Anticlockwise
“ถ้าย้อนเวลาได้ จะกลับไปที่เมืองน่าน”
_________________________________________
หลายครั้ง เราออกเดินทาง โดยมีการเตรียมการที่ยาวนาน
ตั้งแต่ตั๋วพาหนะในการเดินทาง สถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร ยันร้านของฝาก
และขึ้นอยู่กับว่า ทริปของเราเป็นทริปอะไร บ้างเป็นทริปกิน บ้างเป็นทริปเที่ยว บ้างเป็นทริปตามใจฉัน
และนี่ก็เป็นทริป . . . ตามใจฝ้าย
สำหรับฝ้าย การเดินทางไปน่านในครั้งนี้ มีเพียงการเตรียมการแค่เรื่องของการเดินทางไปเท่านั้น
จุดเริ่มต้นมันมาจากวินาทีที่รู้ว่า Thai AirAsia มีโปรโมชั่นลดราคา
ร่วมกับความรู้สึกในวินาทีนั้น ที่อยากจะไปที่ไหนซักที่ ที่ไหนก็ได้ที่ไกลออกไป ที่ไหนก็ได้ที่อยากไป
และ น่าน คือที่ที่สนใจ
_________________________________________
น่านฟ้าสู่เมืองน่าน
ประมาณหนึ่งเดือนต่อมา
เรื่องราวของการเดินทางไป จังหวัดน่าน จึงเริ่มต้นขึ้น
ทุกครั้งของการเดินทางโดยเครื่องบิน ฝ้ายจะเป็นคนชอบมองสิ่งแวดล้อมภายนอกหน้าต่าง
และครั้งนี้ก็เช่นกัน ขณะที่เครื่องบินทะยานขึ้นจากสนามบินดอนเมืองมุ่งสู่สนามบินน่านนคร
นอกหน้าต่างนั้น มีตึกราอาคารบ้านเรือนแออัดร่วมกับเมฆหมอกที่เริ่มปกคลุม
ไม่นาน นอกหน้าต่างก็เต็มไปด้วยสีขาวโพลนของก้อนเมฆ และเป็นอย่างนี้อยู่ซักพัก
แล้วจึงเปลี่ยนเห็นป่าไม่สีเขียวที่เบื้องล่าง นี่แหละ 'น่านนคร'
ในระหว่างที่นั่งอยู่บนเครื่องบิน สายตาก็ไปจ๊ะเอ๋กับนิตยสารแมกกาซีนเล่มหนึ่งที่วางอยู่ด้านหน้า
ถือได้ว่าเป็นการอ่านระหว่างทางได้อย่างดี เพราะในหนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมเรื่องการท่องเที่ยวเมืองน่านเอาไว้เช่นกัน
________________________________________
แรกเริ่มประเดิมน่าน
การเดินทางโดยเครื่องบินจากสนามบินดอนเมืองถึงสนามบินน่านนครใช้เวลาประมาณ 45 นาที เรารออยู่ที่สนามบินซักพัก ก็มีคุณอาท่านหนึ่งซึ่งเป็นญาติของเจเจ้ เพื่อนผู้ร่วมเดินทางกับฝ้ายในครั้งนี้ มาหาที่สนามบิน (โชคดีที่เจเจ้มีญาติที่นี่ และโชคดีที่เจเจ้โทรบอกคุณอาตั้งแต่ก่อนขึ้นเครื่องบิน) คุณอาของเจเจ้ให้มอเตอร์ไซค์เราหนึ่งคัน หมวกกันน็อคสองใบ พร้อมกับเติมน้ำมันรถให้เรียบร้อยเสร็จสรรพ ฝ้ายและเจเจ้จึงขี่มอเตอร์ไซค์หาที่พักในคืนแรก เราขี่วนอยู่บริเวณใกล้กับวัดภูมินทร์เพื่อหาที่พักราคาถูก และแล้วเราก็ได้ที่พักราคาถูก ซึ่งจังหวะนั้นเป็นช่วงที่ฝนกำลังจะตกพอดี เราตกลงกันว่าคืนนี้เราจะนอนที่นี่ ‘nan guest house’ ที่พักที่มีหลายราคา ตั้งแต่ 250 บาท เป็นต้นไป ซึ่งแน่นอนว่ามีทั้งห้องพัดลมและห้องแอร์ปรับอากาศ เก็บของเสร็จ ได้เวลาแว้นออกไปชมเมืองแล้ว (โชคดีมากที่ฝนตกปรอยๆ แล้วก็หยุด) เราขอแผนที่จังหวัดน่านจากเจ้าของที่พักและคุยกันกับเจเจ้ว่าจะไปที่ไหนบ้าง
