เนื่องจากไป business trip ที่ญี่ปุ่น เป็นเวลา 3 วัน
แล้วขอลาต่อไปเกาหลีอีก 5 วัน
แต่กว่าจะเลิกงานในวันสุดท้ายที่ญี่ปุ่น
ก็ไม่มีไฟล์ทไปเกาหลีแล้ว ต้องรอไฟล์ทเช้าสุดของ Asiana
คือ ไฟล์ท 6.25 .... เช้ามาก เลยตัดสินใจนอน airport
เพราะว่าทีมงานจะขึ้นเครื่องกลับเมืองไทยไฟล์ทเที่ยงคืน
ด้วยความที่เป็นผู้หญิงตัวคนเดียว
เพื่อนร่วมงานชาวญี่ปุ่นก็ไม่ไว้ใจให้เราไปนอนที่อื่นคนเดียว
แล้วค่อยเดินทางมาสนามบินเองตอนเช้าด้วย
เพราะงั้นเลยเลือกนอนโรงแรมแคปซูลเพราะว่านอนนิดเดียว สั้นมาก
คือ เช็คอินตอนสี่ทุ่มกว่า หลังจากส่งพลพรรคเช็คอินกลับเมืองไทยแล้ว
เราก็มาเช็คอินเข้านอน แล้วก็ต้องออกจากโรงแรมประมาณตีห้า
ออนไลน์เช็คอิน เพื่อไปดรอปกระเป๋า ขึ้นเครื่องหกโมงครึ่งให้ทัน
โรงแรมแคปซูลที่สนามบินฮาเนดะ คือ First Cabin Haneda Terminal1
อยู่ที่Terminal 1 ไม่ใช่ Terminal international นะคะ
เราเข้าใจผิดมาแล้ว เพราะคิดว่ามันคือ Terminal เดียวกัน เลยจอง
แต่มาเจอว่ามันไม่ใช่ ก็เลยตามเลย แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะเค้ามีรถเวียน Terminal ให้บริการ
วิธีการจองคือ ผ่านเวบไซต์ของเค้าก็ได้ มีภาษาอังกฤษ
http://www.first-cabin.jp.e.jr.hp.transer.com/locationlist/haneda-terminal1.html
แต่ตอนที่เราจะจองนั้น ปรากฏในเวบจองไม่ได้ เต็ม
เลยอีเมลไปสอบถามที่โรงแรมโดยตรงว่าเต็มแล้วเหรอคะ
เค้าก็ตอบกลับมาว่า ยังมีที่เหลืออยู่นิดหน่อย จะจองมั้ย
แล้วก็แนะนำให้รีบจองเพราะเต็มเร็วมาก
ดังนั้นก็เลยคอนเฟิร์มการจองผ่านอีเมลไปค่ะ
โดยที่ไม่ได้เรียกเก็บค่าโรงแรมไปก่อน คือ เหมือนจองกันผ่านอีเมลธรรมดา
ได้หมายเลขการจองมา ก็เรียบร้อย
กะเวลาผิดค่ะ จริงๆคือเช็คอิน สี่ทุ่มกว่า
กับคนญี่ปุ่นเค้าเป๊ะเรื่องเวลามากจริงๆ
ไม่ต้องเผื่อ ไม่ต้องขาดนะคะ
พยายามเช็คอินเช็คเอาท์ให้ตรงเวลาที่บอกเค้าค่ะ
วันที่ไปพัก วันนั้นก็นั่งรถบัสจากโรงแรมไปสนามบินพร้อมทีมงาน
แล้วเราก็แยกไปโดยขึ้นรถเวียน Terminal ไปลงที่ Terminal 1
