทิ กล้วยบวชชี กล้วยเชื่อมสีแดงสด ที่อร่อยคือฟักทองสังขยา ทำกันมาเป็นลูกและตัดแบ่งได้ตามต้องการและตามใจทั้งคุณลูกค้าและคุณป้าอ้วน เช่นเดียวกับข้าวต้มมัดแน่นๆ
ข้าวเหนียวสังขยาก็อร่อยไม่แพ้กัน เพราะป้าอ้วนใช้ข้าวเหนียวดำอย่างดีครับ ยังมีลำไยเปียก กระท้อนลอยแก้ว เต้าส่วนที่ป้าอ้วนทำบ่อย ส่วนหม้อแกงก็อร่อย แต่ผมไม่ค่อยชอบทานหอมเจียวที่โรยหน้ามา ซึ่งผมมองว่าเหมาะกับอาหารคาวเสียมากกว่า และถ้าเป็นหน้าทุเรียนก็มีบริการถึงที่ แกะมาสวยๆ แน่นๆ ห่อปิดด้าหน้าด้วยฟิล์มถนอมอาหารอย่างดีครับ
อย่างไรก็ตามข้อติเดียวที่จะมีของร้านป้าอ้วนก็คือ คุณป้าท่านชอบทำอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์เป็นส่วนใหญ่ และมักจะมีผักเป็นส่วนผสมไม่มาก ดังนั้นถ้าขาดโปรตีนก็แนะนำ แต่หากซื้อกลับบ้านก็ควรอาหารประเภทอื่นที่เป็นผักมาขึ้นสำรับด้วยก็จะดี จะได้ทานครบทั้ง 5 หมู่นะครับ
[CR] "ข้าวแกงป้าอ้วน" The Best Kept Secret ในซอยอารีย์ครับ
อย่ากระนั้นเลย ร้านที่อยากจะรีวิวในวันนี้ จึงกลายเป็นร้านธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ที่เรียกได้ว่า Hips และสวนทุกๆ กระแสไม่แพ้ร้านดังร้านอื่นๆ ในละแวกนี้ ตลอดจนสวนทางกับทุกร้านที่ผมเคยเขียนถึงในพันทิปแห่งนี้ ร้านนี้ไม่มีชื่อครับ เรียกตามชื่อคนขายซึ่งมีบุคลิกภาพอันเป็นเอกลักษณ์ว่า “ร้านป้าอ้วน”
ทำเลที่ตั้ง ร้านนี้เดินทางมาสะดวกมากๆ ครับ มาได้ทั้งทางด่วน (โดยลงที่ทางด่วนพระราม 6) หรือจะมารถไฟฟ้าแล้วก็ต่อรถจักรยานยนต์รับจ้าง รถสามล้อเครื่อง รถแท็กซี่ หรือจะมีศรัทธาเดินมาจากปากซอยก็ได้ ผมจับระยะทางมาแล้วประมาณ 1.1 กิโลเมตร เรียกว่าเดินกันพอได้เหงื่อเล็กน้อย แต่ถ้าเป็นฤดูร้อนแบบไทย ก็อาจเข้าขั้นอาบเหงื่อต่างน้ำครับ จุดที่ตั้งของร้านป้าอ้วน จะอยู่บริเวณระหว่างอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน และสำนักงบประมาณ ภายในหมู่อาคารอันเป็นที่ตั้งของกรมต่างๆ ในกระทรวงการคลัง ซึ่งด้วยความที่เป็นพื้นที่กลาง มิใช่ตัวอาคารทำให้คนนอกยังสามารถเดินเข้ามาซื้อได้ครับ ถ้ามาจากทางพหลโยธิน เข้าทางซอยราชครูน่าจะสะดวกมากกว่า เพราะจะมาสุดที่ประตูรั้วข้างสำนักงบประมาณพอดีครับ