ในขณะที่ขี่มอเตอร์ไซค์ชมเมือง ฝ้ายสังเกตถึงถนนหนทางที่นี่เป็นถนนที่ค่อนข้างกว้างและแลดูสะอาดมาก รวมไปถึงมีตำรวจตั้งด่านอยู่ทุกทุกสี่แยกไฟแดง (ที่นี่มาตรการการใส่หมวกกันน็อคถือว่าเข้มงวดมาก) และแล้วเรามาถึงที่ตลาดเย็น ที่นี่มีทั้งของหวานของคาวมากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารและข้าวของเครื่องใช้ในครัวเรือน เราอยู่กันที่นี่ซักพัก แล้วจึงหาร้านอาหารสำหรับอาหารเย็นในวันนี้ของเรา ตอนแรกเราตกลงกันไว้ว่าจะไปถนนคนเดินไปกินข้าวเย็นที่นั่น แต่จากการสอบถามแม่ค้าแถวนั้น ป้าบอกว่าวันนี้เป็นวันศุกร์ จึงไม่มีถนนคนเดิน ถนนคนเดินที่นี่จะมีแต่วันเสาร์กับวันอาทิตย์ เราจึงขี่มอเตอร์มาตรงข้างข้างปั๊มเชลล์ ปั๊มน้ำมันใจกลางเมืองน่าน ซึ่งมีร้านอาหารร้านกาแฟเรียงรายกันริมถนน เราตัดสินใจกินก๋วยเตี๋ยวซี่โครงหมู ชามละ 50 บาท ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวไร้เทียมทาน หลังจากนั้นเราก็มากันที่บริเวณหน้าศูนย์ขายสินค้าotop ซึ่งอยู่ห่างจากวัดภูมินทร์ประมาณ 500 เมตร บริเวณนี้จะมีร้านลูกชิ้นทอด และร้านน้ำเต้าหู้ รวมไปถึง seven eleven ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเมืองน่าน เรามาที่นี่เพื่อซื้อน้ำเต้าหู้ปลาท่องโก๋ ร้านน้ำเต้าหู้ที่นี่มีบัตรคิวด้วยนะคะ เนื่องจากจำนวนของลูกค้ามีจำนวนมาก และหลังจากซื้อน้ำเต้าหู้ปลาท่องโก๋เสร็จเรียบร้อย เราจึงกลับมายังที่พักเพื่อวางแผนระยะสั้นในวันถัดไป
_______________________________________
วันเสาร์ที่สองของการอยู่น่าน
เช้าวันนี้ คุณอาใจดีของเจเจ้จะพาเรามารับประทานอาหารกันที่ ร้านเฮือนฮอม ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับศูนย์ otop ที่เราไปซื้อน้ำเต้าหู้กันเมื่อวานนั่นเอง แต่ก่อนไปที่เฮือนฮอม ฝ้ายกับเจเจ้เรา check out จาก nan guest house และไปพักกันที่ น่านสะบายดีค่ะ หลังจากนั้นคุณอาก็มารับเราสองคนไปรับประทานอาหาร ถือว่าเป็นวันดีดีวันหนึ่ง เราสั่งกับข้าวเป็นออร์เดิร์ฟเมือง ซึ่งจะมีน้ำพริกหนุ่ม ใส้อั่ว แคปหมู ผัก ไข่ต้ม และลาบหมู นอกจากนั้นก็มีแกงแคหมู และข้าวเหนียว กินกันให้อิ่มๆไปเลย หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เราแยกกับคุณอาของเจเจ้ แล้วเราก็มุ่งตรงไปที่ 'ห้องสมุด บ้านๆน่านๆ' ห้องสมุดบ้านๆน่านๆเป็นห้องสมุดที่เปิดตัวเป็นคาเฟ่เล็กๆ และมีบาริสต้าสาวใจดีชื่อคุณครูต้อม ที่นี่คุณครูเปิดเป็นเกรสเฮ้าส์เล็กๆด้วย ที่นี่มีหนังสือนิตยสารเก่าๆให้อ่านอีกเยอะแยะมากมายหลายร้อยเล่ม รวมไปถึงมีการเปิดเป็นร้านหนังสือและขายโปสการ์ดอีกด้วย เราอยู่กันที่ห้องสมุดบ้านๆน่านๆซักพักหนึ่ง เจเจ้นั่งอ่านนิตยสารท่องเที่ยว ส่วนฝ้ายอยู่ตรงมุมขายโปสการ์ด
