ขอปรึกษาได้ไหมว่า ควรมุ่งภาวนาธรรมอย่างเดียว หรือควรหางานทำดีกว่ากัน

ขออนุญาตเล่าเรื่องตัวเอง  เราจบโท ภาษาดี  บ้านเราค่อนข้างมีฐานะ

เราว่างงานมาสามปีแล้วเพราะโดนเลย์ออฟได้เงินชดเชยมาเกือบล้าน  (ใช้หมดไปกับเที่ยว และเสียเงินหลายแสนเพื่อซื้อ ltf, rmf, life insurance เงินชดเชยเลยหมดภายในช่วงสองปีเลย)  

เราเองอยากปฏิบัติธรรมเยอะๆ  ในช่วงว่างงานเลยตระเวนไปหลายๆ วัด     แรกๆ พ่ออยากให้หางานทำ   แต่เราอ้างว่า  อยากภาวนาเยอะๆ  ไหนๆ ก็รุ้สึกว่าตัวเองชอบภาวนา   เพราะที่ผ่านมาทำงานมานานไม่เห็นประสบความสำเร็จในเรื่องงานอะไรเลย   แต่เรากลัวบาปที่ต้องขอเงินพ่อตลอดเลย

ตอนนี้พ่อเราอายุ 80 กว่าแล้ว   และเริ่มคิดว่า  ในบ้านมีกันเกือบสิบคน  ไม่มีใครปฏิบัติธรรมเลย  มีเราคนเดียวที่ชอบทางนี้  พ่อเลยเริ่มอยากให้เราไปวัดบ่อยๆ และมุ่งปฏิบัติธรรมเยอะๆ  น่าจะดีที่อย่างน้อยมีคนนึงในครอบครัวเก้าคนที่ภาวนาจริงจัง  

แต่ในตอนนี้เราเริ่มคิดว่า   อยากหางานทำ  เพราะยังไงชีวิตก้อต้องใช้เงิน   และเริ่มเบื่อๆ ที่วันๆ ว่างๆ  แถมเงินหมด ต้องขอจากพ่อตลอด รู้สึกละอายแก่ใจ  กลัวบาปที่ขอเงินพ่อตลอด  แต่พ่อเรายินดีให้เสมอเพราะพ่อค่อนข้างมีเงิน  พี่น้องเราทุกคนทำงานดี มีชีวิตทางโลกที่มั่นคงกัน  เงินเก็บเยอะมากทุกคน  ส่วนเรื่องงานทางเนตเช่น ขายของ เราลองมาแล้วนะคะ  ไม่เวิคเลยคำสำหรับเรา หรือพวกงานขายตรง เปิดธุรกิจของตัวเอง ไม่เวิคเลยคะสักอย่าง ไม่เหมาะกับเราจริงๆ คะ  ลองมาหมดแล้ว  ไม่ชอบเลยคะ  หรือแม้แต่ปลูกผัก  คือมือไม่เย็นน่ะคะ 555  สงสัยคงเป็นได้แค่มนุษย์เงินเดือนทั่วๆ ไปน่ะคะ

ตัวเราเองไม่มีครอบครัว  ไม่มีหนี้  ไม่มีภาระอะไรเลย  เรามีแฟน แต่ไม่ได้แต่งงานกัน   เราเองมีทั้งบ้านเดี่ยว รถ มอไซ ที่ดิน คอนโด  ทุกอย่างจ่ายครบแล้ว     เราเอง 40 แล้ว  เลยไม่รุ้ว่า  ควรทำไงต่อไปดี   จะหางานทำดีไหม หรือว่าไงดี   จิงๆ พี่น้องเราบางคนเปิดบริษัท  และอยากได้เราไปช่วยงานไปเป็น พนง คนนึงในบริษัทพวกเค้า    เราเองสองจิตสองใจว่าจะเอาไงดี  เพราะเราเองไม่ได้สนิทกับพี่น้องเราเท่าไร

