สวัสดีเจ้าค่ะ เพื่อนๆชาวพันทิปทุกคนนนนนนะเจ้าคะ อันนี้ถือว่าเป็นกระทู้แรกๆๆของเราเลยนะเจ้าคะ หลังจากที่เป็นสมาชิกของพันทิปมานานมาก ได้ดู รีวิวสถานที่ต่างๆของเพื่อนๆมาก็มากแล้ว ทีนี้ก็ขอรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวของตัวข้าเองบ้างนะเจ้าคะอุ๊ย!! ตื่นเต้น อุ๊ย!!ตื่นเต้น ถ้าผิดพลาดยังไงสามารถติชมกันได้หรือเนื้อหาอะไรที่ไม่เหมาะสม รบกวนช่วยแนะนำด้วยนะเจ้าคะ^^เอาหล่ะ ไม่พูดมากล่ะ เดี๋ยวเจ็บคอ5555ไปเริ่มทริปกันเล้ยยยยยยยแอ๊ะๆ ลืมบอกไปทริปนี้เราไม่ได้ไปคนเดียวนะ มี Buddyร่วมชะตากรรมไปด้วยเจ้าค่ะ
เรานัดกับBuddy เจอกันที่ หน้าฟิวเจอร์พาร์ครังสิต ตั้งใจว่าจะออกเดินทางเวลา 9.00 น เพราะกลัวรถจะติดไปมากกว่านี้ แต่ แต่ รถประจำทางไม่เป็นใจ 5555 ยืนรอรถเกือบ 20 นาทีได้ สรุป ออกเดินทาง 09.20 น. เราเดินทางมุ่งหน้าไปสนามหลวง ด้วยรถประจำทางสาย 59 ปรับอากาศ ค่ารถคนละ 23 บาท อิอิเดินทาง ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง (ถ้ารถไม่ติดมาก)
เอาหล่ะค่าาาาาาาา เราก็มาถึงสนามหลวงกันแย้วววววเราก็มุ่งหน้าไปวัดโพธิ์กันเล้ยยยยย จากสนามหลวงไปวัดโพธิ์ เรานั่งรถประจำทางสาย 53 นะเจ้าคะ ราคาคนละ 9 บาท( คุณลุงขับรถเมย์ แอบซิ่งอยู่นะจ้ะ 555555) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 นาที เย้!!! ในที่สุดเราก็ ถึงวัดโพธิ์แย้ววววววไหนๆก็ถึงล่ะ ก่อนเข้าชมวัดเรามารู้จัก วัดโพธิ์หรือชื่อที่เป็นทางการว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร หรือในสมัยก่อนเรียก วัดโพธาราม กันเลย ฟิ้ววววว
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร หรือที่เราทราบกันดีในชื่อวัดโพธารามนั่นเอง ตั้งอยู่เลขที่ 2 แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร มีพื้นที่ 50ไร่ 38 ตารางวา ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของพระบรมมหาราชวัง อยู่ติดกับพระบรมมหาราชวังด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา วัดโพธิ์เป็นวัดที่เก่าแก่ ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้ามาเยี่ยมชมอย่างสม่ำเสมอ เปิดให้บริการเข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 08.00 - 18.30 น. ชาวต่างชาติจะต้องซื้อบัตรเข้าชมคนละ 200 บาท สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยเข้าชมฟรีเจ้าค่ะ
