ซินจ่าว...ชาวบลูแพลนเน็ตทุกท่าน พอดีมีโอกาสได้ไปเที่ยวเวียดนาม
(โฮจิมินห์-ดาลัด) 3วัน2คืน เลยอยากจะมาแชร์ข้อมูลการเดินทาง เผื่อจะเป็นประโยชน์กับพี่ๆน้องๆที่กำลังสนใจจะไปเที่ยว ข้อมูลและสถานที่ท่องเที่ยวอาจจะไม่ครบถ้วน แต่ก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ
มาเริ่มกันเลยดีกว่า การเดินทางไปเที่ยวประเทศเวียดนามสำหรับพาสปอร์ตไทย ไม่ต้องใช้วีซ่าอยู่ได้ไม่เกิน 30วัน และอย่าลืม!!! พาสปอร์ตต้องมีอายุมากกว่า6เดือนขึ้นไป เราเลือกแลกเงินที่
Super Rich จากประเทศไทยไปเลย ลดเรื่องความยุ่งยากวุ่นวาย ฮ่าๆ
ทริปนี้เราเลือกเดินทางเที่ยวบินเช้า
(FD650) ไปกับ
สายการบินแอร์เอเชีย ซึ่งเดินทางออกจากสนามบินดอนเมือง
(DMK) เวลา 07:45 และถึงโฮจิมินห์
(SGN) เวลาประมาณ 09:15 ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1ชม.30นาที โดยเครื่องบินแบบ
Airbus A320 เวลาที่ประเทศเวียดนามเท่ากับเวลาประเทศไทย สนใจเช็คเส้นทางบินและราคาได้ที่เวป
www.airasia.com นะครับ
เราได้เดินทางมาถึงสนามบิน เติน เซิ่น เญิ้ต
(Tan Son Nhat International Airport) เป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ
หลังจากที่เราได้ผ่าน ตม. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ไปรอรับกระเป๋าและรีบลากกระเป๋าไป
Domestic Terminal เนื่องจากว่าทริปนี้เรามีเวลาน้อย เราจึงได้เลือกเดินทางไปดาลัดโดยเครื่องบิน กับสายการบิน
VietJetAir ครับ เมื่อถึงอาคารภายในประเทศ ให้สังเกตป้ายทางเข้าของสายการบินเวียดเจ็ตให้ดี เพราะที่นี่เค้าจะแบ่งทางเข้าแต่ละสายการบินคนละทางเข้ากันครับ เข้าไปถึงมีผู้โดยสารต่อคิวเช็คอินกันแถวยาวเหยียด และคนท้องถิ่นชอบแซงคิวหน้าตาเฉย ทำเอาเราแอบหงุดหงิดเหมือนกัน ไอ้เราก็รีบกลัวเช็คอินไม่ทัน แต่มาเที่ยวเนอะอะไรไม่ดีก็มองผ่านๆไปบ้าง จะได้ไม่หมดสนุก
เช็คอินเสร็จผ่านเครื่องสแกนตัวและกระเป๋าถือขึ้นเครื่องเรียบร้อยแล้ว เราก็ไปนั่งรอขึ้นเครื่องกันครับ สนามบินที่โฮจิมินห์ค่อนข้างเล็ก ไม่มีของน่าสนใจขายสักเท่าไหร่ ห้องน้ำที่นี่ก็สะอาดสะอ้านดีครับ
เที่ยวบินที่
VJ330 ออกจาก Ho Chi Minh
(SGN) เวลา 11:25 ถึง Da Lat
(DLI) เวลา 12:15 โดยเครื่องบินแบบ
Airbus A320 ใช้เวลาเดินทางโดยประมาณ 50นาทีก็ถึงสนามบินดาลัดแล้วครับ สายการบิน
VietJetAir เป็นสายการบิน
Low Cost ของประเทศเวียดนาม คล้ายๆกับหางแดง ชุดพนักงานต้อนรับน่ารักดูแปลกตาดี พวกเราจองขาไป+น้ำหนักกระเป๋า 15กิโลกรัม ได้ในราคาคนละ
852 บาทครับ สนใจลองเข้าไปเช็คเส้นทางบินและราคาได้ที่เวป
www.vietjetair.com ได้เวลาเดินทางต่อกันแล้วครับ
