อยากนำประสบการณ์ดีๆ มาแบ่งปันเพื่อนๆ สมาชิกพันทิป นะคะ เพราะบางท่านอาจจะยังไม่เคยไปเที่ยว ยอดพิมาน ริเวอร์วอล์ค
เริ่มต้นจากเรา และแฟน ทำงานหนัก และมีเวลาหยุดพักผ่อนน้อย ดังนั้นใน 1 วัน ต้องพยายามไปให้คุ้มค่าที่สุด
เราเลือกที่จะเที่ยวในกรุงเทพ อยากทานอาหารอร่อย และไหว้พระ ดังนั้นเราจึงเลือกมาที่นี่ค่ะ
ยอดพิมาน ริเวอร์วอล์ค อยู่ติดกับตลาดยอดพิมานค่ะ ซึ่งอยู่ใจกลาง ย่านการค้าของกรุงเทพมหานคร และเป็นตลาดขายส่งดอกไม้ดั้งเดิมเก่าแก่มากกว่า 50 ปี และใหญ่ที่สุดของไทย ท่าเรือของยอดพิมาน ริเวอร์วอล์ค ก็คือ ท่าเรือปากคลองตลาด
สถาปัตยกรรมสไตล์โคโลเนียล ซึ่งได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมต่างประเทศในช่วงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เพื่อให้กลมกลืนไปกับทัศนียภาพโดยรอบบริเวณนี้
การเดินทางมาที่นี่ ทำได้หลายทาง เพราะตั้งอยู่ใจกลางปากคลองตลาด และอยู่ตรงข้ามกับตลาดนัดสะพานพุทธฯ
- ทางเรือ สามารถนั่งเรือด่วนเจ้าพระยา (ธงฟ้า ธงส้ม) ลงท่าปากคลองตลาด
- รถเมล์ ลงป้ายหน้าปากคลองตลาด สาย 7ก, สาย 9, สาย 42, สาย 82, ปอ.9 และ ปอ.82
- รถส่วนตัว จากราชดำเนินวิ่งเข้าถนนจักรเพชร ผ่าน รร.สวนกุหลาบ ตรงมาเบี่ยงซ้ายเพื่อลอดใต้สะพานพุทธฯ แล้วขับตรงมาเพื่อเข้ายอดพิมาน ริเวอร์วอล์คได้เลย
- BTS ลงสถานีตากสิน ต่อเรือด่วนเจ้าพระยาธงสีส้ม และสีฟ้า มาลงท่าปากคลองตลาด
ราเดินทางมาจากพระประแดง ขับรถมาจอดที่นี่ แต่เนื่องจากอาคารจอดรถยังสร้างไม่เสร็จ จึงทำให้การนำรถยนต์ส่วนตัวมาที่นี่ จะยังไม่ค่อยสะดวกสบายนัก
แต่โชคดีที่เรามาถึงเช้าประมาณ 10.15 น. จึงมีที่จอดรถอยู่ ถ้ามาช้ากว่านี้ ก็คงจะไม่มีที่จอดรถแน่ๆ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่นี่น่ารักมาก แนะนำให้จอดรถในที่ที่ไม่กีดขวางการก่อสร้าง และรถขนส่งสินค้าต่างๆ ปลอดภัยทีเดียว
กินอะไรเป็นอาหารเช้าดีนะ เช้าแบบนี้ยังไม่ค่อยมีร้านเปิดบริการเท่าไหร่
เดินไปเดินมา จนในที่สุดตูนก็ตัดสินใจทานมื้อแรกของเราที่ร้าน Appethaizing ที่ชั้น 1 (D4-102)
ร้านอาหารไทย ที่มีพนักงานยิ้มแย้มแจ่มใส และต้อนรับเราอย่างดี คอยแนะนำรายการอาหารต่างๆ
เราสามารถเลือกนั่งด้านใน หรือจะนั่งด้านนอกได้ มีเมนูอาหารให้เลือกทานมากมาย ตูนเลือกสั่ง ข้าวผัดหมูเค็ม+ส้มตำ+ชามะนาว (เป็นเซต) 150 บาท, โรตี แกงเขียวหวานเนื้อ 110 บาท และขนมเบื้องออมทอง 120 บาท