หลังจากนั้น เราเดินทางมากันที่วัดภูมินทร์ ซึ่งเป็นวัดที่เก่าแก่ของจังหวัดน่าน มีเอกลักษณ์ด้านจิตรกรรมฝาผนัง โดยมีภาพวาดที่มีเอกลักษณ์แบบล้านนาและภาพที่หลายๆคนรู้จัก คงเป็นภาพกระซิบรักบันลือโลก หรือ ปู่ม่านย่าม่านนั่นเอง และภาพนี้ก็ได้กลายเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของเมืองน่านที่ไปปรากฏอยู่ในสินค้าจำนวนมาก อาทิ เสื้อยืด โปสการ์ด หรือแม้แต่ข้าวของแต่งบ้านอีกด้วย บริเวณข้างๆวัดภูมินทร์เป็นลานโล่ง คนที่นี่เรียกกันว่า ข่วงเมืองน่าน ซึ่งจะใช้เป็นสถานที่แสดงศิลปะอารยธรรมล้านนาในเทศกาลที่สำคัญต่างๆ และมีการรับประทานอาหารแบบขันโตก และที่พลาดไม่ได้คือจะมีการแสดงทุกๆเย็นวันเสาร์-อาทิตย์ เพราะเป็นวันที่มีงานถนนคนเดินน่านนั่นเอง หลังจากนั้นเราก็ลัดเลาะมากันที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับวัดภูมินทร์ แต่ตอนที่เรามานั้นพอดีกับช่วงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน ปิดปรับปรุง เราจึงเดินเล่นได้เพียงแค่ อุโมงค์ลีลาวดี ซึ่งอยู่ด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์ ตรงข้ามฝากถนนของอุโมงค์ลีลาวดี หรือตรงด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์ก็จะมีวัดที่เก่าแก่อีกวัดหนึ่งของจังหวัดน่าน มีองค์เจดีย์ที่สวยสง่าซึ่งเรามองเห็นได้ชัดเจน หากอยู่ตรงอุโมงค์ต้นไม้ นั่นก็คือ วัดพระธาตุช้างค้ำวรมหาวิหารนั่นเอง ส่วนด้านซ้ายของพิพิธภัณฑ์ติดกับวัดหัวข่วง และด้านขวาจะติดกับวัดภูมินทร์นั่นเอง
หลังจากที่เราเดินเที่ยวกันจนเหนื่อย เราจึงไปเที่ยวกันต่อ ฮ่าๆ เรามาที่ร้านกาแฟ Work Boxes ร้านกาแฟเล็กๆที่ตั้งอยู่แถวๆกาดน่าน เค้กที่นี่อร่อยมากโดยเฉพาะเค้กที่มีส่วนผสมของชาเขียว เรานั่งอยู่ในร้านกันซักพักและได้มีโอกาสคุยกับพี่แก้มเจ้าของร้าน พี่แก้มใจดีมาก หลังจากนั้นเรากลับไปที่พักที่น่านสบายดีเพื่อพักผ่อนประมาณหนึ่งชั่วโมงแล้วพลางนึกขึ้นได้ว่าวันนี้มีถนนคนเดินน่าน เราจึงออกเดินทางมายังถนนคนเดินน่านซึ่งจัดที่ข่วงเมืองน่านนั่นเอง ถนนคนเดินที่นี่จะเป็นถนนคนเดินเล็กๆ คล้ายกับตลาดกลางคืนของที่อื่นๆ มีของกินของใช้ขายเยอะแยะไปหมด รวมไปถึงมีการแสดงดนตรี การฟ้อนรำ และมีขันโตกแบบชาวเหนือ เดินเที่ยวถนนคนเดินซักพักเรามากินก๋วยเตี๋ยวกันอีกแล้ว วันนี้เรามากินก๋วยเตี๋ยวสี่แยก ก๋วยเตี๋ยวที่นี่รสเด็ดมาก โดยเฉพาะก๋วยเตี๋ยวต้มยำสูตรมะนาว กินอิ่มแล้วเราจึงกลับมายังที่พัก เพื่อพักผ่อนเตรียมตัวเตรียมใจไปขุนสถานในวันรุ่งขึ้น
_____________________________________
น่าน เขา ป่า นา ในหน้าฝน