ซึ่งไม่ยากนะคะ แต่เพื่อนร่วมงานญี่ปุ่นก็เป็นคนพาไป และแนะนำวิธิการนั่งรถกลับมาตอนเช้า
พาไปเช็คอินเรียบร้อย เค้าถึงจากไปค่ะ คนญี่ปุ่นนี่เค้าสุดๆจริงๆนะคะ
ถ้าเค้าคิดว่าเค้าต้องดูแลเรา เค้าก็จะเต็มที่จนวินาทีสุดท้ายเลย
เคาเตอร์เช็คอิน พนักงานพูดอังกฤษได้สบาย
(สาเหตุที่ไม่มีพนักงานเลยเพราะว่าเราถ่ายตอนตีห้า ตอนเช็คเอาท์
มีพนักงานไม่กี่คน พอเค้าเห็นว่าเราจะถ่ายรูป ก็ไปยืนหลบกันหมดเลยค่ะ น่ารัก)
ก็จ่ายเงินไปเลยตรงนี้ ไม่ได้เรียกเก็บตอนเช็คเอาท์นะคะ
เสร็จแล้วเค้าก็จะให้กุญแจตู้ หูฟัง คีย์การ์ด มาให้ พร้อมบอกเบอร์เตียงเรา
เตียงนอนก็จะติดๆกันหมด ล็อคประตูห้องไม่ได้ ดึงลงมาได้ไม่สุด
แต่สามารถเก็บของมีค่าใส่ตู้ล็อคกุญแจไว้ได้
เราไม่ได้นอน first class ซึ่งห้องจะกว้างกว่าหน่อย มีที่วางกระเป๋า
เนื่องจากเต็ม เหลือแต่ห้อง Business ซึ่งต้องยกกระเป๋ามาวางไว้บนเตียง
นอนกับกระเป๋าไปเลย หรือบางคนก็วางไว้ตรงประตูแล้วดึงประตูลงมาชิดกันไว้
แค่ไม่ให้เกะกะทางเดินเท่านั้น
ทั้งห้องมีแค่นี้ค่ะ ข้างซ้ายคือตู้ไว้ใส่ของมีค่าเล็กๆน้อยๆ ล็อคได้
ถ้ามีของมีค่าใหญ่กว่านั้น สามารถไปใช้ตู้ล็อคเกอร์อีกโซนได้
สังเกตว่าเค้าให้ชุดนอนด้วยนะคะ
มีรีโมท มีหูฟัง มีทีวีอยู่ที่เพดานปลายเท้า ไม่ได้ถ่ายมาเพราะ
ถ่ายยังไงก็ติดจขกท.ในจอทีวีค่ะ ไม่งาม 555
ปิดเปิดไฟค่ะ ปุ่มข้างๆจำไม่ได้แล้วว่าใช้ทำอะไร นานเกิน ลืม
ห้องที่พักก็แยกชายหญิงตั้งแต่แรกเลย
เพราะงั้นไม่ต้องห่วงเลยว่าเราจะไม่ปลอดภัยแม้จะเดินทางคนเดียว
เพราะใช้คีย์การ์ด ทางเข้าของใครชองมัน ไม่มีทางเจอกันเด็ดขาด
แต่ว่าถ้ามากันหลายคน อยากสังสรรค์กับเพื่อนก็มีที่นั่งตรงหน้าล็อบบี้
ที่สามารถคุยกันก่อนแยกย้ายไปนอนได้
บริเวณล็อบบี้ มีตู้กดสารพัดสิ่งที่คุณต้องการ อาหารญี่ปุ่นอร่อยทุกที่แม้ในตู้กดค่ะ ฟันเฟิร์ม
เครื่องนอนที่เค้าให้นี่ ให้ทุกอย่าง
เรียกว่าไม่ต้องแกะกระเป๋ายังได้
มีทั้งผ้าขนหนู ชุดนอน แปรงสีฟัน
พอไปถึงที่อาบน้ำ ก็คิดว่าจะไม่มีอะไร