ลึกๆ เราอยากภาวนาให้ได้เยอะๆ มุ่งทางธรรมไปเลย  แต่รุ้ว่าไม่เหมาะกับชีวิตนักบวช  เพราะชอบอยุ่คอนโดตัวเองมากกว่าไปอยู่กุฏิแคบๆ   และเราเองยังต้องใช้เงินทุกวัน เช่น ซื้อข้าว น้ำ ขนม เดินทาง ค่าน้ำมัน  ฯลฯ  ตอนนี้อยุ่คอนโด แล้วปล่อยบ้านเดี่ยวให้ลูกค้าเช่ามาห้าปีกว่าแล้วคะ

แต่เราก้อมีเรื่องกังวลว่า   หากเราได้งาน  แล้วเราจะแบบว่า  ทนทำงานไปได้ถึงเกษียณไหม  เราจะได้งานแบบไหน อะไร ที่ไหน ยังไง   หรือไปทำงานกับญาติดี  แล้วถ้าทำงานกับพี่น้อง  จะมีการทะเลาะเบาะแว้งไหม แล้วจะเครียดไหม  กินยานอนหลับเพื่อจะได้หลับๆ รีบๆ ตื่นเช้า  ฝ่ารถติดไปทำงาน  จะมีเวลาภาวนาไหมหนอ   เหมือน worry ไปก่อนเยอะมากในหลายๆ เรื่อง  

เราเลยยังไม่ได้หางานทำ   เพราะกำลังคิดว่า  เอาไงดี    พ่อเราตอนนี้กลับอยากให้เราไปอยู่วัดบ่อยๆ  แล้วพ่อจะคอยอนุโมทนาสาธุบุญภาวนาธรรม ถือศีล 8 กับเราด้วยประจำเลยคะ

แม่เราเสียไปได้ไม่กี่ปีนี้เอง   เราอุทิศบุญให้แม่ทุกวัน   แม่มาเข้าฝันเสมอบอกว่า ขอบคุณมาก  ที่รักษาศีล ทำทาน เจริญสติ ภาวนา ทำสมาธิ แล้วอุทิศบุญกุศล แผ่เมตตาให้แม่  แม่ได้รับทุกบุญเลย   เราเลยเชื่อสุดๆ ว่าบุญกุศลจากการทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนามีจริงๆ และแบ่งบุญอุทิศบุญให้ญาติได้ด้วยทั้งผู้ที่เสียไปแล้วหรือผู้ที่ยังอยู่

เราเลยสองจิตสองใจว่า   เราควรหางานทำดีไหม   หรือควรภาวนาธรรมแบบมุ่งไปเลยดีกว่า  เพราะพ่อเองก็สนับสนุนแล้ว  คือพ่อ 80 กว่าแล้วน่ะคะ  เลยเริ่มๆ สนใจในเรื่องบุญกุศลจากการ ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา   แต่ไม่ได้ปฏิบัติเอง  ให้ลูกสาวเนี่ยแหละทำ  แล้วแผ่เมตตาแบ่งบุญให้  และพ่อก็พูดว่าอนุโมทนาบุญด้วย  

รบกวนเพื่อนๆ ช่วยแนะนำเราได้ไหม  ว่าเราจะยังไงดี   แฟนเราอยากให้เราหางานทำ   พี่น้องก็อยากได้เราไปร่วมงาน  แต่เราเองสองใจมากๆ  ส่วนพ่อเราบอกว่าแล้วแต่เราแล้วกัน    แต่เรารุ้สึกได้ว่า พ่อเริ่มอยากให้เรามุ่งทางธรรมไปเลย  อาจเพราะท่านมีครบทุกอย่างแล้ว  ลูกหลานทุกคนมีชีวิตที่ดีทุกคนและทำงานมั่นคงกัน   ครอบครัวไม่ได้ลำบากเรื่องเงิน  สุขภาพท่านก็แข็งแรงมาก  พ่อเริ่มเห็นว่าธรรมะเป็นสิ่งที่ดีเหมือนกันสำหรับผู้สูงอายุและคนพุทธทุกคน  พ่อเริ่มมีความสุขใจจากการอนุโมทนาบุญกับเราทุกครั้งที่เราไปอยู่วัดหรือทำบุญกุศลต่างๆ