เราตื่นแต่เช้า กินขนมปังปิ้งและกาแฟที่น่านสะบายดีจัดไว้ให้ และเตรียมตัวเดินทางไปยังขุนสถาน ก่อนที่จะไปยังขุนสถาน เราต่างช่วยกันตรวจเช็คความพร้อมของรถมอเตอร์ไซค์ เมื่อทุกอย่างลงตัวเราจึงเริ่มต้นเดินทางจากตัวเมืองน่านไปขุนสถาน ระยะทางร่วมประมาณ 90 กิโลเมตร เราใช้เวลาเดินทางเฉพาะขาไปทั้งหมดประมาณสองชั่วโมง การเดินทางไปยังขุนสถานนั้น เราใช้เส้นทางที่ตัดผ่านอำเภอเวียงสาและอำเภอนาน้อย หลังจากที่เดินทางมากันได้ซักพัก เราแวะพักกันที่ปั๊มน้ำมัน ปตท. ที่อำเภอนาน้อย และจึงเดินทางกันต่อเพื่อไปยังขุนสถาน ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่า เส้นทางที่ไปยังขุนสถาน มีเส้นทางที่ค่อนข้างขรุขระอยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งเวลาขับขี่รถต้องระวังมากๆ ฝ้ายจึงให้เจเจ้เป็นคนขี่รถมอเตอร์ไซค์ เพราะฝ้ายยังคงกลัวเนื่องจากเหตุการณ์รถล้มที่เกาะล้าน ฝ้ายจึงกลายเป็นคนซ้อนท้ายไปโดยปริยาย ระหว่างทางเราจะพบเห็นไร่ข้าวโพด ต้นไม้ใบหญ้าที่เขียวขจีตลอดทาง รวมไปถึงท้องนาที่สวยงามที่ถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดน่านเลยทีเดียว
และแล้วเราก็มาถึง ขุนสถาน 'ทางขึ้นขุนสถานทางชันและถือได้ว่าค่อนข้างอันตรายมากสำหรับฝ้าย' แต่พอมาถึงก็รู้สึกว่าคุ้มค่ากับที่มาจริงๆ เพราะบรรยากาศและวิวทิวทัศน์สวยงามมาก แต่ก็แอบเสียดายที่เมฆหมอกปกคลุมหนามากจนมองเห็นบรรยากาศโดยรอบได้ไม่ชัดเท่าที่ควร ผ่านไปได้ประมาณห้านาที เมฆเทาเทาต่างลอยต่ำเป็นสัญญาณบอกว่าฝนกำลังจะตกแล้ว เราสองคนหามุมหลบฝนอยู่ที่อุทยานแห่งชาติขุนสถานเพื่อรอฝนหยุด ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงฝนก็เริ่มหยุด เรามองเห็นสายรุ้งจากมุมไกลๆ นั่งเหม่อมองฟ้า มองเมฆที่เคลื่อนไปมาเคล้ากับสายลมเยือกเย็นที่กำลังพัดโบกโบย และก็ถึงเวลาที่ต้องกลับ เราใช้เส้นทางเดิมในขากลับตัวเมืองน่าน เจเจ้ยังคงถึกและบึกบึนในการขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ และฝ้ายก็ยังคงซ้อนท้ายเก็บทุกความหมายระหว่างทาง และพลางให้ฝ้ายนึกถึงกลอนบทหนึ่งของเน นิตินาถ
กลางป่า กลางป่า กลางป่า
ไม่รู้ ตัวข้า อยู่ไหน
ว้าเหว่ วังเวง เปลี่ยวใจ
หลงใหล มนตรา ป่าดง
กลางป่า กลางป่า กลางป่า
เดินไป เดินมา พลัดหลง
ทิ้งร้าง เอนกาย ทอดลง
ยอมหลง มนตรา ป่าไพร
_______________________________________________
ก่อนจากน่าน
เช้าวันจันทร์วันของการใช้ชีวิตเริ่มต้นทำงานของใครหลายคน
ในเมืองน่าน ดูครึกครื้นเป็นพิเศษ
เราเก็บกระเป๋า ล็อคกลอนประตูห้องชั้นสาม และลงมา check out ที่เคาน์เตอร์น่านสบายดี
จัดการเอามอเตอร์ไซค์ไปคืนคุณอาผู้เป็นเจ้าของ และคุณอาก็อาสาไปส่งที่ท่ารถบัส
การเดินทางทั้งหมดที่น่านถูกบันทึกไว้
ทุกวันทุกเวลามีความหมาย
ตั้งแต่รอยยิ้มของคุณยาย
ยันเสียงหัวเราะของป้าข้างๆ
ขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้เรามาเจอกัน
ขอบคุณเรื่องราวดีดีราวกับฝัน
ขอบคุณทุกคืนวัน
เราจะกลับมาพบกัน . . น่านนคร