ทุกอย่างอร่อยมาก รสชาติดี รวมแล้วราคา 395 บาท ร้านนี้เปิด 10.00 น. ปิด 20.30 น. จากนั้นเราก็ไปต่อขนมหวานที่ร้าน นายหัวโรตีชาชัก
เราสั่งโรตีกล้วย ช็อคโกแลต และก็ชานมเย็น
เมื่อท้องอิ่ม เราก็พร้อมจะออกเดินทาง เราไปรอเรือธงส้มที่มุ่งหน้าไปท่าเตียน ฝนก็ตกปรอยๆ ตลอด
ในที่สุดเรือก็มาแล้ว คนยังไม่เยอะเท่าไหร่
นั่งเรือคนละ 14 บาท ใช้เวลาไม่นาน ป้ายเดียว เราก็มาถึงท่าเตียนกัน
ในอดีตท่าเตียนเป็นท่าเรือที่คึกคักมาก ใครจะไปไหนก็ต้องมาขึ้นที่ท่าเตียน และยังมีเรื่องราวของยักษ์วัดแจ้ง และยักษ์วัดโพธิ์ต่อสู้กันที่ท่าเตียนอีกด้วย ใครสนใจลองไปกูเกิ้ลมาอ่านได้นะคะ
ร้านปลาแห้งปลาเค็มในตลาดท่าเตียน
เดินมาไม่กี่ก้าว ข้ามถนนไป ก็จะพบกับทางเข้าวัดโพธิ์ คนไทยเข้าฟรี ชาวต่างชาติเสียเงิน 100 บาท
วัดโพธิ์ หรือนามทางราชการว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก และเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาวัดโพธารามวัดเก่าที่เมืองบางกอกครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นวัดหลวงข้างพระบรมมหาราชวัง และที่ใต้พระแท่นประดิษฐาน พระพุทธเทวปฏิมากร พระประธานในพระอุโบสถเป็นที่บรรจุพระบรมอัฐิของพระองค์ท่านไว้ด้วย (
www.watpho.com)
อีกหนึ่งเสน่ห์ของวัดโพธิ์ รูปสลักหินจีนทั้งหลายที่ตั้งประดับตามซุ้มประตูและที่ต่างๆ มีทั้งสลักจากหินและปูนปั้น หากเราพินิจพิจารณารูปปั้นรูปสลักจีนแต่ละรูปแบบแล้ว ย่อมทำให้รู้จักและเข้าใจต่อการที่ช่างไทยขนเอาเครื่องอับเฉาที่ใช้เป็นอุปกรณ์ถ่วงเรือสำเภาตอนขากลับจากการพาณิชย์นาวีที่ประเทศจีน แล้วนำไปตั้งประดับอย่างมีศิลปะ ประยุกต์เอารูปปั้นเหล่านั้นตั้งประดับดูเข้ากันได้ไม่ขัดตา
ลั่นถัน คือ ตุ๊กตาหินยืนท้าวเอวถืออาวุธ
ข้อควรปฏิบัติ
เจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างเหน็ดเหนื่อย เนื่องด้วยชาวต่างชาติ ต่างวัฒนธรรม การแต่งกายบางคนจะไม่ค่อยเหมาะสำหรับสถานที่นี้ ทำให้ต้องคอยเรียก ให้มาสวมเสื้อคลุม
พระพุทธไสยาส หรือที่เรียกกันว่า พระนอนวัดโพธิ์ ประดิษฐานในพระวิหารพระพุทธไสยาสภายในเขตพุทธาวาส บริเวณมุมกำแพงทิศตะวันตกเฉียงเหนือของวัด เป็นพระพุทธรูปสมัยรัตนโกสินทร์ ก่ออิฐถือปูนลงรักปิดทอง เป็นพระนอนที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพมหานคร และใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศ
จิตรกรรมฝาผนัง
พระมหาเจดีย์ทั้งสี่องค์อยู่ในบริเวณกำแพงสีขาว ซุ้มประตูทางเข้าเป็นสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์แบบจีน ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบ เครื่องถ้วยหลากสี มีตุ๊กตาหินจีนประตูละคู่ พระมหาเจดีย์แต่ละองค์เป็นเจดีย์ย่อไม้สิบสองเพิ่มมุมสูง 42 เมตร ประดับกระเบื้องเคลือบและกระเบื้องเครื่องถ้วยลวดลายต่างๆ สังเกตได้ง่าย
พระระเบียงเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งที่สร้างล้อมรอบพระอุโบสถ มีอยู่ 2 ชั้น ทั้งสองชั้นเชื่อมต่อด้วยพระวิหารทิศอยู่รอบพระอุโบสถทั้งสี่ทิศ เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปสำคัญ และสร้างพระวิหารไว้ประจำที่ทิศ
งานที่ต้องใช้ฝีมือ
พระมหาสถูป
ขณะที่กำลังเดินชมภายในบริเวณวัด ได้พบคุณพี่ท่านนี้กำลังวาดสีน้ำ ตูนเลยเข้าไปทักทายว่าวาดภาพได้สวยมาก ซึ่งคุณพี่ได้บอกว่ามาวาดเป็นประจำ พร้อมกับหยิบอีกผลงานหนึ่งมาให้เราได้ชม สวยงามมากเลย
จากนั้นเราสองคนจึงขึ้นเรือข้ามฟาก คนละ 3 บาท มายังวัดอรุณ
วัดอรุณราชวราราม เป็นวัดโบราณสร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เดิมเรียกว่า “วัดมะกอก” ตามชื่อ ตำบลบางมะกอกซึ่งเป็นตำบลที่ตั้งวัด ภายหลังเปลี่ยนเป็น “วัดมะกอกนอก” (ที่มา watarun.org)
น่าเสียดายที่พระปรางค์ยังคงได้รับการบูรณะอยู่ เลยยังไม่ได้เห็นความสวยงามตระการตา
เมื่อเราเริ่มจะเหนื่อย เพราะฝนที่ปรอย และความร้อนของอากาศ เราจึงข้ามฟากกลับไปอีกฝั่ง และนั่งเรือกลับ ยอดพิมาน ริเวอร์วอล์ค
เราเลือกทานข้าวมื้อนี้ที่ร้าน ลาภลอย Larbloi ชั้น 2 (D3-201-201/1)
เราเลือกนั่งด้านในเย็นๆ
พนักงานที่นี่ยิ้มแย้มแจ่มใสทุกคน อาหารที่สั่งจะมีดังนี้ ลาภลอย 180 บาท, ตำลาภลอย 180 บาท, แกงเห็ดรวม 150 บาท, คอหมูย่าง 150 บาท, ข้าวเหนียว 25 บาท
รวมค่าอาหารเครื่องดื่ม และ service charge 10% ทั้งหมดแล้ว เป็นเงิน 825 บาท คุ้มค่า คุ้มราคามาก
เวลาที่มีความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ ตอนนี้ได้เวลากลับบ้านแล้ว ถ้ากลับช้ากว่านี้ จะเป็นเวลารถติด ใครที่อยากทานข้าวในบรรยากาศริมแม่น้ำเจ้าพระยาแบบนี้ ลองมาเที่ยวที่ ยอดพิมาน ริเวอร์วอล์ค กันนะคะ รับรองอาหารอร่อย บรรยากาศดี
อ่านเรื่องอื่นๆ ของเราได้ที่
http://www.juth.net นะคะ
ติดตามกันได้ที่
https://www.facebook.com/juthnet