นั่งไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ได้ยินเสียงกัปตันแจ้งทำการลดระดับเครื่องบินลงสู่สนามบินดาลัด
(Lien Khoung Airport) สนามบินนี้เป็นสนามบินเล็กท่ามกลางภูเขาสลับซับซ้อน จึงให้ผู้โดยสารลงจากเครื่องแล้วเดินเข้าอาคารผู้โดยสารด้วยตนเองเพื่อไปรอรับสัมภาระ (สัมผัสได้ถึงอากาศหนาว) จากที่เราได้หาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตมาว่าที่นี่มีรถบัสบริการจากสนามบินเข้าเมืองดาลัด เราจึงหาcounterขายตั๋ว ซึ่งอยู่บริเวณสายพานรอรับกระเป๋าเลยครับหาไม่ยาก
ราคา 40.000 ดอง/คน
รถบัสจอดอยู่หน้าอาคารผู้โดยสารขาเข้าเลยครับ จากสนามบินใช้เวลาเดินทางประมาณ
30นาทีก็ถึงตัวเมืองดาลัดแล้วครับ เอ้อ...ลืมบอก!!! เราสามารถบอกคนขับรถให้ไปส่งเราถึงหน้าโรงแรมได้เลยนะครับ
อันนี้คือรายละเอียดของรถบัสครับ เผื่อไว้สำหรับตอนขากลับ ต้องให้ทางโรงแรมโทรนัดรถมารับอย่างน้อย
2ชั่วโมงก่อนเวลาเครื่องออกครับ รถจะมารับหน้าโรงแรมเลยครับ
นั่งรถชมวิวขึ้นลงเขาสักพักนึง เริ่มเห็นบ้าน ร้านรวงต่างๆก็แสดงว่าเราเริ่มใกล้เข้าเมืองดาลัดเข้าไปเรื่อยๆแล้วครับ รถบัสจะวนไปส่งผู้โดยสารตามโรงแรมต่างๆ จนถึงโรงแรมของเราคืนนี้ครับ เราเลือกพักที่
Tulip Hotel จองได้ในราคา
893.66บาท/คืน ซึ่งอยู่ในตัวเมืองไม่ไกลจากตลาดกลางคืน สามารถเดินไปได้ประมาน
5นาทีก็ถึงแล้วครับ
สภาพภายในห้องถือว่าใช้ได้ครับ โรงแรมในดาลัดจะไม่มีแอร์นะครับเพราะสภาพอากาศที่ดาลัดหนาวเย็นอยู่แล้ว เมื่อพวกเราถึงห้องฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก พอดีเราซื้อของกินมากจากที่ไทย เลยนั่งกินกันในห้องรอฝนหยุด จะเช่ารถมอไซขับแว๊นทั่วเมืองครับ ราคาเช่ามอไซ
120.000ดอง/วัน แต่เรามีเวลาไม่ถึงวัน เนื่องจากว่าเราต้องบินกลับโฮจิมินห์เที่ยวบินเช้าของวันพรุ่งนี้เราจึงเช่าแค่ครึ่งวันในราคา
60.000ดอง และให้ทางโรงแรมโทรนัดรถบัสมารับที่โรงแรมเพื่อไปส่งสนามบินวันพรุ่งนี้ตอนเช้าครับ พนักงานโรงแรมที่เวียดนามส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเข้าใจภาษาอังกฤษมากนัก ใช้เวลาในการสือสารกันนานพอสมควรครับ
วิวจากห้องของเราครับ หมอกลง อากาศเย็นมากกกก
มาแว๊นกันต่อครับ สถานที่แรกที่เราไปคือ
Dalat Cathedral หรือโบสถ์ไก่ จุดเด่นมีไก่อยู่บนยอดสุด สร้างขึ้นโดยชาวฝรั่งเศส เมื่อปี 1931-1942 ขณะนั้นฝรั่งเศสเริ่มเข้ามาบทบาทกับเวียดนามก่อนจะเป็นเมืองขึ้นเต็มรูปแบบ เป็นโบสถ์ใหญ่ที่สุดตั้งอยู่ใจกลางเมืองดาลัดเป็นศูนย์รวมของชาวคริสต์
จากนั้นก็แว๊นกันหลงไปหลงมา ไปเจอสถานีรถไฟดาลัด