[CR] anticlockwise l ถ้าย้อนเวลาได้ จะกลับไปที่เมือง 'น่าน'
Anticlockwise
“ถ้าย้อนเวลาได้ จะกลับไปที่เมืองน่าน”
_________________________________________
หลายครั้ง เราออกเดินทาง โดยมีการเตรียมการที่ยาวนาน
ตั้งแต่ตั๋วพาหนะในการเดินทาง สถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร ยันร้านของฝาก
และขึ้นอยู่กับว่า ทริปของเราเป็นทริปอะไร บ้างเป็นทริปกิน บ้างเป็นทริปเที่ยว บ้างเป็นทริปตามใจฉัน
และนี่ก็เป็นทริป . . . ตามใจฝ้าย
สำหรับฝ้าย การเดินทางไปน่านในครั้งนี้ มีเพียงการเตรียมการแค่เรื่องของการเดินทางไปเท่านั้น
จุดเริ่มต้นมันมาจากวินาทีที่รู้ว่า Thai AirAsia มีโปรโมชั่นลดราคา
ร่วมกับความรู้สึกในวินาทีนั้น ที่อยากจะไปที่ไหนซักที่ ที่ไหนก็ได้ที่ไกลออกไป ที่ไหนก็ได้ที่อยากไป
และ น่าน คือที่ที่สนใจ
_________________________________________
น่านฟ้าสู่เมืองน่าน
ประมาณหนึ่งเดือนต่อมา
เรื่องราวของการเดินทางไป จังหวัดน่าน จึงเริ่มต้นขึ้น
ทุกครั้งของการเดินทางโดยเครื่องบิน ฝ้ายจะเป็นคนชอบมองสิ่งแวดล้อมภายนอกหน้าต่าง
และครั้งนี้ก็เช่นกัน ขณะที่เครื่องบินทะยานขึ้นจากสนามบินดอนเมืองมุ่งสู่สนามบินน่านนคร
นอกหน้าต่างนั้น มีตึกราอาคารบ้านเรือนแออัดร่วมกับเมฆหมอกที่เริ่มปกคลุม
ไม่นาน นอกหน้าต่างก็เต็มไปด้วยสีขาวโพลนของก้อนเมฆ และเป็นอย่างนี้อยู่ซักพัก
แล้วจึงเปลี่ยนเห็นป่าไม่สีเขียวที่เบื้องล่าง นี่แหละ 'น่านนคร'
ในระหว่างที่นั่งอยู่บนเครื่องบิน สายตาก็ไปจ๊ะเอ๋กับนิตยสารแมกกาซีนเล่มหนึ่งที่วางอยู่ด้านหน้า
ถือได้ว่าเป็นการอ่านระหว่างทางได้อย่างดี เพราะในหนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมเรื่องการท่องเที่ยวเมืองน่านเอาไว้เช่นกัน
________________________________________
แรกเริ่มประเดิมน่าน
การเดินทางโดยเครื่องบินจากสนามบินดอนเมืองถึงสนามบินน่านนครใช้เวลาประมาณ 45 นาที เรารออยู่ที่สนามบินซักพัก ก็มีคุณอาท่านหนึ่งซึ่งเป็นญาติของเจเจ้ เพื่อนผู้ร่วมเดินทางกับฝ้ายในครั้งนี้ มาหาที่สนามบิน (โชคดีที่เจเจ้มีญาติที่นี่ และโชคดีที่เจเจ้โทรบอกคุณอาตั้งแต่ก่อนขึ้นเครื่องบิน) คุณอาของเจเจ้ให้มอเตอร์ไซค์เราหนึ่งคัน หมวกกันน็อคสองใบ พร้อมกับเติมน้ำมันรถให้เรียบร้อยเสร็จสรรพ ฝ้ายและเจเจ้จึงขี่มอเตอร์ไซค์หาที่พักในคืนแรก เราขี่วนอยู่บริเวณใกล้กับวัดภูมินทร์เพื่อหาที่พักราคาถูก และแล้วเราก็ได้ที่พักราคาถูก ซึ่งจังหวะนั้นเป็นช่วงที่ฝนกำลังจะตกพอดี เราตกลงกันว่าคืนนี้เราจะนอนที่นี่ ‘nan guest house’ ที่พักที่มีหลายราคา ตั้งแต่ 250 บาท เป็นต้นไป ซึ่งแน่นอนว่ามีทั้งห้องพัดลมและห้องแอร์ปรับอากาศ เก็บของเสร็จ ได้เวลาแว้นออกไปชมเมืองแล้ว (โชคดีมากที่ฝนตกปรอยๆ แล้วก็หยุด) เราขอแผนที่จังหวัดน่านจากเจ้าของที่พักและคุยกันกับเจเจ้ว่าจะไปที่ไหนบ้าง