[CR] พาไปท่องเที่ยว กินอาหารอร่อยที่ ยอดพิมาน ริเวอร์วอล์ค (Yodpiman River Walk) และนั่งเรือไปวัดโพธิ์ วัดอรุณ
เริ่มต้นจากเรา และแฟน ทำงานหนัก และมีเวลาหยุดพักผ่อนน้อย ดังนั้นใน 1 วัน ต้องพยายามไปให้คุ้มค่าที่สุด
เราเลือกที่จะเที่ยวในกรุงเทพ อยากทานอาหารอร่อย และไหว้พระ ดังนั้นเราจึงเลือกมาที่นี่ค่ะ
ยอดพิมาน ริเวอร์วอล์ค อยู่ติดกับตลาดยอดพิมานค่ะ ซึ่งอยู่ใจกลาง ย่านการค้าของกรุงเทพมหานคร และเป็นตลาดขายส่งดอกไม้ดั้งเดิมเก่าแก่มากกว่า 50 ปี และใหญ่ที่สุดของไทย ท่าเรือของยอดพิมาน ริเวอร์วอล์ค ก็คือ ท่าเรือปากคลองตลาด
สถาปัตยกรรมสไตล์โคโลเนียล ซึ่งได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมต่างประเทศในช่วงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เพื่อให้กลมกลืนไปกับทัศนียภาพโดยรอบบริเวณนี้
การเดินทางมาที่นี่ ทำได้หลายทาง เพราะตั้งอยู่ใจกลางปากคลองตลาด และอยู่ตรงข้ามกับตลาดนัดสะพานพุทธฯ
- ทางเรือ สามารถนั่งเรือด่วนเจ้าพระยา (ธงฟ้า ธงส้ม) ลงท่าปากคลองตลาด
- รถเมล์ ลงป้ายหน้าปากคลองตลาด สาย 7ก, สาย 9, สาย 42, สาย 82, ปอ.9 และ ปอ.82
- รถส่วนตัว จากราชดำเนินวิ่งเข้าถนนจักรเพชร ผ่าน รร.สวนกุหลาบ ตรงมาเบี่ยงซ้ายเพื่อลอดใต้สะพานพุทธฯ แล้วขับตรงมาเพื่อเข้ายอดพิมาน ริเวอร์วอล์คได้เลย
- BTS ลงสถานีตากสิน ต่อเรือด่วนเจ้าพระยาธงสีส้ม และสีฟ้า มาลงท่าปากคลองตลาด
ราเดินทางมาจากพระประแดง ขับรถมาจอดที่นี่ แต่เนื่องจากอาคารจอดรถยังสร้างไม่เสร็จ จึงทำให้การนำรถยนต์ส่วนตัวมาที่นี่ จะยังไม่ค่อยสะดวกสบายนัก
แต่โชคดีที่เรามาถึงเช้าประมาณ 10.15 น. จึงมีที่จอดรถอยู่ ถ้ามาช้ากว่านี้ ก็คงจะไม่มีที่จอดรถแน่ๆ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่นี่น่ารักมาก แนะนำให้จอดรถในที่ที่ไม่กีดขวางการก่อสร้าง และรถขนส่งสินค้าต่างๆ ปลอดภัยทีเดียว
กินอะไรเป็นอาหารเช้าดีนะ เช้าแบบนี้ยังไม่ค่อยมีร้านเปิดบริการเท่าไหร่
เดินไปเดินมา จนในที่สุดตูนก็ตัดสินใจทานมื้อแรกของเราที่ร้าน Appethaizing ที่ชั้น 1 (D4-102)
ร้านอาหารไทย ที่มีพนักงานยิ้มแย้มแจ่มใส และต้อนรับเราอย่างดี คอยแนะนำรายการอาหารต่างๆ
เราสามารถเลือกนั่งด้านใน หรือจะนั่งด้านนอกได้ มีเมนูอาหารให้เลือกทานมากมาย ตูนเลือกสั่ง ข้าวผัดหมูเค็ม+ส้มตำ+ชามะนาว (เป็นเซต) 150 บาท, โรตี แกงเขียวหวานเนื้อ 110 บาท และขนมเบื้องออมทอง 120 บาท