(Dalat Train Station) โดยบังเอิญเลยแวะถ่ายรูปกันหน่อย สถานีรถไฟดาลัดถือเป็นสถานีรถไฟที่เก่าแก่ที่สุดของเวียดนามและอินโดจีน สถานีถูกสร้างขึ้นโดยชาวฝรั่งเศสในช่วง ศ.ศ. 1932 ถึง1938 เส้นทางสายนี้มีความยาว 84 กม. สถานีมีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ไม่ซ้ำกันมีสามหลังคามุก สถานีได้รับการยอมรับว่าเป็นวัฒนธรรมประจำชาติอันเก่าแก่ ปัจจุบันเป็นสถานที่น่าสนใจสถานที่ท่องเที่ยวของเมือง ปัจจุบันเปิดให้บริการเฉพาะนักท่องเที่ยวระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร โดยสถานีปลายทางเป็นวัดที่ทำจากกระเบื้องทั้งหมด เป็นสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจแห่งหนึ่ง
ถ่ายรูปกันเสร็จเราก็แว๊นเที่ยวรอบเมืองไปเจอถนนนึงซึ่งมีทุ่งดอกไม้สีแดง สวยมากบวกกับอากาศหนาวๆแบบนี้โรแมนติกสุดๆครับ
จุดหมายต่อไปของพวกเราคือ สวนดอกไม้ดาลัด
(Dalat Flower Park) มีพื้นที่ 7,000 ตารางเมตร เป็นสวนดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองดาลัด ตั้งอยู่ริมทะเลสาบซวนฮวาง
(Xuan Huong Lake) ทางด้านตะวันออกสุดของทะเลสาบ ห่างจากกลางเมืองดาลัด ประมาณ 2กิโลเมตร
ที่นี่เสียค่าเข้าชม
30.000/คน
ด้านในจัดเป็นสวน และมีพื้นที่ทำกิจกรรมอื่นๆด้วย อย่างเช่นการขี่ม้าถ่ายรูป สวนดอกไม้ด้านใน นักท่องเที่ยวจะได้ชมพันธุ์ไม้ที่มาจากหลากหลาประเทศ ซึ่งเมืองดาลัดเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงอย่างมากเรื่องการปลูกดอกไม้ เพราะมีอากาศดีทั้งปี จึงสามารถเที่ยวชมความงามของดอกไม้ที่หมุนเวียนกันออกดอกสวยตลอดทั้งปี
แว๊นไปแว็นมาฝนลงเม็ดเล็กๆ ลมหนาวต้องเนื้อ ท้องก็ร้อง เราเลยแวะทานน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋กันครับ อากาศแบบนี้จิบน้ำเต้าหู้ร้อนๆ ฟินลืม!!!
ร้านอยู่ไม่ไกลจากวงเวียนตลาดคนเดินกลางคืนครับ
บรรยากาศรอบๆทะเลสาบซวนเฮือง
(Xuan Houng Lake) ตั้งอยู่ใจกลางเมืองดาลัด เหมาะสำหรับพักผ่อนชมวิถีชีวิตชิลๆ
slow life ของคนดาลัด
วงเวียนตลาดคนเดินของเมืองดาลัดครับ
รอบๆวงเวียนตลาดคนเดินตอนกลางคืนที่นี่ก็จะมีทั้งเสื้อผ้า เสื้อกันหนาว ผลไม้ สตรอเบอร์รี่ และอาหารข้างทางไว้สำหรับให้นักท่องเที่ยวได้หาซื้อของฝาก รับประทานอาหารค่ำแบบคนท้องถิ่นกัน อันนี้เป็นพิซซ่าเวียดนามครับ
อันนี้เป็นร้านของปิ้งย่างเลือกได้ตามต้องการเลยครับ
เค้าว่ากันว่ามาดาลัด ต้องลองชิมนมและโยเกิร์ตดาลัด เราเลยจัดสักหน่อย รสชาติก็กลมกล่อมดีครับ แต่นมวัวบ้านเราจะเข้มข้นกว่า
ค่ำแล้ว พวกเราเป็นพวกชอบลองอะไรแปลกๆ ที่คนท้องถิ่นเค้ากินกัน แว๊นไปเจอร้านนึงใกล้ๆกับที่พักของเรา เลยแวะลองกันสักหน่อย
ร้านที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นโต๊ะกับเก้าอี้เล็กๆไว้สำหรับให้ลูกค้านั่งทานอาหาร แปลกไปอีกแบบ