เลยไม่แน่ใจว่า   เราควรลองทำงานอีกไหม หลังจากว่างมาสามปีเต็ม  หรือลุยภาวนาไปเลยอีกสักสองปีค่อยว่ากัน   ช่วงสามปีที่เราว่างงาน  เราปฏิบัติธรรมทุกวันแนวหลวงพ่อเทียน วันละประมาณ 4-6 ชม.  เราชอบยกมือสร้างจังหวะมากๆ  ตอนที่เราทำงานเราปฏิบัติแค่วันละ 20-40 นาทีเท่านั้นคะ

เราเคยปรึกษาหลวงตาสุริยา วัดป่าโสมพนัส  และหลวงตากรม วัดป่าสุคะโต  และแม่ชีบางท่านที่มีอภิญญา  พวกท่านบอกว่า  ไม่ต้องทำงานทางโลกแล้ว  ให้ภาวนามุ่งไปเลยทางธรรม  เดี๋ยวเงินมาเอง  เพราะสมาธิเราดีมาก  เราเองเลยลองๆ ขอพรในใจดู  มีหลายเรื่องมากที่ประสบผลสำเร็จ เช่น เรื่องโชคลาภ สุขภาพ การเงิน ความสัมพันธ์ ฯลฯ  คือเราไม่ได้มุ่งเอาลาภยศอะไรนะ  แต่ลองขอพรในสิ่งที่เราอยากได้ดู  แล้วก็สมหวังอะ  555 แปลกดีเหมือนกัน  สงสัยคล้ายหลักกฎแรงดึงดูดของ the secret  และที่หลายคนบอกว่า  หากใครสมาธิดีๆ จะไม่อดอยากขาดแคลน  เพราะมักจะโชคดี ท่าจะจริงอะ

เราเองภาวนามาต่อเนื่องติดกันสองปีกว่า  เราเห็นจิตมันเกิดดับๆ เองรวดเร็วถี่ยิบ ทุกวันเลย   แต่ก็รุ้ตัวว่ามีกิเลสเยอะ  และยังคิดเรื่องกินเรื่องเที่ยว  เวลาไปอยู่วัดต่างๆ ก็อยุ่ได้ไม่เกินวัดละ 4-5 เดือนเท่านั้น  ต้องกลับมาอยุ่คอนโด กทม เพราะรุ้สึกว่าอิสระกว่า  ห้องหับกว้างกว่าอยุ่กุฏิ  แต่ทุกครั้งที่ต้องขอเงินพ่อ ก็เหมือนกับว่ามันรุ้สึกแย่ ละอายแก่ใจ และกลัวบาปที่ใช้เงินพ่อเสมอ  ทั้งๆ ที่พ่อยินดีให้  และพ่อไม่ได้ลำบากเรื่องเงินเลย