อีกทั้งยังมีพระนอนหรือ "พระพุทธไสยาสน์" ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของประเทศไทย เป็นพระพุทธรูปปางโปรดอสุรินทราหู
มีขนาดยาวถึงสองเส้นสามวา
พระบาทของพระพุทธไสยาสน์แต่ละข้าง กว้าง 1.5 เมตร ยาว 5 เมตร มีภาพมงคล 108 ประการ เป็นลวดลายประดับมุก ภาพมงคลแต่ละอย่างจะอยู่ในช่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ล้อมรอบด้วยภาพกงจักร ซึ่งอยู่ตรงกลางพระบาท
ยักษ์วัดโพธิ์
ยักษ์วัดโพธิ์นั้นตั้งอยู่ที่ซุ้มประตูทางเข้าพระมณฑป โดยมีสีกายเป็นสีแดงและสีเขียว ลักษณะคล้ายยักษ์ในวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ ซึ่งมักมีผู้เข้าใจผิดว่าตุ๊กตาสลักหินรูปจีน หรือ ลั่นถัน นายทวารบาลที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าประตูวัดนั้นคือ ยักษ์วัดโพธิ์ นอกจากนี้ ยังมีตำนานเกี่ยวกับยักษ์วัดโพธิ์และยักษ์วัดแจ้งซึ่งทำให้เกิดท่าเตียนในปัจจุบัน นั่นคือ ยักษ์วัดโพธิ์ซึ่งทำหน้าที่ดูแลวัดโพธิ์และยักษ์วัดแจ้งซึ่งทำหน้าที่ดูแลวัดแจ้งนั้น ทั้ง 2 ตนเป็นเพื่อนรักกัน วันหนึ่งยักษ์วัดแจ้งไปขอยืมเงินจากยักษ์วัดโพธิ์ เมื่อถึงกำหนดส่งเงินคืนยักษ์วัดโพธิ์กลับไม่ยอมจ่าย ดังนั้น ยักษ์ทั้ง 2 ตนจึงเกิดทะเลาะกัน แต่เพราะรูปร่างที่ใหญ่โตและพละกำลังที่มหาศาลของยักษ์ทั้ง 2 ตน เมื่อเกิดต่อสู้กันจึงทำให้บริเวณนั้นราบเรียบโล่งเตียนไปหมด เมื่อพระอิศวรทราบเรื่องนี้ จึงได้ลงโทษให้ยักษ์วัดโพธิ์ยืนเฝ้าพระอุโบสถวัดโพธิ์ และยักษ์วัดแจ้งยืนเฝ้าวิหารวัดแจ้งตั้งแต่นั้นมา
ตุ๊กตาจีน
ตุ๊กตาศิลาจีนเป็นประติมากรรมอันงดงามล้ำคุณค่าที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า รัชกาลที่ 3 ทรงพระราชอุทิศถวายไว้ในคราวที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรวัดพระเชตุพนครั้งใหญ่ ซึ่งแสดงถึงสัมพันธไมตรีอันดีระหว่างไทยกับจีนที่มีมายาวนานและแสดงเส้นทางการค้าขายในสมัย ร.3 มีทั้งทางบกใช้ช้าง ม้า ลา และโค เป็นพาหนะ และทางน้ำใช้เรือสำเภาทั้งของไทยและจีนเป็นพาหนะ นอกจากการค้าขายสินค้าแล้วยังมีการแลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรมประเพณี คติความเชื่อ และในยุคนั้นมีคนจีนอพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารกันมากดังนั้นทางวัดจึงได้รวบรวมเรื่องราวความเป็นมาอันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์
วัดโพธิ์ยังมีบริการนวดแผนไทย ซึ่งเปิดบริการทุกวันตั้งแต่เวลา 08.00 - 17.00 น.