อาหารที่เราสั่งมี3อย่าง หน้าตาน่าทานดี รสชาติก็แปลกๆแต่อร่อยดี ร้านนี้จากที่ดูเหมือนคนท้องถิ่นเค้าจะมานั่งสังสรรค์ดื่มเบียร์ชิลไปกับอากาศเย็นๆของที่นี่กันครับ
แอบเสียดาย...ทริปนี้เรามีเวลาเที่ยวแค่นี้ แว๊นมอไซท่ามกลางฝนปรอยๆ เลยเลือกที่จะไม่ไปนั่งกระเช้ากับโรลเลอร์โคสเตอร์เนื่องจากฝนตก เอาไว้คราวหน้ามาจะไม่พลาดแน่ แว๊นเที่ยวมาพอสมควรแล้วได้เวลากลับที่พัก พรุ่งนี้ตื่นเช้าลงมาเช็คเอ้าท์ รอรถบัสมารับไปส่งสนามบิน ไปเที่ยวโฮจิมินห์กันต่อครับ ก่อนนอนมีภาพบรรยากาศดาลัดตอนกลางคืนท่ามกลางสายหมอกมาให้ชมกันด้วยครับ
สวัสดีตอนเช้าอีกวัน ได้เวลาบอกลาดาลัดแล้วสิ วันที่สองเรานัดรถมารับตอนเวลา 07:30 เพราะเราจอง
VietJetAir ขากลับ+นน.กระเป๋า15กิโลกรัมไว้ในราคา
1,113บาท/คน เที่ยวบินที่
VJ331 ออกเดินทางจาก
DaLat เวลา 09:55 -
HoChiMinh เวลา 10:45
โปรดติดตามตอนต่อไป ไปเที่ยวโฮจิมินห์ด้วยกันนะค้าบบ
[CR] HoChiMinh-DaLat on 22-24 SEP 2015
ซินจ่าว...ชาวบลูแพลนเน็ตทุกท่าน พอดีมีโอกาสได้ไปเที่ยวเวียดนาม (โฮจิมินห์-ดาลัด) 3วัน2คืน เลยอยากจะมาแชร์ข้อมูลการเดินทาง เผื่อจะเป็นประโยชน์กับพี่ๆน้องๆที่กำลังสนใจจะไปเที่ยว ข้อมูลและสถานที่ท่องเที่ยวอาจจะไม่ครบถ้วน แต่ก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ
มาเริ่มกันเลยดีกว่า การเดินทางไปเที่ยวประเทศเวียดนามสำหรับพาสปอร์ตไทย ไม่ต้องใช้วีซ่าอยู่ได้ไม่เกิน 30วัน และอย่าลืม!!! พาสปอร์ตต้องมีอายุมากกว่า6เดือนขึ้นไป เราเลือกแลกเงินที่ Super Rich จากประเทศไทยไปเลย ลดเรื่องความยุ่งยากวุ่นวาย ฮ่าๆ
ทริปนี้เราเลือกเดินทางเที่ยวบินเช้า (FD650) ไปกับสายการบินแอร์เอเชีย ซึ่งเดินทางออกจากสนามบินดอนเมือง (DMK) เวลา 07:45 และถึงโฮจิมินห์ (SGN) เวลาประมาณ 09:15 ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1ชม.30นาที โดยเครื่องบินแบบ Airbus A320 เวลาที่ประเทศเวียดนามเท่ากับเวลาประเทศไทย สนใจเช็คเส้นทางบินและราคาได้ที่เวป www.airasia.com นะครับ
เราได้เดินทางมาถึงสนามบิน เติน เซิ่น เญิ้ต (Tan Son Nhat International Airport) เป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ
หลังจากที่เราได้ผ่าน ตม. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ไปรอรับกระเป๋าและรีบลากกระเป๋าไป Domestic Terminal เนื่องจากว่าทริปนี้เรามีเวลาน้อย เราจึงได้เลือกเดินทางไปดาลัดโดยเครื่องบิน กับสายการบิน VietJetAir ครับ เมื่อถึงอาคารภายในประเทศ ให้สังเกตป้ายทางเข้าของสายการบินเวียดเจ็ตให้ดี เพราะที่นี่เค้าจะแบ่งทางเข้าแต่ละสายการบินคนละทางเข้ากันครับ เข้าไปถึงมีผู้โดยสารต่อคิวเช็คอินกันแถวยาวเหยียด และคนท้องถิ่นชอบแซงคิวหน้าตาเฉย ทำเอาเราแอบหงุดหงิดเหมือนกัน ไอ้เราก็รีบกลัวเช็คอินไม่ทัน แต่มาเที่ยวเนอะอะไรไม่ดีก็มองผ่านๆไปบ้าง จะได้ไม่หมดสนุก