รบกวนช่วยแนะนำได้ไหมคะ  ขอบคุณทุกท่านมากๆ   เขียนมาเสียยาวเลย 555  คือแบบ   จริงๆ เราเริ่มคิดในใจว่าขอให้เราได้พบกับทางออกของคำถามนี้อย่างเคลียร์ๆ ดีๆ ว่าเราควรทำไงดี  หวังว่าจะได้พบทางออกให้กับเรื่องนี้ในเร็ววันนี้  thx u
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 36
อยู่บนทางนี้จะเกิดสภาวะหนึ่ง ที่รู้สึกได้ว่า ไม่ว่าเราจะคิดหรือจะทำอะไร เราจะมีความมั่นใจว่าสิ่งที่เราคิดและทำนั้นจะเกิดผลดีที่ดีที่สุดสำหรับเราเสมอ  ถึงแม้ว่าสิ่งที่เกิดกับเรานั้นคนอื่นอาจตัดสินหรือให้คุณค่าว่าเป็นสิ่งเลวร้าย แต่เราจะอยู่กับมันได้อย่างมีความสุขในแต่ละขณะและผ่านมันไป มันเป็นกำลังและความเชื่อมั่นที่เกิดขึ้นในการใช้ชีวิตของเรา ในช่วงขณะบางเวลาที่เราหลุดออกมาจากเส้นทางเพราะขาดสติ เราอาจเกิดความลังเลสงสัย แต่ขอเพียงแค่เรากลับไปอยู่บนเส้นทาง อยู่ในสภาวะ จะเกิด"การรู้" ที่ชี้แนะแนวทางให้เราได้ก้าวเดินไปในแต่ละก้าวของชีวิต การรู้ที่เกิดขึ้นนี้ จะเป็นการรู้ที่ไม่ใช่เกิดจากการคิด วิเคราะห์เพียงแค่จากส่วนของสมองเหมือนอย่างที่เรามักใช้โดยปกติทั่วไป  แต่จะเป็น "การรู้"ที่เกิดขึ้นอันเนื่องจากสภาวะที่เรามีกำลังของสติและสมาธิ

ในช่วงแรก เราอาจรู้แค่การก้าวเดินหนทางที่มีความใกล้กับเรา เหมือนกับไฟหน้ารถที่ส่องทางขณะเดินทางให้เห็นในช่วงใกล้ๆ แต่ถ้าเราปฏิบัติอยู่อย่างต่อเนื่อง ขอบเขตที่เรารู้จะขยายออกกว้างขึ้น เหมือนไฟหน้ารถที่มีกำลังไฟสูงขึ้นเห็นทางได้ไกลขึ้น ขอเพียงเราหมุดเป้าหมายไว้เด่นชัด แล้วเดินไปตาม หนทางชี้แนะที่เกิดจาก"การรู้"ที่เกิดขึ้นนั้น

ทั้งนี้ หมุดหมายในใจของเราอาจเปลี่ยนได้ในระหว่างทางที่เราก้าวเดิน ด้วยเพราะปัญญา ความรู้ ความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นจะไม่ใช่เพราะเกิดจากความลังเล สงสัยต่อสิ่งที่จะเกิดในอนาคต(ไม่อยู่กับปัจจุบัน)