ในขณะที่ขี่มอเตอร์ไซค์ชมเมือง ฝ้ายสังเกตถึงถนนหนทางที่นี่เป็นถนนที่ค่อนข้างกว้างและแลดูสะอาดมาก รวมไปถึงมีตำรวจตั้งด่านอยู่ทุกทุกสี่แยกไฟแดง (ที่นี่มาตรการการใส่หมวกกันน็อคถือว่าเข้มงวดมาก) และแล้วเรามาถึงที่ตลาดเย็น ที่นี่มีทั้งของหวานของคาวมากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารและข้าวของเครื่องใช้ในครัวเรือน เราอยู่กันที่นี่ซักพัก แล้วจึงหาร้านอาหารสำหรับอาหารเย็นในวันนี้ของเรา ตอนแรกเราตกลงกันไว้ว่าจะไปถนนคนเดินไปกินข้าวเย็นที่นั่น แต่จากการสอบถามแม่ค้าแถวนั้น ป้าบอกว่าวันนี้เป็นวันศุกร์ จึงไม่มีถนนคนเดิน ถนนคนเดินที่นี่จะมีแต่วันเสาร์กับวันอาทิตย์ เราจึงขี่มอเตอร์มาตรงข้างข้างปั๊มเชลล์ ปั๊มน้ำมันใจกลางเมืองน่าน ซึ่งมีร้านอาหารร้านกาแฟเรียงรายกันริมถนน เราตัดสินใจกินก๋วยเตี๋ยวซี่โครงหมู ชามละ 50 บาท ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวไร้เทียมทาน หลังจากนั้นเราก็มากันที่บริเวณหน้าศูนย์ขายสินค้าotop ซึ่งอยู่ห่างจากวัดภูมินทร์ประมาณ 500 เมตร บริเวณนี้จะมีร้านลูกชิ้นทอด และร้านน้ำเต้าหู้ รวมไปถึง seven eleven ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเมืองน่าน เรามาที่นี่เพื่อซื้อน้ำเต้าหู้ปลาท่องโก๋ ร้านน้ำเต้าหู้ที่นี่มีบัตรคิวด้วยนะคะ เนื่องจากจำนวนของลูกค้ามีจำนวนมาก และหลังจากซื้อน้ำเต้าหู้ปลาท่องโก๋เสร็จเรียบร้อย เราจึงกลับมายังที่พักเพื่อวางแผนระยะสั้นในวันถัดไป
_______________________________________
วันเสาร์ที่สองของการอยู่น่าน
เช้าวันนี้ คุณอาใจดีของเจเจ้จะพาเรามารับประทานอาหารกันที่ ร้านเฮือนฮอม ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับศูนย์ otop ที่เราไปซื้อน้ำเต้าหู้กันเมื่อวานนั่นเอง แต่ก่อนไปที่เฮือนฮอม ฝ้ายกับเจเจ้เรา check out จาก nan guest house และไปพักกันที่ น่านสะบายดีค่ะ หลังจากนั้นคุณอาก็มารับเราสองคนไปรับประทานอาหาร ถือว่าเป็นวันดีดีวันหนึ่ง เราสั่งกับข้าวเป็นออร์เดิร์ฟเมือง ซึ่งจะมีน้ำพริกหนุ่ม ใส้อั่ว แคปหมู ผัก ไข่ต้ม และลาบหมู นอกจากนั้นก็มีแกงแคหมู และข้าวเหนียว กินกันให้อิ่มๆไปเลย หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เราแยกกับคุณอาของเจเจ้ แล้วเราก็มุ่งตรงไปที่ 'ห้องสมุด บ้านๆน่านๆ' ห้องสมุดบ้านๆน่านๆเป็นห้องสมุดที่เปิดตัวเป็นคาเฟ่เล็กๆ และมีบาริสต้าสาวใจดีชื่อคุณครูต้อม ที่นี่คุณครูเปิดเป็นเกรสเฮ้าส์เล็กๆด้วย ที่นี่มีหนังสือนิตยสารเก่าๆให้อ่านอีกเยอะแยะมากมายหลายร้อยเล่ม รวมไปถึงมีการเปิดเป็นร้านหนังสือและขายโปสการ์ดอีกด้วย เราอยู่กันที่ห้องสมุดบ้านๆน่านๆซักพักหนึ่ง เจเจ้นั่งอ่านนิตยสารท่องเที่ยว ส่วนฝ้ายอยู่ตรงมุมขายโปสการ์ด