ทำไมต้องเป็นที่สำนักงบประมาณ สาเหตุจริงๆ ก็คือ ป้าอ้วนนั้นเปิดร้านมาสิริรวม 44 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี 2514 (อันนี้จากปากคำของป้าอ้วนนะครับ) โดยขายที่สำนักงบประมาณ เพียงแต่ ณ วันนั้น สถานที่ตั้งของสำนักงบประมาณ คือ ตึกพัฒนา ภายในรั้วเดียวกับทำเนียบรัฐบาล จนกระทั่งเมื่อที่เดิมคับแคบก็ได้ย้ายร้านรวมมาอวดฝีมือพร้อมๆ กับที่ตั้งปัจจุบันของสำนักงบประมาณ ตั้งแต่ปี 2529 ครับหลังผมเกิดได้ 1 ปีครับ
เวลาทำการ ป้าอ้วนมีเวลาขายแน่นอน ทุกวันราชการ (จันทร์ – ศุกร์) ยกเว้นวันเสาร์อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เริ่มขายตั้งแต่เวลาประมาณ 11.45 น. หรือช้ากว่านั้น ขึ้นอยู่กับรถสี่ล้อเล็กที่ป้าอ้วนนั่งมาพร้อมคนขับ ส่วนด้านหลังก็เป็นกับข้าวที่เตรียมนำมาขาย และขายไปจนถึงหมดเวลาพักเที่ยง โดยจะเก็บของประมาณไม่เกินบ่ายสองโมง เรียกว่ามีเวลาอุดหนุนเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น โหดยิ่งกว่าร้านมิชลินหรูๆ ที่ต้องจองคิวล่วงหน้าซึ่งผมรู้จักหลายแห่งอีกครับ บอกแล้วและคงต้องย้ำตรงนี้อีกครั้งว่า คุณป้าอ้วนท่านเป็นผู้นำกระแสความฮิบป์โดยแท้จริงครับ
Eat in or Takeaway ไม่มีทางเลือกสำหรับร้านนี้ ไม่ต้องสำรองโต๊ะมาให้ยุ่งยาก เพราะไม่มีโต๊ะให้นั่งครับ ร้านป้าอ้วนมุ่งเน้นการขายแบบซื้อกลับไปรับประทานที่กรมกอง หรือจะซื้อกลับไปทานที่บ้านก็ไม่ว่ากัน กับข้าวกับปลาส่วนใหญ่จะถูกจัดใส่ถุงไว้เรียบร้อย มัดปากถุงหรือไม่มัดบ้าง แล้วแต่อารมณ์ศิลป์ของป้าอ้วน ในอดีตอาจจะมีแกงบางประเภทที่มาทั้งหม้อมีฝาปิด แล้วจะมาตักใส่ถุงเมื่อมีคนสั่ง แต่หลังๆ ก็จะมาแบบจัดชุดเรียบร้อยครับ
รายการอาหาร และราคา
ต้องนับว่าสิ่งนี้คือความหลากหลายเกินกว่าจะจาระไนได้หมด ผมอุดหนุนป้าอ้วนมาก็ 5-6 ปี แล้ว แม้มีช่วงหนึ่งที่ไม่ได้ทำงานอยู่แถวนี้แต่ก็ยังแวะกลับมาซื้อหาอยู่บ้าง พอให้คุณป้าอ้วนแซวเล่นให้ (ผม)หายคิดถึง เนื่องจากอาหารของป้าอ้วนมีทั้งคาวหวาน สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาขาย วันหนึ่งประมาณไม่เกิน 10 อย่าง ผมเองก็ถ่ายรูปไว้บ้าง ลืมถ่ายไว้บ้าง แต่จะขอเล่าถึงทุกเมนูที่มีมาให้เลือกเป็นประจำ สลับกับรูปประกอบบางส่วนแล้วกันนะครับ
เมนูเด็ดๆ ก็เช่น
- ต้มยำปลาทูน้ำใส ปลาทูตัวใหญ่ใส่เครื่องแบบไม่หวง ถุงละ 50 บาทเท่านั้นครับ สั่งมาทีถุงใหญ่มาก อารมณ์เหมือนถุงปล่อยปลา แต่มีปลาทูตัวเขื่องแค่ตัวเดียวครับ
- ผัดเนื้อกรรเชียงปูใส่ไข่ ส่วนใหญ่ป้าอ้วนจะเลือกใช้เนื้อตรงก้ามที่อาจมีคล้ายๆ กระดูกติดอยู่บ้าง ที่เห็นในจานนั้นแค่ 1 ใน 4 ของถุงนะครับ และไข่ที่ใส่ใส่มาแบบแก้บน ตรงข้ามกับเนื้อปูที่มาแบบจัดเต็มในราคาถุงละ 50 บาท