อัตราค่าบริการ
- นวดแผนไทยชั่วโมงล่ะ 360 บาท
- นวดผ่าเท้าครึ่งชั่วโมง 280 บาท , 1 ชั่วโมง 460 บาท
และยังมีสถานที่ที่น่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวที่กำลังมองหาอาหารรับประทาน และของฝากต่างๆซึ่งอยู่ติดกับว้ดโพธาราม นั่นก็คือ "ตลาดท่าเตียน"
เรามาทำความรู้จักกับท่าเตียนกันก่อนดีกว่าาา ท่าเตียน เป็นท่าเรือและตลาดแห่งหนึ่ง ในแขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ตั้งอยู่บนถนนมหาราช ด้านตะวันตกติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาเมื่อถึงถนนมหาราชมองเห็นวัดโพธิ์ ฝั่งตรงข้ามคือ ตึกสีเหลืองเรียงเป็นแนวยาว นั่นหมายความว่าเรากำลังเข้าสู่ย่านท่าเตียนแล้ว ตลาดท่าเตียนมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มากนอกจากเคยเป็นที่อยู่ของขุนนางและเจ้าขุนมูลนายหลายพระองค์เพราะอยู่ใกล้กับพระบรมหาราชวัง ยังเป็นย่านการค้าใหญ่ ตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นทั้งตลาดบกและตลาดน้ำ มีท่าเรือใหญ่ขนส่งสินค้าที่มาจากประเทศต่างๆ ไม่เพียงแค่นั้น ตลาดแห่งนี้ยังได้กลายเป็นตลาดท้ายวังสำหรับชาววังอีกด้วย เราคงเคยได้ยินตำนานเรื่องยักษ์วัดแจ้ง วัดโพธิ์ กันมาบ้าง ซึ่งตามตำนานเล่าว่า ท่าเตียนเคยเป็นสถานที่ต่อสู้ของยักษ์วัดโพธิ์และยักษ์วัดแจ้งจากสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา การต่อสู้กันของยักษ์ทั้งสองนั้นรุนแรงมากจนบริเวณแถวนั้นราบเรียบกลายเป็นสถานที่ที่โล่งเตียนไปหมด จึงเป็นที่มาของชื่อ "ท่าเตียน"
ซึ่งภายในตลาดท่าเตียนส่วนใหญ่ก็จะขายอาหารแห้งจำพวก ปลาตากแห้ง ปลาเส้น ปลาทูงา และยังมีรูปปั้นแกะสลัก หน้ากากยักษ์เครื่องประดับนะเจ้าคะ
บรรยากาศภายนอกตลาดก็จะมีร้านนั่งชิวๆ มุมถ่ายรูปสวยๆมากมาย บรรยากาศก็จะประมาณนี้นะเจ้าคะ
-------- เป็นยังไงกันบ้างเจ้าคะสำหรับทริปของพวกเราทั้งสองคน หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยไว้ ณ. ที่นี้ด้วยนะเจ้าคะ
[CR] "โลจิส-ลุยพระนคร ตะลอนวัดโพธิ์ โอ้โหท่าเตียนนนน"
สวัสดีเจ้าค่ะ เพื่อนๆชาวพันทิปทุกคนนนนนนะเจ้าคะ อันนี้ถือว่าเป็นกระทู้แรกๆๆของเราเลยนะเจ้าคะ หลังจากที่เป็นสมาชิกของพันทิปมานานมาก ได้ดู รีวิวสถานที่ต่างๆของเพื่อนๆมาก็มากแล้ว ทีนี้ก็ขอรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวของตัวข้าเองบ้างนะเจ้าคะอุ๊ย!! ตื่นเต้น อุ๊ย!!ตื่นเต้น ถ้าผิดพลาดยังไงสามารถติชมกันได้หรือเนื้อหาอะไรที่ไม่เหมาะสม รบกวนช่วยแนะนำด้วยนะเจ้าคะ^^เอาหล่ะ ไม่พูดมากล่ะ เดี๋ยวเจ็บคอ5555ไปเริ่มทริปกันเล้ยยยยยยยแอ๊ะๆ ลืมบอกไปทริปนี้เราไม่ได้ไปคนเดียวนะ มี Buddyร่วมชะตากรรมไปด้วยเจ้าค่ะ
เรานัดกับBuddy เจอกันที่ หน้าฟิวเจอร์พาร์ครังสิต ตั้งใจว่าจะออกเดินทางเวลา 9.00 น เพราะกลัวรถจะติดไปมากกว่านี้ แต่ แต่ รถประจำทางไม่เป็นใจ 5555 ยืนรอรถเกือบ 20 นาทีได้ สรุป ออกเดินทาง 09.20 น. เราเดินทางมุ่งหน้าไปสนามหลวง ด้วยรถประจำทางสาย 59 ปรับอากาศ ค่ารถคนละ 23 บาท อิอิเดินทาง ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง (ถ้ารถไม่ติดมาก)
เอาหล่ะค่าาาาาาาา เราก็มาถึงสนามหลวงกันแย้วววววเราก็มุ่งหน้าไปวัดโพธิ์กันเล้ยยยยย จากสนามหลวงไปวัดโพธิ์ เรานั่งรถประจำทางสาย 53 นะเจ้าคะ ราคาคนละ 9 บาท( คุณลุงขับรถเมย์ แอบซิ่งอยู่นะจ้ะ 555555) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 นาที เย้!!! ในที่สุดเราก็ ถึงวัดโพธิ์แย้ววววววไหนๆก็ถึงล่ะ ก่อนเข้าชมวัดเรามารู้จัก วัดโพธิ์หรือชื่อที่เป็นทางการว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร หรือในสมัยก่อนเรียก วัดโพธาราม กันเลย ฟิ้ววววว