หลังจากนั้น เราเดินทางมากันที่วัดภูมินทร์ ซึ่งเป็นวัดที่เก่าแก่ของจังหวัดน่าน มีเอกลักษณ์ด้านจิตรกรรมฝาผนัง โดยมีภาพวาดที่มีเอกลักษณ์แบบล้านนาและภาพที่หลายๆคนรู้จัก คงเป็นภาพกระซิบรักบันลือโลก หรือ ปู่ม่านย่าม่านนั่นเอง และภาพนี้ก็ได้กลายเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของเมืองน่านที่ไปปรากฏอยู่ในสินค้าจำนวนมาก อาทิ เสื้อยืด โปสการ์ด หรือแม้แต่ข้าวของแต่งบ้านอีกด้วย บริเวณข้างๆวัดภูมินทร์เป็นลานโล่ง คนที่นี่เรียกกันว่า ข่วงเมืองน่าน ซึ่งจะใช้เป็นสถานที่แสดงศิลปะอารยธรรมล้านนาในเทศกาลที่สำคัญต่างๆ และมีการรับประทานอาหารแบบขันโตก และที่พลาดไม่ได้คือจะมีการแสดงทุกๆเย็นวันเสาร์-อาทิตย์ เพราะเป็นวันที่มีงานถนนคนเดินน่านนั่นเอง หลังจากนั้นเราก็ลัดเลาะมากันที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับวัดภูมินทร์ แต่ตอนที่เรามานั้นพอดีกับช่วงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน ปิดปรับปรุง เราจึงเดินเล่นได้เพียงแค่ อุโมงค์ลีลาวดี ซึ่งอยู่ด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์ ตรงข้ามฝากถนนของอุโมงค์ลีลาวดี หรือตรงด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์ก็จะมีวัดที่เก่าแก่อีกวัดหนึ่งของจังหวัดน่าน มีองค์เจดีย์ที่สวยสง่าซึ่งเรามองเห็นได้ชัดเจน หากอยู่ตรงอุโมงค์ต้นไม้ นั่นก็คือ วัดพระธาตุช้างค้ำวรมหาวิหารนั่นเอง ส่วนด้านซ้ายของพิพิธภัณฑ์ติดกับวัดหัวข่วง และด้านขวาจะติดกับวัดภูมินทร์นั่นเอง
หลังจากที่เราเดินเที่ยวกันจนเหนื่อย เราจึงไปเที่ยวกันต่อ ฮ่าๆ เรามาที่ร้านกาแฟ Work Boxes ร้านกาแฟเล็กๆที่ตั้งอยู่แถวๆกาดน่าน เค้กที่นี่อร่อยมากโดยเฉพาะเค้กที่มีส่วนผสมของชาเขียว เรานั่งอยู่ในร้านกันซักพักและได้มีโอกาสคุยกับพี่แก้มเจ้าของร้าน พี่แก้มใจดีมาก หลังจากนั้นเรากลับไปที่พักที่น่านสบายดีเพื่อพักผ่อนประมาณหนึ่งชั่วโมงแล้วพลางนึกขึ้นได้ว่าวันนี้มีถนนคนเดินน่าน เราจึงออกเดินทางมายังถนนคนเดินน่านซึ่งจัดที่ข่วงเมืองน่านนั่นเอง ถนนคนเดินที่นี่จะเป็นถนนคนเดินเล็กๆ คล้ายกับตลาดกลางคืนของที่อื่นๆ มีของกินของใช้ขายเยอะแยะไปหมด รวมไปถึงมีการแสดงดนตรี การฟ้อนรำ และมีขันโตกแบบชาวเหนือ เดินเที่ยวถนนคนเดินซักพักเรามากินก๋วยเตี๋ยวกันอีกแล้ว วันนี้เรามากินก๋วยเตี๋ยวสี่แยก ก๋วยเตี๋ยวที่นี่รสเด็ดมาก โดยเฉพาะก๋วยเตี๋ยวต้มยำสูตรมะนาว กินอิ่มแล้วเราจึงกลับมายังที่พัก เพื่อพักผ่อนเตรียมตัวเตรียมใจไปขุนสถานในวันรุ่งขึ้น
_____________________________________
น่าน เขา ป่า นา ในหน้าฝน