เช็คอินเสร็จผ่านเครื่องสแกนตัวและกระเป๋าถือขึ้นเครื่องเรียบร้อยแล้ว เราก็ไปนั่งรอขึ้นเครื่องกันครับ สนามบินที่โฮจิมินห์ค่อนข้างเล็ก ไม่มีของน่าสนใจขายสักเท่าไหร่ ห้องน้ำที่นี่ก็สะอาดสะอ้านดีครับ
เที่ยวบินที่ VJ330 ออกจาก Ho Chi Minh (SGN) เวลา 11:25 ถึง Da Lat (DLI) เวลา 12:15 โดยเครื่องบินแบบ Airbus A320 ใช้เวลาเดินทางโดยประมาณ 50นาทีก็ถึงสนามบินดาลัดแล้วครับ สายการบิน VietJetAir เป็นสายการบิน Low Cost ของประเทศเวียดนาม คล้ายๆกับหางแดง ชุดพนักงานต้อนรับน่ารักดูแปลกตาดี พวกเราจองขาไป+น้ำหนักกระเป๋า 15กิโลกรัม ได้ในราคาคนละ 852 บาทครับ สนใจลองเข้าไปเช็คเส้นทางบินและราคาได้ที่เวป www.vietjetair.com ได้เวลาเดินทางต่อกันแล้วครับ
นั่งไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ได้ยินเสียงกัปตันแจ้งทำการลดระดับเครื่องบินลงสู่สนามบินดาลัด (Lien Khoung Airport) สนามบินนี้เป็นสนามบินเล็กท่ามกลางภูเขาสลับซับซ้อน จึงให้ผู้โดยสารลงจากเครื่องแล้วเดินเข้าอาคารผู้โดยสารด้วยตนเองเพื่อไปรอรับสัมภาระ (สัมผัสได้ถึงอากาศหนาว) จากที่เราได้หาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตมาว่าที่นี่มีรถบัสบริการจากสนามบินเข้าเมืองดาลัด เราจึงหาcounterขายตั๋ว ซึ่งอยู่บริเวณสายพานรอรับกระเป๋าเลยครับหาไม่ยาก ราคา 40.000 ดอง/คน
รถบัสจอดอยู่หน้าอาคารผู้โดยสารขาเข้าเลยครับ จากสนามบินใช้เวลาเดินทางประมาณ 30นาทีก็ถึงตัวเมืองดาลัดแล้วครับ เอ้อ...ลืมบอก!!! เราสามารถบอกคนขับรถให้ไปส่งเราถึงหน้าโรงแรมได้เลยนะครับ
อันนี้คือรายละเอียดของรถบัสครับ เผื่อไว้สำหรับตอนขากลับ ต้องให้ทางโรงแรมโทรนัดรถมารับอย่างน้อย 2ชั่วโมงก่อนเวลาเครื่องออกครับ รถจะมารับหน้าโรงแรมเลยครับ
นั่งรถชมวิวขึ้นลงเขาสักพักนึง เริ่มเห็นบ้าน ร้านรวงต่างๆก็แสดงว่าเราเริ่มใกล้เข้าเมืองดาลัดเข้าไปเรื่อยๆแล้วครับ รถบัสจะวนไปส่งผู้โดยสารตามโรงแรมต่างๆ จนถึงโรงแรมของเราคืนนี้ครับ เราเลือกพักที่ Tulip Hotel จองได้ในราคา 893.66บาท/คืน ซึ่งอยู่ในตัวเมืองไม่ไกลจากตลาดกลางคืน สามารถเดินไปได้ประมาน 5นาทีก็ถึงแล้วครับ