ส่วนความรู้สึกที่ ไม่ชอบ ไม่อิสระ อยู่ไม่ได้นาน ต้องกลับมาอยู่คอนโด ความรู้สึกที่ละอายใจ ที่ต้องรับเงินจากพ่อ ก็อยากให้ลองปรึกษากับครูอาจารย์ของเจ้าของกระทู้ดู ท่านน่าจะมีคำแนะนำให้ ผมเองคงไม่ไปชี้ชัดอะไร เพราะคงไม่รู้ดีไปกว่าตัวของเจ้าของกระทู้เอง แต่ก็อยากขอแบ่งปันว่า ในส่วนตัวผม ทุกครั้งที่ผมเผลอ(ขาดสติ)จนไหลไปมีความรู้สึกขึ้นไม่ว่าจะเป็นทางด้านบวกหรือลบ เมื่อรู้สึกตัว ก็จะใช้สติเข้าไปจับและมองสภาวะ ณ ขณะนั้น จะเห็นว่าความรู้สึกที่ปรุงแต่งเกิดขึ้นจะหยุดและถูกตัดลงในทันที จากนั้นจะมองต่อว่า ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันเป็นยังไง เห็นลึกลงไปให้เห็นเหตุปัจจัยที่เกิด อย่างเช่น ความรู้สึกละอายที่เกิดขึ้นกับตัวเจ้าของกระทู้ มองให้เห็นให้หมดก่อนว่าความรู้สึกนี้ ทั้งหมดมันเป็นยังไง แบบไหน สัมผัสกับมัน จากนั้นมองลงไปต่ออีกว่า เกิดจากอะไร เป็นไปได้ไหมว่า  เป็นเพราะ ตัวเราไม่ได้เห็นคุณค่าของการปฏิบัติจริงๆว่าเกิดผลดีต่อตัวเรา ครอบครัวโดยเฉพาะผลดีกับพ่อของคุณซึ่งคุณไปรับเงินท่านมา เป็นไปได้ไหมว่า จิตของคุณกำลังไหลไปยึด"ให้คุณค่า"กับ"เงิน"ที่คุณได้รับจากพ่อของคุณ"มากกว่า"สิ่งที่คุณทำและปฏิบัติ"ให้กับท่าน ถ้าเป็นแบบนั้นมองต่อให้เห็นว่า ทำไม เราถึงให้คุณค่ากับเงินมากแบบนั้น และให้คุณค่ากับสิ่งที่เราทำและปฏิบัติน้อยแบบนั้น เห็นให้กว้างและลึกลงไป เราให้คุณค่ากับเงิน เพราะเงินสามารถให้อำนาจในการซื้อสิ่งที่จะมาอำนวยให้เราเกิดความรู้สึก"สะดวกสบาย"ใช่ไหม  เมื่อเราเผลอไม่มีสติ จิตเรามักวิ่งไหลไปยึด อยากและเสพ"ความรู้สึกสะดวกสบาย"ที่เงินเป็นปัจจัยอำนวยให้นั้น ซ้ำแล้วซ้ำอีก ตามร่องทางเดิม เราถึงได้ให้คุณค่ากับเงินมาก และดูให้เห็นว่าจิตเรามักไหลไปในทางร่องนี้ได้ง่ายเมื่อมีการกระทบกับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ภายนอกแบบไหนหรือเกิดจากธรรมารมณ์ที่เกิดภายในใจเราแบบไหน เมื่อเห็นรับรู้สิ่งที่จิตมักเข้าไปยึดเกาะกุมแล้ว จิตก็จะเกิดการปล่อยจากการยึดนั้น(ถ้าไม่เห็น ว่ากำลังยึด"อะไร" แล้วจะปล่อย"อะไร"ได้อย่างไร) หลังจากนั้นถ้าเผลอไหลเข้าร่องเดิมอีก ก็ฝึกใช้สติเข้าตัด ซึ่งจังหวะที่ดีที่สุด คือ ณ จังหวะกระทบก่อนที่จิตจะไหลไปให้"คุณค่า" แต่ถ้าไม่ได้ตัดไม่ทัน ณ จังหวะนี้ แต่ไปรู้ตัว ตัดได้หลังจากนั้นก็ไม่เป็นไร ไม่ปรุงแต่งต่อ(เกิดทางเลือกใหม่ที่จะไม่ไหลเข้าร่องเดิม เหมือนตอนที่ขาดสติ)