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร หรือที่เราทราบกันดีในชื่อวัดโพธารามนั่นเอง ตั้งอยู่เลขที่ 2 แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร มีพื้นที่ 50ไร่ 38 ตารางวา ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของพระบรมมหาราชวัง อยู่ติดกับพระบรมมหาราชวังด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา วัดโพธิ์เป็นวัดที่เก่าแก่ ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้ามาเยี่ยมชมอย่างสม่ำเสมอ เปิดให้บริการเข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 08.00 - 18.30 น. ชาวต่างชาติจะต้องซื้อบัตรเข้าชมคนละ 200 บาท สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยเข้าชมฟรีเจ้าค่ะ
อีกทั้งยังมีพระนอนหรือ "พระพุทธไสยาสน์" ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของประเทศไทย เป็นพระพุทธรูปปางโปรดอสุรินทราหู
มีขนาดยาวถึงสองเส้นสามวา
พระบาทของพระพุทธไสยาสน์แต่ละข้าง กว้าง 1.5 เมตร ยาว 5 เมตร มีภาพมงคล 108 ประการ เป็นลวดลายประดับมุก ภาพมงคลแต่ละอย่างจะอยู่ในช่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ล้อมรอบด้วยภาพกงจักร ซึ่งอยู่ตรงกลางพระบาท
ยักษ์วัดโพธิ์
ยักษ์วัดโพธิ์นั้นตั้งอยู่ที่ซุ้มประตูทางเข้าพระมณฑป โดยมีสีกายเป็นสีแดงและสีเขียว ลักษณะคล้ายยักษ์ในวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ ซึ่งมักมีผู้เข้าใจผิดว่าตุ๊กตาสลักหินรูปจีน หรือ ลั่นถัน นายทวารบาลที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าประตูวัดนั้นคือ ยักษ์วัดโพธิ์ นอกจากนี้ ยังมีตำนานเกี่ยวกับยักษ์วัดโพธิ์และยักษ์วัดแจ้งซึ่งทำให้เกิดท่าเตียนในปัจจุบัน นั่นคือ ยักษ์วัดโพธิ์ซึ่งทำหน้าที่ดูแลวัดโพธิ์และยักษ์วัดแจ้งซึ่งทำหน้าที่ดูแลวัดแจ้งนั้น ทั้ง 2 ตนเป็นเพื่อนรักกัน วันหนึ่งยักษ์วัดแจ้งไปขอยืมเงินจากยักษ์วัดโพธิ์ เมื่อถึงกำหนดส่งเงินคืนยักษ์วัดโพธิ์กลับไม่ยอมจ่าย ดังนั้น ยักษ์ทั้ง 2 ตนจึงเกิดทะเลาะกัน แต่เพราะรูปร่างที่ใหญ่โตและพละกำลังที่มหาศาลของยักษ์ทั้ง 2 ตน เมื่อเกิดต่อสู้กันจึงทำให้บริเวณนั้นราบเรียบโล่งเตียนไปหมด เมื่อพระอิศวรทราบเรื่องนี้ จึงได้ลงโทษให้ยักษ์วัดโพธิ์ยืนเฝ้าพระอุโบสถวัดโพธิ์ และยักษ์วัดแจ้งยืนเฝ้าวิหารวัดแจ้งตั้งแต่นั้นมา
ตุ๊กตาจีน
ตุ๊กตาศิลาจีนเป็นประติมากรรมอันงดงามล้ำคุณค่าที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า รัชกาลที่ 3 ทรงพระราชอุทิศถวายไว้ในคราวที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรวัดพระเชตุพนครั้งใหญ่ ซึ่งแสดงถึงสัมพันธไมตรีอันดีระหว่างไทยกับจีนที่มีมายาวนานและแสดงเส้นทางการค้าขายในสมัย ร.3 มีทั้งทางบกใช้ช้าง ม้า ลา และโค เป็นพาหนะ และทางน้ำใช้เรือสำเภาทั้งของไทยและจีนเป็นพาหนะ นอกจากการค้าขายสินค้าแล้วยังมีการแลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรมประเพณี คติความเชื่อ และในยุคนั้นมีคนจีนอพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารกันมากดังนั้นทางวัดจึงได้รวบรวมเรื่องราวความเป็นมาอันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์
วัดโพธิ์ยังมีบริการนวดแผนไทย ซึ่งเปิดบริการทุกวันตั้งแต่เวลา 08.00 - 17.00 น.