- ไข่พะโล้น่องไก่ ถุงละ 40 บาท ไข่ 3 ฟอง ไก่ 1 น่อง ถามป้าอ้วนทุกครั้งว่าทำไมไม่ทำใส่หมู ป้าก็ต้อบเหมือนกันทุกครั้งว่า นี่เป็นหม้ออิสลาม ผมถามจนเลิกถามไปแล้ว มีแต่ใบหน้าเปื้อนความสงสัยแทนว่า หม้อปกติที่ไม่ใช่อิสลามนี่ไม่เคยทำมาขายหรืออย่างไรครับ
- ไข่ลูกเขย อันนี้เด็ดสุดครับ 3 ฟอง 40 บาท ป้าอ้วนจะบรรจงเอาไข่ใส่ถุงต่างหาก มีถุงหอมเจียวกับพริกทอดแยกอีกถุง สุดท้ายเป็นถุงน้ำราดไข่ลูกเขย ที่บอกว่าอร่อย เพราะไข่ทุกฟองยังคงสภาพเป็นยางมะตูมอยู่ ทานกับน้ำราดและหอมเจียวแล้ว เนื้อสัมผัสเข้ากันสุดขีดครับ
- แกงเทโพและแกงคั่วผักบุ้ง อันนี้ผมว่าหน้าตาและราคาเหมือนกันคือ 40 บาท ถามว่าความต่างคืออะไร คำตอบก็คือเนื้อสัตว์ที่ใส่ลงไปครับ ถ้าเป็นแกงเทโพจะเป็นหมูสามชั้น แต่ถ้าเป็นแกงคั่วจะได้ปลาอินทรีไปแทนครับ ส่วนตัวผมชอบเทโพมากกว่าอยู่หน่อยครับ
- ปลาราดพริก 50 บาท แน่อนว่าแยกปลาทอด แยกน้ำราดมาเสร็จครับ เช่นเดียวกับฉู่ฉี่ปลาทอดของป้าอ้วน ซึ่งจะใช้ปลาทูทอดเป็นตัวๆ เท่านั้นครับ
- แกงเขียวหวานหมูเด้ง 40 บาท โดยมี option เสริมเป็นขนมจีน ซึ่งท่านสามารถเลือกรับเพิ่มหรือไม่รับเพิ่มก็ได้ครับ
- ปีกไก่ทอดถุงละ 50 บาท และหมูสับปั้นก้อนทอด ทอดมาแห้งอร่อย ไม่มันมาก ในราคา 3 ก้อน 40 บาท หรือก้อนละ 10 บาทตามสภาพเศรษฐกิจขณะนั้น ซึ่งผมก็ชักเลือนๆ ไปแล้วเหมือนกันครับ
- ปีกเป็ดพะโล้ อันนี้ผมชิบมาก อร่อยที่สุดในสามโลก เพราะตัวปีกหอมน้ำพะโล้ และถูกตุ๋นจนเปื่อย ล่อนออกจากกระดูก ไม่เหนียวเหมือนหลายๆ ร้าน พร้อมน้ำส้มพริกตำและกระเทียมรสเด็ดดครับ ราคาก็ 40 บาทเท่านั้นครับ บางวันจะมีเครื่องในเป็ดด้วย ซึ่งอร่อยเลิศไม่แพ้กันนะครับ
- หมูและเนื้อแดดเดียว อันนี้มาเป็นถุงใหญ่ราคารถุงละ 100 บาท เก็บไว้ทานได้หลายวันทีเดียวครับ
- ต้มสายบัวกะทิ รสไทยมากๆ ถึงเครื่องในราคา 40 บาทเช่นกันครับ
- ผัดกะเพราเป็ดย่าง อีกเมนูที่ไม่ค่อยเห็นตามร้านข้าวแกง ราคาเท่าไรไม่แน่ใจ เพราะแล้วแต่อารมณ์คุณป้าอ้วน ตามสภาพของถุงที่ตัก อาจจะ 40 หรือ 50 บาทก็ได้ ห้ามทวง ห้ามถามห้ามทำ ให้คุณป้าขุ่นเคืองใจ บอกขายเท่าไรก็ซื้อไปแล้วกันครับ
- ต้มข่าไก่ 40 บาท เน้นเนื้อๆ กระดูกน้อยมาก พร้อมเลือดไก่และเห็ดนางฟ้า แต่จะเป็นแบบที่ใส่น้ำมันพริกเผาครับ บางท่านอาจจะไม่ชอบการปรุงลักษณะดังกล่าว แต่รสชาติอร่อยนะครับ เปรี้ยวนำนิดๆ และเผ็ดแซมหน่อยๆด้วยพริกแห้งที่ใส่มา ผมชอบเอามาทานต่างซุปครับ