ปรากฏมีให้ตั้งแต่ที่ล้างเครื่องสำอางจนถึงโฟมล้างหน้า
ดังนั้น สาวๆสามารถเดินทางมานอนที่นี่แบบด่วนๆ
โดยไม่ต้องแกะกระเป๋าใหญ่ได้เลย ไม่ต้องวุ่นวาย
โซนล้างหน้าแต่งหน้าก็ยาวเหยียดมาก ไม่ต้องเบียดแย่งกับใคร
เอาอ่างล้างหน้าไปคนละอ่าง กระจกคนละอัน
ไม่กล้าถ่ายรูปมาเยอะเพราะว่ามันเป็นโซนส่วนตัวนะคะ
แต่จะโชว์ให้เห็นว่า ของเค้าไม่ใช่เบๆ แต่เป็น shishedo เลยเชียว
ส่วนห้องอาบน้ำที่มีคนขู่ว่า อาบรวมนะเออ คนไทยอย่างเราจะเขิน
ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะมีห้องอาบน้ำแยกให้ 2 ห้อง
มิดชิดกว่าห้องอาบน้ำฟิตเนสหรูๆบ้านเราเสียอีก
(เราเป็นคนเล่นฟิตเนสทุกวัน เพราะงั้นคุ้นเคยกับการใช้ห้องน้ำฟิตเนสมาก
มาอาบน้ำ ล้างหน้า แต่งหน้าแบบนี้สำหรับเราแล้วสบายมาก ชิล)
มีเครื่องซักผ้า และเครื่องอบผ้าหยอดเหรียญให้ด้วย ครบไปหมด
ในห้องผู้หญิงมีตู้กดสองตู้ ข้างขวาเข้าใจได้
ข้างซ้ายยืนส่องอยู่นานกว่าจะรู้ว่า มันคือ ครีมค่ะคุณ
(คือ เค้าก็เขียนไว้ตัวใหญ่ว่าครีมนะคะ
แต่ไม่เห็นค่ะ มุ่งหน้ามองเข้าไปหาของน่ารักในตู้อย่างเดียว)
แล้วก็มีห้องออนเซ็นค่ะ อันนี้แหละที่ใครๆพูดถึงกัน
เค้ามีออนเซ็นเล็กๆอยู่ ไอ่เราก็คิดอยู่นานว่ายังไงดีน้า มาถึงญี่ปุ่นทั้งที
จะกลับบ้านไปโดยไม่มีประสบการณ์ออนเซ็นเลยจะดีมั้ย
ระหว่างที่ยืนคิดอยู่นั้น ก็มีสาวๆหลายคนเดินฉับๆเข้าห้องออนเซ็นไปอย่างไม่แคร์สายตาใคร
เห็นเค้าไม่เขินกันเลยแม้แต่น้อย เราก็เลย เอาล่ะ ตรงนี้ก็มีแต่ผู้หญิงแถมคนน้อยมาก
ถ้าไม่ลองแช่ที่นี่จะไปลองแช่ที่ไหน เลยตัดสินใจไปแช่ออนเซ็นด้วย
ไม่มีใครใส่ใจใครจริงๆนะคะในออนเซ็น ต่างคนต่างแช่
แช่เสร็จก็ขึ้น บางคนก็อาบน้ำในห้องออนเซ็นเลย
แต่เราอาบในห้องชาวเวอร์แล้ว เลยไม่อาบอีก (แค่นี้พี่ก็เขินแล้ว)
แช่ออนเซ็นเสร็จ สบายตัว เมื่อยล้าจากการทำงานมาก็นอนเลย
ตั้งนาฬิกาปลุกแล้วก็นอน แต่จริงๆจะขอให้เค้าปลุกเป็น morning call ก็ได้ มีบริการ
แต่ในห้องไม่มีโทรศัพท์ จะ morning call ยังไง ...