อัตราค่าบริการ
- นวดแผนไทยชั่วโมงล่ะ 360 บาท
- นวดผ่าเท้าครึ่งชั่วโมง 280 บาท , 1 ชั่วโมง 460 บาท
และยังมีสถานที่ที่น่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวที่กำลังมองหาอาหารรับประทาน และของฝากต่างๆซึ่งอยู่ติดกับว้ดโพธาราม นั่นก็คือ "ตลาดท่าเตียน"
เรามาทำความรู้จักกับท่าเตียนกันก่อนดีกว่าาา ท่าเตียน เป็นท่าเรือและตลาดแห่งหนึ่ง ในแขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ตั้งอยู่บนถนนมหาราช ด้านตะวันตกติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาเมื่อถึงถนนมหาราชมองเห็นวัดโพธิ์ ฝั่งตรงข้ามคือ ตึกสีเหลืองเรียงเป็นแนวยาว นั่นหมายความว่าเรากำลังเข้าสู่ย่านท่าเตียนแล้ว ตลาดท่าเตียนมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มากนอกจากเคยเป็นที่อยู่ของขุนนางและเจ้าขุนมูลนายหลายพระองค์เพราะอยู่ใกล้กับพระบรมหาราชวัง ยังเป็นย่านการค้าใหญ่ ตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นทั้งตลาดบกและตลาดน้ำ มีท่าเรือใหญ่ขนส่งสินค้าที่มาจากประเทศต่างๆ ไม่เพียงแค่นั้น ตลาดแห่งนี้ยังได้กลายเป็นตลาดท้ายวังสำหรับชาววังอีกด้วย เราคงเคยได้ยินตำนานเรื่องยักษ์วัดแจ้ง วัดโพธิ์ กันมาบ้าง ซึ่งตามตำนานเล่าว่า ท่าเตียนเคยเป็นสถานที่ต่อสู้ของยักษ์วัดโพธิ์และยักษ์วัดแจ้งจากสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา การต่อสู้กันของยักษ์ทั้งสองนั้นรุนแรงมากจนบริเวณแถวนั้นราบเรียบกลายเป็นสถานที่ที่โล่งเตียนไปหมด จึงเป็นที่มาของชื่อ "ท่าเตียน"
ซึ่งภายในตลาดท่าเตียนส่วนใหญ่ก็จะขายอาหารแห้งจำพวก ปลาตากแห้ง ปลาเส้น ปลาทูงา และยังมีรูปปั้นแกะสลัก หน้ากากยักษ์เครื่องประดับนะเจ้าคะ
บรรยากาศภายนอกตลาดก็จะมีร้านนั่งชิวๆ มุมถ่ายรูปสวยๆมากมาย บรรยากาศก็จะประมาณนี้นะเจ้าคะ
-------- เป็นยังไงกันบ้างเจ้าคะสำหรับทริปของพวกเราทั้งสองคน หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยไว้ ณ. ที่นี้ด้วยนะเจ้าคะ