สภาพภายในห้องถือว่าใช้ได้ครับ โรงแรมในดาลัดจะไม่มีแอร์นะครับเพราะสภาพอากาศที่ดาลัดหนาวเย็นอยู่แล้ว เมื่อพวกเราถึงห้องฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก พอดีเราซื้อของกินมากจากที่ไทย เลยนั่งกินกันในห้องรอฝนหยุด จะเช่ารถมอไซขับแว๊นทั่วเมืองครับ ราคาเช่ามอไซ 120.000ดอง/วัน แต่เรามีเวลาไม่ถึงวัน เนื่องจากว่าเราต้องบินกลับโฮจิมินห์เที่ยวบินเช้าของวันพรุ่งนี้เราจึงเช่าแค่ครึ่งวันในราคา 60.000ดอง และให้ทางโรงแรมโทรนัดรถบัสมารับที่โรงแรมเพื่อไปส่งสนามบินวันพรุ่งนี้ตอนเช้าครับ พนักงานโรงแรมที่เวียดนามส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเข้าใจภาษาอังกฤษมากนัก ใช้เวลาในการสือสารกันนานพอสมควรครับ
วิวจากห้องของเราครับ หมอกลง อากาศเย็นมากกกก
มาแว๊นกันต่อครับ สถานที่แรกที่เราไปคือ Dalat Cathedral หรือโบสถ์ไก่ จุดเด่นมีไก่อยู่บนยอดสุด สร้างขึ้นโดยชาวฝรั่งเศส เมื่อปี 1931-1942 ขณะนั้นฝรั่งเศสเริ่มเข้ามาบทบาทกับเวียดนามก่อนจะเป็นเมืองขึ้นเต็มรูปแบบ เป็นโบสถ์ใหญ่ที่สุดตั้งอยู่ใจกลางเมืองดาลัดเป็นศูนย์รวมของชาวคริสต์
จากนั้นก็แว๊นกันหลงไปหลงมา ไปเจอสถานีรถไฟดาลัด (Dalat Train Station) โดยบังเอิญเลยแวะถ่ายรูปกันหน่อย สถานีรถไฟดาลัดถือเป็นสถานีรถไฟที่เก่าแก่ที่สุดของเวียดนามและอินโดจีน สถานีถูกสร้างขึ้นโดยชาวฝรั่งเศสในช่วง ศ.ศ. 1932 ถึง1938 เส้นทางสายนี้มีความยาว 84 กม. สถานีมีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ไม่ซ้ำกันมีสามหลังคามุก สถานีได้รับการยอมรับว่าเป็นวัฒนธรรมประจำชาติอันเก่าแก่ ปัจจุบันเป็นสถานที่น่าสนใจสถานที่ท่องเที่ยวของเมือง ปัจจุบันเปิดให้บริการเฉพาะนักท่องเที่ยวระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร โดยสถานีปลายทางเป็นวัดที่ทำจากกระเบื้องทั้งหมด เป็นสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจแห่งหนึ่ง
ถ่ายรูปกันเสร็จเราก็แว๊นเที่ยวรอบเมืองไปเจอถนนนึงซึ่งมีทุ่งดอกไม้สีแดง สวยมากบวกกับอากาศหนาวๆแบบนี้โรแมนติกสุดๆครับ
จุดหมายต่อไปของพวกเราคือ สวนดอกไม้ดาลัด (Dalat Flower Park) มีพื้นที่ 7,000 ตารางเมตร เป็นสวนดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองดาลัด ตั้งอยู่ริมทะเลสาบซวนฮวาง (Xuan Huong Lake) ทางด้านตะวันออกสุดของทะเลสาบ ห่างจากกลางเมืองดาลัด ประมาณ 2กิโลเมตร
ที่นี่เสียค่าเข้าชม 30.000/คน
ด้านในจัดเป็นสวน และมีพื้นที่ทำกิจกรรมอื่นๆด้วย อย่างเช่นการขี่ม้าถ่ายรูป สวนดอกไม้ด้านใน นักท่องเที่ยวจะได้ชมพันธุ์ไม้ที่มาจากหลากหลาประเทศ ซึ่งเมืองดาลัดเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงอย่างมากเรื่องการปลูกดอกไม้ เพราะมีอากาศดีทั้งปี จึงสามารถเที่ยวชมความงามของดอกไม้ที่หมุนเวียนกันออกดอกสวยตลอดทั้งปี
แว๊นไปแว็นมาฝนลงเม็ดเล็กๆ ลมหนาวต้องเนื้อ ท้องก็ร้อง เราเลยแวะทานน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋กันครับ อากาศแบบนี้จิบน้ำเต้าหู้ร้อนๆ ฟินลืม!!!