เค้าเดินมาปลุกค่ะคุณ
ด้วยความที่เป็นญี่ปุ่น เค้าจะต้องเกรงใจคนรอบข้างมากๆ
ห้ามรบกวนกันเด็ดขาด เพราะงั้นถ้ามีโทรศัพท์ดังก็ไม่ได้ กวนห้องข้างๆ
อยากโทรศัพท์ส่วนตัวของเราก็ต้องไปโทรที่ห้องโทรศัพท์นะคะ จะได้ไม่รบกวนคนอื่น
เราอยู่ห้องเกือบริมสุด ทำให้ทุกคนต้องเดินผ่านห้องเราเข้าไปนอน
ก็จะมีเสียงคนเดินผ่านไปผ่านมาทั้งคืน
คนที่นอนที่นี่จะมาเช็คอินดึกๆ ออกเช้าๆ ก็จะสวนสนามกันทั้งคืน
แต่ก็ไม่น่ากลัวเพราะว่าเราปิดห้องลงมาแล้ว
แล้วก็คงไม่มีใครมาเปิดห้องทำมิดีมิร้ายแน่นอน เลยนอนได้อย่างสบายใจ
ตื่นเช้ามาก็อาบน้ำ แต่งตัว คืนห้อง แล้วก็นั่งรถต่อไป Terminal international ได้เลย
รถเที่ยวแรกประมาณตีห้า ใครที่ต้องออกเช้ากว่านั้น สามารถบอกโรงแรมได้
เค้าจะจัด shuttle bus ไปส่งให้
สะดวกสบายมากจริงๆ สะอาด และรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย ได้นอนเต็มอิ่ม
เลยอยากให้สาวไทยที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นมาพักที่นี่แทนที่จะนอนค้างสนามบินเถอะค่ะ
อันตรายนะ ถึงจะบอกว่านี่คือ ญี่ปุ่น แต่ที่สนามบินมันร้อยพ่อพันแม่ ไม่ได้มีแต่คนญี่ปุ่น
แล้วที่นี่ก็ไม่ได้แพงมาก คืนละประมาณ 1,500 เท่านั้น ถือเสียว่าซื้อความปลอดภัยให้ตัวเอง
แล้วก็มาลองประสบการณ์นอนโรงแรมแคปซูลในญี่ปุ่นดู มันคุ้มค่าจริงๆ
[CR] พาไปนอนโรงแรมแคปซูลที่สนามบินฮาเนดะ (First Cabin)
แล้วขอลาต่อไปเกาหลีอีก 5 วัน
แต่กว่าจะเลิกงานในวันสุดท้ายที่ญี่ปุ่น
ก็ไม่มีไฟล์ทไปเกาหลีแล้ว ต้องรอไฟล์ทเช้าสุดของ Asiana
คือ ไฟล์ท 6.25 .... เช้ามาก เลยตัดสินใจนอน airport
เพราะว่าทีมงานจะขึ้นเครื่องกลับเมืองไทยไฟล์ทเที่ยงคืน
ด้วยความที่เป็นผู้หญิงตัวคนเดียว
เพื่อนร่วมงานชาวญี่ปุ่นก็ไม่ไว้ใจให้เราไปนอนที่อื่นคนเดียว
แล้วค่อยเดินทางมาสนามบินเองตอนเช้าด้วย
เพราะงั้นเลยเลือกนอนโรงแรมแคปซูลเพราะว่านอนนิดเดียว สั้นมาก
คือ เช็คอินตอนสี่ทุ่มกว่า หลังจากส่งพลพรรคเช็คอินกลับเมืองไทยแล้ว
เราก็มาเช็คอินเข้านอน แล้วก็ต้องออกจากโรงแรมประมาณตีห้า
ออนไลน์เช็คอิน เพื่อไปดรอปกระเป๋า ขึ้นเครื่องหกโมงครึ่งให้ทัน
โรงแรมแคปซูลที่สนามบินฮาเนดะ คือ First Cabin Haneda Terminal1