เราตื่นแต่เช้า กินขนมปังปิ้งและกาแฟที่น่านสะบายดีจัดไว้ให้ และเตรียมตัวเดินทางไปยังขุนสถาน ก่อนที่จะไปยังขุนสถาน เราต่างช่วยกันตรวจเช็คความพร้อมของรถมอเตอร์ไซค์ เมื่อทุกอย่างลงตัวเราจึงเริ่มต้นเดินทางจากตัวเมืองน่านไปขุนสถาน ระยะทางร่วมประมาณ 90 กิโลเมตร เราใช้เวลาเดินทางเฉพาะขาไปทั้งหมดประมาณสองชั่วโมง การเดินทางไปยังขุนสถานนั้น เราใช้เส้นทางที่ตัดผ่านอำเภอเวียงสาและอำเภอนาน้อย หลังจากที่เดินทางมากันได้ซักพัก เราแวะพักกันที่ปั๊มน้ำมัน ปตท. ที่อำเภอนาน้อย และจึงเดินทางกันต่อเพื่อไปยังขุนสถาน ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่า เส้นทางที่ไปยังขุนสถาน มีเส้นทางที่ค่อนข้างขรุขระอยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งเวลาขับขี่รถต้องระวังมากๆ ฝ้ายจึงให้เจเจ้เป็นคนขี่รถมอเตอร์ไซค์ เพราะฝ้ายยังคงกลัวเนื่องจากเหตุการณ์รถล้มที่เกาะล้าน ฝ้ายจึงกลายเป็นคนซ้อนท้ายไปโดยปริยาย ระหว่างทางเราจะพบเห็นไร่ข้าวโพด ต้นไม้ใบหญ้าที่เขียวขจีตลอดทาง รวมไปถึงท้องนาที่สวยงามที่ถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดน่านเลยทีเดียว
และแล้วเราก็มาถึง ขุนสถาน 'ทางขึ้นขุนสถานทางชันและถือได้ว่าค่อนข้างอันตรายมากสำหรับฝ้าย' แต่พอมาถึงก็รู้สึกว่าคุ้มค่ากับที่มาจริงๆ เพราะบรรยากาศและวิวทิวทัศน์สวยงามมาก แต่ก็แอบเสียดายที่เมฆหมอกปกคลุมหนามากจนมองเห็นบรรยากาศโดยรอบได้ไม่ชัดเท่าที่ควร ผ่านไปได้ประมาณห้านาที เมฆเทาเทาต่างลอยต่ำเป็นสัญญาณบอกว่าฝนกำลังจะตกแล้ว เราสองคนหามุมหลบฝนอยู่ที่อุทยานแห่งชาติขุนสถานเพื่อรอฝนหยุด ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงฝนก็เริ่มหยุด เรามองเห็นสายรุ้งจากมุมไกลๆ นั่งเหม่อมองฟ้า มองเมฆที่เคลื่อนไปมาเคล้ากับสายลมเยือกเย็นที่กำลังพัดโบกโบย และก็ถึงเวลาที่ต้องกลับ เราใช้เส้นทางเดิมในขากลับตัวเมืองน่าน เจเจ้ยังคงถึกและบึกบึนในการขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ และฝ้ายก็ยังคงซ้อนท้ายเก็บทุกความหมายระหว่างทาง และพลางให้ฝ้ายนึกถึงกลอนบทหนึ่งของเน นิตินาถ
กลางป่า กลางป่า กลางป่า
ไม่รู้ ตัวข้า อยู่ไหน
ว้าเหว่ วังเวง เปลี่ยวใจ
หลงใหล มนตรา ป่าดง
กลางป่า กลางป่า กลางป่า
เดินไป เดินมา พลัดหลง
ทิ้งร้าง เอนกาย ทอดลง
ยอมหลง มนตรา ป่าไพร
_______________________________________________
ก่อนจากน่าน
เช้าวันจันทร์วันของการใช้ชีวิตเริ่มต้นทำงานของใครหลายคน
ในเมืองน่าน ดูครึกครื้นเป็นพิเศษ
เราเก็บกระเป๋า ล็อคกลอนประตูห้องชั้นสาม และลงมา check out ที่เคาน์เตอร์น่านสบายดี
จัดการเอามอเตอร์ไซค์ไปคืนคุณอาผู้เป็นเจ้าของ และคุณอาก็อาสาไปส่งที่ท่ารถบัส
การเดินทางทั้งหมดที่น่านถูกบันทึกไว้
ทุกวันทุกเวลามีความหมาย
ตั้งแต่รอยยิ้มของคุณยาย
ยันเสียงหัวเราะของป้าข้างๆ
ขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้เรามาเจอกัน
ขอบคุณเรื่องราวดีดีราวกับฝัน
ขอบคุณทุกคืนวัน
เราจะกลับมาพบกัน . . น่านนคร