- ผัดสะตอ ราคา 50 บาท เป็นผัดเครื่องแกงใส่เนื้อสัตว์ แล้วแยกสะตอไว้ให้อีกถุง สารภาพว่ารายการนี้ไม่เคยลองซื้อ แต่มีคนบอกเสมอว่าอร่อยครับ
- ไก่ทอดกระเทียม ใช้ไก่ส่วนเนื้อหน้าอก หั่นเป็นลูกเต๋าขนาดใหญ่(มาก) สำหรับเมนูนี้จะมีกระเทียมเจียวแยกต่างหากไว้ให้โรยอีกหนึ่งถุงเล็กด้วยครับ ตรงกันข้ามถ้าเป็นหมูกระเทียมจะได้หมูผัดซอสชุ่มฉ่ำ ไม่แห้งเหมือนไก่กระเทียมครับ
- ผัดเผ็ดหอยแมลงภู่ใส่ใบโหระพา รสชาติดี ใช้หอยแมลงภู่ขนาดตัวกลางๆ ราคา 50 บาทบ้าง 60 บาทบ้างครับ
- กุ้งกระเทียม เป็นกุ้งกุลาดำตัวใหญ่ จำนวน 3-4 ตัว ถ้าอารมณ์ดี คุณป้าอ้วนผมก็จะผัดกะเพรามาในราคาถุงละ 80 -100 บาท ตามขนาดครับ แต่ส่วนใหญ่ก็ขนาดยาวเท่านิ้วกลาง กัดไปเนื้อแน่นและเด้งดีทีเดียว
- มักกะโรนีผัดกับแฮม เป็นอาหารง่ายๆ ราคา 50 บาท มักกะโรนีที่ใช้เป็นแบบข้อเล็กมากๆ ผัดกับซอสมะเขือเทศธรรมดา แต่อร่อยอย่างประหลาด ส่วนแฮมก็ใช้แฮมจริงๆ ไม่ใช่โบโลน่าหรือมอร์ตาเดลล่าแบบที่บางแห่งชอบใช้ครับ
- พะแนงซี่โครงหมู เป็นอีกอย่างที่ต้องใช้คำว่าอร่อยถึงตาย เพราะป้าอ้วนจะเลือกใช้ ซี่โครงหมูตรงบริเวณกระดูกอ่อน หั่นมาชิ้นใหญ่ๆ เนื้อเยอะๆ กระดูกน้อยๆ ถุงหนึ่งมีสัก 5 ชิ้น ราคาก็ 60 - 70 บาท แล้วแต่อารมณ์ของคุณป้าอ้วนเขาอีกเช่นกันนะครับ
มาในส่วนของหวานกันบ้าง ของหวานร้านป้าอ้วนก็อร่อยไม่แพ้ของคาว และราคาแพงหน่อยคือชุดละ 20 -30 บาท ตามแต่ประเภทของหวาน มีตั้งแต่ สาคูสีเขียวในน้ำกะทิ กล้วยบวชชี กล้วยเชื่อมสีแดงสด ที่อร่อยคือฟักทองสังขยา ทำกันมาเป็นลูกและตัดแบ่งได้ตามต้องการและตามใจทั้งคุณลูกค้าและคุณป้าอ้วน เช่นเดียวกับข้าวต้มมัดแน่นๆ
ข้าวเหนียวสังขยาก็อร่อยไม่แพ้กัน เพราะป้าอ้วนใช้ข้าวเหนียวดำอย่างดีครับ ยังมีลำไยเปียก กระท้อนลอยแก้ว เต้าส่วนที่ป้าอ้วนทำบ่อย ส่วนหม้อแกงก็อร่อย แต่ผมไม่ค่อยชอบทานหอมเจียวที่โรยหน้ามา ซึ่งผมมองว่าเหมาะกับอาหารคาวเสียมากกว่า และถ้าเป็นหน้าทุเรียนก็มีบริการถึงที่ แกะมาสวยๆ แน่นๆ ห่อปิดด้าหน้าด้วยฟิล์มถนอมอาหารอย่างดีครับ
อย่างไรก็ตามข้อติเดียวที่จะมีของร้านป้าอ้วนก็คือ คุณป้าท่านชอบทำอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์เป็นส่วนใหญ่ และมักจะมีผักเป็นส่วนผสมไม่มาก ดังนั้นถ้าขาดโปรตีนก็แนะนำ แต่หากซื้อกลับบ้านก็ควรอาหารประเภทอื่นที่เป็นผักมาขึ้นสำรับด้วยก็จะดี จะได้ทานครบทั้ง 5 หมู่นะครับ