ทุกอย่างอร่อยมาก รสชาติดี รวมแล้วราคา 395 บาท ร้านนี้เปิด 10.00 น. ปิด 20.30 น. จากนั้นเราก็ไปต่อขนมหวานที่ร้าน นายหัวโรตีชาชัก
เราสั่งโรตีกล้วย ช็อคโกแลต และก็ชานมเย็น
เมื่อท้องอิ่ม เราก็พร้อมจะออกเดินทาง เราไปรอเรือธงส้มที่มุ่งหน้าไปท่าเตียน ฝนก็ตกปรอยๆ ตลอด
ในที่สุดเรือก็มาแล้ว คนยังไม่เยอะเท่าไหร่
นั่งเรือคนละ 14 บาท ใช้เวลาไม่นาน ป้ายเดียว เราก็มาถึงท่าเตียนกัน
ในอดีตท่าเตียนเป็นท่าเรือที่คึกคักมาก ใครจะไปไหนก็ต้องมาขึ้นที่ท่าเตียน และยังมีเรื่องราวของยักษ์วัดแจ้ง และยักษ์วัดโพธิ์ต่อสู้กันที่ท่าเตียนอีกด้วย ใครสนใจลองไปกูเกิ้ลมาอ่านได้นะคะ
ร้านปลาแห้งปลาเค็มในตลาดท่าเตียน
เดินมาไม่กี่ก้าว ข้ามถนนไป ก็จะพบกับทางเข้าวัดโพธิ์ คนไทยเข้าฟรี ชาวต่างชาติเสียเงิน 100 บาท
วัดโพธิ์ หรือนามทางราชการว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก และเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาวัดโพธารามวัดเก่าที่เมืองบางกอกครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นวัดหลวงข้างพระบรมมหาราชวัง และที่ใต้พระแท่นประดิษฐาน พระพุทธเทวปฏิมากร พระประธานในพระอุโบสถเป็นที่บรรจุพระบรมอัฐิของพระองค์ท่านไว้ด้วย (www.watpho.com)
อีกหนึ่งเสน่ห์ของวัดโพธิ์ รูปสลักหินจีนทั้งหลายที่ตั้งประดับตามซุ้มประตูและที่ต่างๆ มีทั้งสลักจากหินและปูนปั้น หากเราพินิจพิจารณารูปปั้นรูปสลักจีนแต่ละรูปแบบแล้ว ย่อมทำให้รู้จักและเข้าใจต่อการที่ช่างไทยขนเอาเครื่องอับเฉาที่ใช้เป็นอุปกรณ์ถ่วงเรือสำเภาตอนขากลับจากการพาณิชย์นาวีที่ประเทศจีน แล้วนำไปตั้งประดับอย่างมีศิลปะ ประยุกต์เอารูปปั้นเหล่านั้นตั้งประดับดูเข้ากันได้ไม่ขัดตา
ลั่นถัน คือ ตุ๊กตาหินยืนท้าวเอวถืออาวุธ
ข้อควรปฏิบัติ
เจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างเหน็ดเหนื่อย เนื่องด้วยชาวต่างชาติ ต่างวัฒนธรรม การแต่งกายบางคนจะไม่ค่อยเหมาะสำหรับสถานที่นี้ ทำให้ต้องคอยเรียก ให้มาสวมเสื้อคลุม
พระพุทธไสยาส หรือที่เรียกกันว่า พระนอนวัดโพธิ์ ประดิษฐานในพระวิหารพระพุทธไสยาสภายในเขตพุทธาวาส บริเวณมุมกำแพงทิศตะวันตกเฉียงเหนือของวัด เป็นพระพุทธรูปสมัยรัตนโกสินทร์ ก่ออิฐถือปูนลงรักปิดทอง เป็นพระนอนที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพมหานคร และใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศ
จิตรกรรมฝาผนัง
พระมหาเจดีย์ทั้งสี่องค์อยู่ในบริเวณกำแพงสีขาว ซุ้มประตูทางเข้าเป็นสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์แบบจีน ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบ เครื่องถ้วยหลากสี มีตุ๊กตาหินจีนประตูละคู่ พระมหาเจดีย์แต่ละองค์เป็นเจดีย์ย่อไม้สิบสองเพิ่มมุมสูง 42 เมตร ประดับกระเบื้องเคลือบและกระเบื้องเครื่องถ้วยลวดลายต่างๆ สังเกตได้ง่าย
พระระเบียงเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งที่สร้างล้อมรอบพระอุโบสถ มีอยู่ 2 ชั้น ทั้งสองชั้นเชื่อมต่อด้วยพระวิหารทิศอยู่รอบพระอุโบสถทั้งสี่ทิศ เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปสำคัญ และสร้างพระวิหารไว้ประจำที่ทิศ
งานที่ต้องใช้ฝีมือ
พระมหาสถูป
ขณะที่กำลังเดินชมภายในบริเวณวัด ได้พบคุณพี่ท่านนี้กำลังวาดสีน้ำ ตูนเลยเข้าไปทักทายว่าวาดภาพได้สวยมาก ซึ่งคุณพี่ได้บอกว่ามาวาดเป็นประจำ พร้อมกับหยิบอีกผลงานหนึ่งมาให้เราได้ชม สวยงามมากเลย
จากนั้นเราสองคนจึงขึ้นเรือข้ามฟาก คนละ 3 บาท มายังวัดอรุณ
วัดอรุณราชวราราม เป็นวัดโบราณสร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เดิมเรียกว่า “วัดมะกอก” ตามชื่อ ตำบลบางมะกอกซึ่งเป็นตำบลที่ตั้งวัด ภายหลังเปลี่ยนเป็น “วัดมะกอกนอก” (ที่มา watarun.org)
น่าเสียดายที่พระปรางค์ยังคงได้รับการบูรณะอยู่ เลยยังไม่ได้เห็นความสวยงามตระการตา
เมื่อเราเริ่มจะเหนื่อย เพราะฝนที่ปรอย และความร้อนของอากาศ เราจึงข้ามฟากกลับไปอีกฝั่ง และนั่งเรือกลับ ยอดพิมาน ริเวอร์วอล์ค
เราเลือกทานข้าวมื้อนี้ที่ร้าน ลาภลอย Larbloi ชั้น 2 (D3-201-201/1)
เราเลือกนั่งด้านในเย็นๆ
พนักงานที่นี่ยิ้มแย้มแจ่มใสทุกคน อาหารที่สั่งจะมีดังนี้ ลาภลอย 180 บาท, ตำลาภลอย 180 บาท, แกงเห็ดรวม 150 บาท, คอหมูย่าง 150 บาท, ข้าวเหนียว 25 บาท
รวมค่าอาหารเครื่องดื่ม และ service charge 10% ทั้งหมดแล้ว เป็นเงิน 825 บาท คุ้มค่า คุ้มราคามาก
เวลาที่มีความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ ตอนนี้ได้เวลากลับบ้านแล้ว ถ้ากลับช้ากว่านี้ จะเป็นเวลารถติด ใครที่อยากทานข้าวในบรรยากาศริมแม่น้ำเจ้าพระยาแบบนี้ ลองมาเที่ยวที่ ยอดพิมาน ริเวอร์วอล์ค กันนะคะ รับรองอาหารอร่อย บรรยากาศดี
อ่านเรื่องอื่นๆ ของเราได้ที่ http://www.juth.net นะคะ
ติดตามกันได้ที่ https://www.facebook.com/juthnet