อยู่ที่Terminal 1 ไม่ใช่ Terminal international นะคะ
เราเข้าใจผิดมาแล้ว เพราะคิดว่ามันคือ Terminal เดียวกัน เลยจอง
แต่มาเจอว่ามันไม่ใช่ ก็เลยตามเลย แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะเค้ามีรถเวียน Terminal ให้บริการ
วิธีการจองคือ ผ่านเวบไซต์ของเค้าก็ได้ มีภาษาอังกฤษ
http://www.first-cabin.jp.e.jr.hp.transer.com/locationlist/haneda-terminal1.html
แต่ตอนที่เราจะจองนั้น ปรากฏในเวบจองไม่ได้ เต็ม
เลยอีเมลไปสอบถามที่โรงแรมโดยตรงว่าเต็มแล้วเหรอคะ
เค้าก็ตอบกลับมาว่า ยังมีที่เหลืออยู่นิดหน่อย จะจองมั้ย
แล้วก็แนะนำให้รีบจองเพราะเต็มเร็วมาก
ดังนั้นก็เลยคอนเฟิร์มการจองผ่านอีเมลไปค่ะ
โดยที่ไม่ได้เรียกเก็บค่าโรงแรมไปก่อน คือ เหมือนจองกันผ่านอีเมลธรรมดา
ได้หมายเลขการจองมา ก็เรียบร้อย
กะเวลาผิดค่ะ จริงๆคือเช็คอิน สี่ทุ่มกว่า
กับคนญี่ปุ่นเค้าเป๊ะเรื่องเวลามากจริงๆ
ไม่ต้องเผื่อ ไม่ต้องขาดนะคะ
พยายามเช็คอินเช็คเอาท์ให้ตรงเวลาที่บอกเค้าค่ะ
วันที่ไปพัก วันนั้นก็นั่งรถบัสจากโรงแรมไปสนามบินพร้อมทีมงาน
แล้วเราก็แยกไปโดยขึ้นรถเวียน Terminal ไปลงที่ Terminal 1
ซึ่งไม่ยากนะคะ แต่เพื่อนร่วมงานญี่ปุ่นก็เป็นคนพาไป และแนะนำวิธิการนั่งรถกลับมาตอนเช้า
พาไปเช็คอินเรียบร้อย เค้าถึงจากไปค่ะ คนญี่ปุ่นนี่เค้าสุดๆจริงๆนะคะ
ถ้าเค้าคิดว่าเค้าต้องดูแลเรา เค้าก็จะเต็มที่จนวินาทีสุดท้ายเลย
เคาเตอร์เช็คอิน พนักงานพูดอังกฤษได้สบาย
(สาเหตุที่ไม่มีพนักงานเลยเพราะว่าเราถ่ายตอนตีห้า ตอนเช็คเอาท์
มีพนักงานไม่กี่คน พอเค้าเห็นว่าเราจะถ่ายรูป ก็ไปยืนหลบกันหมดเลยค่ะ น่ารัก)
ก็จ่ายเงินไปเลยตรงนี้ ไม่ได้เรียกเก็บตอนเช็คเอาท์นะคะ
เสร็จแล้วเค้าก็จะให้กุญแจตู้ หูฟัง คีย์การ์ด มาให้ พร้อมบอกเบอร์เตียงเรา
เตียงนอนก็จะติดๆกันหมด ล็อคประตูห้องไม่ได้ ดึงลงมาได้ไม่สุด
แต่สามารถเก็บของมีค่าใส่ตู้ล็อคกุญแจไว้ได้
เราไม่ได้นอน first class ซึ่งห้องจะกว้างกว่าหน่อย มีที่วางกระเป๋า
เนื่องจากเต็ม เหลือแต่ห้อง Business ซึ่งต้องยกกระเป๋ามาวางไว้บนเตียง
นอนกับกระเป๋าไปเลย หรือบางคนก็วางไว้ตรงประตูแล้วดึงประตูลงมาชิดกันไว้