ส่วนสิ่งที่เราปฏิบัติและเราให้คุณค่ามันน้อยกว่าเงิน อาจเป็นเพราะ
1. เรามองเห็นถึงผลทีเกิดจากสิ่งที่เราทำได้ไม่ครบตามที่เป็นจริง  เราก็แก้โดยมองให้เห็นว่า สิ่งที่เราปฏิบัตินี้ เกิดประโยชน์อย่างไรกับตัวของเรา ครอบครัวของเรา โดยเฉพาะกับพ่อของเรา ที่เรารับเงินจากท่าน  คุณพ่อท่าน มีใจต้องการทำสิ่งเหล่านี้ แต่ด้วยเหตุปัจจัยของตัวท่านยังไม่เอื้อที่จะให้ท่านได้ทำด้วยตัวของเราเอง บรรดาลูกทั้งหมดในตอนนี้ มีแต่คุณเท่านั้นที่สามารถทำสิ่งเหล่านี้แทนท่านได้อย่างเต็มที่ คุณก็เหมือนเป็นตัวแทนให้กับท่าน และคุณก็ทำได้ดี ทุกครั้งที่คุณทำ พ่อของคุณก็อนุโมทนาต่อสิ่งที่คุณทำไปด้วย สภาวะจิตของท่านก็จะได้รับผลนี้ไปพร้อมๆกับคุณ ซึ่งจะนำไปสู่ชีวิตที่ดีเป็นกุศลมากยิ่งๆขึ้นไปของท่านทั้งในชีวิตนี้และชีวิตต่อๆไป  ซึ่งสิ่งที่คุณกำลังทำนี้ ต่อให้มีเงินเป็นหมื่นล้านแสนล้านก็ไม่สามารถที่จะซื้อสิ่งนี้ให้กับพ่อของคุณได้
2.เรารู้สึกว่าเรายังทำสิ่งนี้ได้ไม่ดีพอ ยังไม่ได้ตั้งใจที่จะทำมากพอ ยังทำได้ไม่เต็มที่ ตามที่เราคาดหวังและเราสามารถทำได้ดีกว่านี้ (หรือเราคิดว่าพ่อของเราคาดหวังมากกว่านี้แล้วเราทำไม่ได้ตามที่พ่อคาดหวัง) ซึ่งเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากการให้คุณค่ากับเงินมากกว่าดังข้างบน แต่ถ้าเหตุเกิดจากปัจจัยอื่นด้วย ก็ใช้กำลังสติมองให้เห็นแล้วแก้

ทั้งนี้ ทั้งนั้น ทั้งหมดนี่คือการยกตัวอย่าง เหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นที่ส่งผลให้เกิดสภาวะกับตัวเจ้าของกระทู้ ณ ขณะนี้ อาจไม่ได้เป็นเช่นเดียวกับสิ่งที่ผมพิมพ์มานี้ก็ได้ ส่วนความจริงเป็นอย่างไร และจะต้องทำอย่างไรก็คงมีแต่ตัวเจ้าของกระทู้เองเท่านั้น

ก็อยากบอกและเป็นกำลังใจกับคุณเจ้าของกระทู้ว่า ก้าวเดินไปตามที่"ตัวรู้"ภายในคุณบอกเถอะครับ มันไม่เป็นไรเลย ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับคุณ สิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคุณ และทุกคนรอบตัวของคุณ(เราสามารถรู้และเข้าใจสิ่งนี้ได้ด้วยปัญญา ที่ได้จากการปฏิบัติของเรา) และทุกครั้งที่คุณรู้สึกเบื่อ เซ็ง คุณก็แค่หมั่นพาใจของคุณกลับมาอยู่ ณ ปัจจุบัน จะอยู่กับอะไรก็ได้ จะสัมผัสกับลมหายใจเข้าออกในแต่ละขณะของคุณ สัมผัสกับความรู้สึก กับความคิด กับการดำรงอยู่ กับร่างกายของคุณ  สัมผัสกับทุกสิ่งรอบข้างที่กระทบสัมผัสคุณ ไม่ว่า จะเป็น เสียง มวลสัมผัส อากาศ รูป รส สัมผัสด้วยความตื่นรู้ ด้วยการอยู่กับปัจจุบัน  คุณจะพบกับความสุขที่สงบ ละเอียด ประณีต อ่อนโยนและสวยงามในทุกๆสิ่ง แล้วคุณจะพบว่าความสุขที่ได้จากการที่มีเราเป็นผู้เสพและทำการ"เสพ"สิ่งที่ถูกเสพ อย่างเช่น วัตถุหรือสิ่งภายนอกอื่นๆโดยที่ไม่มีสติกำกับอยู่  ความสุขที่เกิดจากการเสพแบบนี้มันทั้งร้อนและหยาบ แล้วคุณจะเบื่อและเซ็งกับมันไปเลยอมยิ้ม04
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่