ร้านอยู่ไม่ไกลจากวงเวียนตลาดคนเดินกลางคืนครับ
บรรยากาศรอบๆทะเลสาบซวนเฮือง (Xuan Houng Lake) ตั้งอยู่ใจกลางเมืองดาลัด เหมาะสำหรับพักผ่อนชมวิถีชีวิตชิลๆ slow life ของคนดาลัด
วงเวียนตลาดคนเดินของเมืองดาลัดครับ
รอบๆวงเวียนตลาดคนเดินตอนกลางคืนที่นี่ก็จะมีทั้งเสื้อผ้า เสื้อกันหนาว ผลไม้ สตรอเบอร์รี่ และอาหารข้างทางไว้สำหรับให้นักท่องเที่ยวได้หาซื้อของฝาก รับประทานอาหารค่ำแบบคนท้องถิ่นกัน อันนี้เป็นพิซซ่าเวียดนามครับ
อันนี้เป็นร้านของปิ้งย่างเลือกได้ตามต้องการเลยครับ
เค้าว่ากันว่ามาดาลัด ต้องลองชิมนมและโยเกิร์ตดาลัด เราเลยจัดสักหน่อย รสชาติก็กลมกล่อมดีครับ แต่นมวัวบ้านเราจะเข้มข้นกว่า
ค่ำแล้ว พวกเราเป็นพวกชอบลองอะไรแปลกๆ ที่คนท้องถิ่นเค้ากินกัน แว๊นไปเจอร้านนึงใกล้ๆกับที่พักของเรา เลยแวะลองกันสักหน่อย
ร้านที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นโต๊ะกับเก้าอี้เล็กๆไว้สำหรับให้ลูกค้านั่งทานอาหาร แปลกไปอีกแบบ
อาหารที่เราสั่งมี3อย่าง หน้าตาน่าทานดี รสชาติก็แปลกๆแต่อร่อยดี ร้านนี้จากที่ดูเหมือนคนท้องถิ่นเค้าจะมานั่งสังสรรค์ดื่มเบียร์ชิลไปกับอากาศเย็นๆของที่นี่กันครับ
แอบเสียดาย...ทริปนี้เรามีเวลาเที่ยวแค่นี้ แว๊นมอไซท่ามกลางฝนปรอยๆ เลยเลือกที่จะไม่ไปนั่งกระเช้ากับโรลเลอร์โคสเตอร์เนื่องจากฝนตก เอาไว้คราวหน้ามาจะไม่พลาดแน่ แว๊นเที่ยวมาพอสมควรแล้วได้เวลากลับที่พัก พรุ่งนี้ตื่นเช้าลงมาเช็คเอ้าท์ รอรถบัสมารับไปส่งสนามบิน ไปเที่ยวโฮจิมินห์กันต่อครับ ก่อนนอนมีภาพบรรยากาศดาลัดตอนกลางคืนท่ามกลางสายหมอกมาให้ชมกันด้วยครับ
สวัสดีตอนเช้าอีกวัน ได้เวลาบอกลาดาลัดแล้วสิ วันที่สองเรานัดรถมารับตอนเวลา 07:30 เพราะเราจอง VietJetAir ขากลับ+นน.กระเป๋า15กิโลกรัมไว้ในราคา 1,113บาท/คน เที่ยวบินที่ VJ331 ออกเดินทางจาก DaLat เวลา 09:55 - HoChiMinh เวลา 10:45
โปรดติดตามตอนต่อไป ไปเที่ยวโฮจิมินห์ด้วยกันนะค้าบบ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น