แค่ไม่ให้เกะกะทางเดินเท่านั้น
ทั้งห้องมีแค่นี้ค่ะ ข้างซ้ายคือตู้ไว้ใส่ของมีค่าเล็กๆน้อยๆ ล็อคได้
ถ้ามีของมีค่าใหญ่กว่านั้น สามารถไปใช้ตู้ล็อคเกอร์อีกโซนได้
สังเกตว่าเค้าให้ชุดนอนด้วยนะคะ
มีรีโมท มีหูฟัง มีทีวีอยู่ที่เพดานปลายเท้า ไม่ได้ถ่ายมาเพราะ
ถ่ายยังไงก็ติดจขกท.ในจอทีวีค่ะ ไม่งาม 555
ปิดเปิดไฟค่ะ ปุ่มข้างๆจำไม่ได้แล้วว่าใช้ทำอะไร นานเกิน ลืม
ห้องที่พักก็แยกชายหญิงตั้งแต่แรกเลย
เพราะงั้นไม่ต้องห่วงเลยว่าเราจะไม่ปลอดภัยแม้จะเดินทางคนเดียว
เพราะใช้คีย์การ์ด ทางเข้าของใครชองมัน ไม่มีทางเจอกันเด็ดขาด
แต่ว่าถ้ามากันหลายคน อยากสังสรรค์กับเพื่อนก็มีที่นั่งตรงหน้าล็อบบี้
ที่สามารถคุยกันก่อนแยกย้ายไปนอนได้
บริเวณล็อบบี้ มีตู้กดสารพัดสิ่งที่คุณต้องการ อาหารญี่ปุ่นอร่อยทุกที่แม้ในตู้กดค่ะ ฟันเฟิร์ม
เครื่องนอนที่เค้าให้นี่ ให้ทุกอย่าง
เรียกว่าไม่ต้องแกะกระเป๋ายังได้
มีทั้งผ้าขนหนู ชุดนอน แปรงสีฟัน
พอไปถึงที่อาบน้ำ ก็คิดว่าจะไม่มีอะไร
ปรากฏมีให้ตั้งแต่ที่ล้างเครื่องสำอางจนถึงโฟมล้างหน้า
ดังนั้น สาวๆสามารถเดินทางมานอนที่นี่แบบด่วนๆ
โดยไม่ต้องแกะกระเป๋าใหญ่ได้เลย ไม่ต้องวุ่นวาย
โซนล้างหน้าแต่งหน้าก็ยาวเหยียดมาก ไม่ต้องเบียดแย่งกับใคร
เอาอ่างล้างหน้าไปคนละอ่าง กระจกคนละอัน
ไม่กล้าถ่ายรูปมาเยอะเพราะว่ามันเป็นโซนส่วนตัวนะคะ
แต่จะโชว์ให้เห็นว่า ของเค้าไม่ใช่เบๆ แต่เป็น shishedo เลยเชียว
ส่วนห้องอาบน้ำที่มีคนขู่ว่า อาบรวมนะเออ คนไทยอย่างเราจะเขิน
ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะมีห้องอาบน้ำแยกให้ 2 ห้อง
มิดชิดกว่าห้องอาบน้ำฟิตเนสหรูๆบ้านเราเสียอีก
(เราเป็นคนเล่นฟิตเนสทุกวัน เพราะงั้นคุ้นเคยกับการใช้ห้องน้ำฟิตเนสมาก
มาอาบน้ำ ล้างหน้า แต่งหน้าแบบนี้สำหรับเราแล้วสบายมาก ชิล)
มีเครื่องซักผ้า และเครื่องอบผ้าหยอดเหรียญให้ด้วย ครบไปหมด
ในห้องผู้หญิงมีตู้กดสองตู้ ข้างขวาเข้าใจได้
ข้างซ้ายยืนส่องอยู่นานกว่าจะรู้ว่า มันคือ ครีมค่ะคุณ
(คือ เค้าก็เขียนไว้ตัวใหญ่ว่าครีมนะคะ
แต่ไม่เห็นค่ะ มุ่งหน้ามองเข้าไปหาของน่ารักในตู้อย่างเดียว)
แล้วก็มีห้องออนเซ็นค่ะ อันนี้แหละที่ใครๆพูดถึงกัน
เค้ามีออนเซ็นเล็กๆอยู่ ไอ่เราก็คิดอยู่นานว่ายังไงดีน้า มาถึงญี่ปุ่นทั้งที
จะกลับบ้านไปโดยไม่มีประสบการณ์ออนเซ็นเลยจะดีมั้ย
ระหว่างที่ยืนคิดอยู่นั้น ก็มีสาวๆหลายคนเดินฉับๆเข้าห้องออนเซ็นไปอย่างไม่แคร์สายตาใคร
เห็นเค้าไม่เขินกันเลยแม้แต่น้อย เราก็เลย เอาล่ะ ตรงนี้ก็มีแต่ผู้หญิงแถมคนน้อยมาก
ถ้าไม่ลองแช่ที่นี่จะไปลองแช่ที่ไหน เลยตัดสินใจไปแช่ออนเซ็นด้วย
ไม่มีใครใส่ใจใครจริงๆนะคะในออนเซ็น ต่างคนต่างแช่
แช่เสร็จก็ขึ้น บางคนก็อาบน้ำในห้องออนเซ็นเลย
แต่เราอาบในห้องชาวเวอร์แล้ว เลยไม่อาบอีก (แค่นี้พี่ก็เขินแล้ว)
แช่ออนเซ็นเสร็จ สบายตัว เมื่อยล้าจากการทำงานมาก็นอนเลย
ตั้งนาฬิกาปลุกแล้วก็นอน แต่จริงๆจะขอให้เค้าปลุกเป็น morning call ก็ได้ มีบริการ
แต่ในห้องไม่มีโทรศัพท์ จะ morning call ยังไง ...
เค้าเดินมาปลุกค่ะคุณ
ด้วยความที่เป็นญี่ปุ่น เค้าจะต้องเกรงใจคนรอบข้างมากๆ
ห้ามรบกวนกันเด็ดขาด เพราะงั้นถ้ามีโทรศัพท์ดังก็ไม่ได้ กวนห้องข้างๆ
อยากโทรศัพท์ส่วนตัวของเราก็ต้องไปโทรที่ห้องโทรศัพท์นะคะ จะได้ไม่รบกวนคนอื่น
เราอยู่ห้องเกือบริมสุด ทำให้ทุกคนต้องเดินผ่านห้องเราเข้าไปนอน
ก็จะมีเสียงคนเดินผ่านไปผ่านมาทั้งคืน
คนที่นอนที่นี่จะมาเช็คอินดึกๆ ออกเช้าๆ ก็จะสวนสนามกันทั้งคืน
แต่ก็ไม่น่ากลัวเพราะว่าเราปิดห้องลงมาแล้ว
แล้วก็คงไม่มีใครมาเปิดห้องทำมิดีมิร้ายแน่นอน เลยนอนได้อย่างสบายใจ
ตื่นเช้ามาก็อาบน้ำ แต่งตัว คืนห้อง แล้วก็นั่งรถต่อไป Terminal international ได้เลย
รถเที่ยวแรกประมาณตีห้า ใครที่ต้องออกเช้ากว่านั้น สามารถบอกโรงแรมได้
เค้าจะจัด shuttle bus ไปส่งให้
สะดวกสบายมากจริงๆ สะอาด และรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย ได้นอนเต็มอิ่ม
เลยอยากให้สาวไทยที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นมาพักที่นี่แทนที่จะนอนค้างสนามบินเถอะค่ะ
อันตรายนะ ถึงจะบอกว่านี่คือ ญี่ปุ่น แต่ที่สนามบินมันร้อยพ่อพันแม่ ไม่ได้มีแต่คนญี่ปุ่น
แล้วที่นี่ก็ไม่ได้แพงมาก คืนละประมาณ 1,500 เท่านั้น ถือเสียว่าซื้อความปลอดภัยให้ตัวเอง
แล้วก็มาลองประสบการณ์นอนโรงแรมแคปซูลในญี่ปุ่นดู มันคุ้มค่าจริงๆ