[CR] REVIEW : Skincare Routine (2015) 8 ขั้นตอนดูแลผิวหน้าให้ใสกิ๊กในวัย 28

สวัสดีค่ะ! วันนี้หนอนจะมาแชร์สกินแคร์ที่ใช้ประจำทุกวันนะคะ
บอกไว้ก่อนว่าหนอนไม่ใช่บิวตี้กูรู อาศัยอ่านจากรีวิวในอินเตอร์เน็ต
แล้วก็ไปหามาลองใช้เอง โดยจะดูจากคนที่มีสภาพผิวใกล้เคียงกัน
วันนี้ก็ได้ฤกษ์งามยามดี เลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช้เป็นประจำมา 8 ตัว ที่หนอนรู้สึกว่าใช้แล้วได้ผลจริง
ยังไงก็หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นอีกทางเลือกนึงที่จะช่วยสาวๆในการเลือกสกินแคร์กันนะคะ


อายุ 28 ปี ผิวผสม มีสิวเสี้ยน รูขุมขนกว้าง แพ้ง่าย



1. Kose Softymo Deep Cleansing Oil ปริมาณ 230 มล. / ราคา 320 บาท

คะแนน : 10/10 (ถูกและดี)
ออยล์สำหรับล้างเครื่องสำอางยี่ห้อนี้ทำออกมาหลายสูตร คอนเฟิร์มว่าสูตร Deep เด็ดดวงสุด นวดตามแนวรูขุมขนตอนหน้าแห้ง ระวังอย่านวดย้อนรูขุมขนนะคะ...เดี๋ยวเจอสิวอุดตันแถมริ้วรอยอีก สักพักเอาน้ำแตะนวดต่อกลายเป็นน้ำนมแล้วค่อยล้างออก อยากจะบอกว่าเวลาล้างออก...ตาไม่เป็นฝ้ามัวด้วยนะจ๊ะ (ใครที่เคยใช้ออยล์จะเข้าใจ) ส่วนตัวชอบใช้ cleansing oil มากกว่า cleansing water เพราะอยากจะลดปริมาณการใช้สำลีกับผิวหน้าลง นอกจากจะประหยัดแล้วยังถนอมผิวไปได้เยอะเลย อีกประการนึงคือ การใช้ cleansing oil สามารถทำความสะอาดผิวได้อย่างล้ำลึกโดยยังคงความชุ่มชื้นให้กับผิวอยู่ ในขณะเดียวกันก็ถือเป็นการนวดหน้าไปในตัว ส่วน cleansing water จะใช้ย้ำในวันที่แต่งตาเยอะหรือในวันที่ไม่ค่อยมีเวลาแทน และจะใช้คู่กับสำลีที่ใช้สำหรับเช็ดผิวหน้าโดยเฉพาะ ตอนนี้ใช้ watsons side sealed facial puffs อยู่ค่ะ  ผิวสัมผัสนุ่มและไม่ยุ่ย จัดโปรโมชั่นบ่อยด้วยนะเออ

2. SANA Nameraka Honpo Cleansing Foam ปริมาณ 150 กรัม / ราคา 700 เยน

คะแนน : 10/10 (ซื้อซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกว่าจะพบของใหม่ที่ใช่กว่า)
เลิฟมาก! ใช้หมดไปหลายหลอดแล้ว แต่เว้นช่วงบ้างตามสมควร โฟมล้างหน้าจะไม่ได้เน้นเรื่องริ้วรอยหรือขาวกระจ่างใสสักเท่าไหร่ ขอแค่ล้างหน้าสะอาดแล้วก็ไม่แพ้ก็พอ ตัวนี้เหมาะเลยเพราะไม่ผสมน้ำหอม เป็นกลิ่นเต้าหู้อ่อนๆ และยังมีสารสกัดจากถั่วเหลืองที่ช่วยในเรื่องของการฟื้นฟูผิวด้วย ใช้แล้วหน้าสะอาดนุ่มชุ่มชื้นกำลังดีเลย ส่วนใครจะใช้ตาข่ายตีเป็นวิปโฟมเพิ่มความฟินกันก็ได้ตามอัธยาศัยเลยจ้า

3. Biotherm Life Plankton Essence ปริมาณ 125 มล. / ราคา 2,500 บาท

คะแนน : 9/10 (หักคะแนนตรงที่ซึมเข้าผิวช้าไปหน่อย)
นางเอกของชั้น! ยอมรับว่าซื้อมาใช้เพราะทนกระแสไม่ไหวจริงๆ สิ่งที่สัมผัสได้เองหลังจากใช้ไปประมาณ 1 สัปดาห์ คือ ผิวละเอียดขึ้นอย่างชัดเจน ผิวหน้าบริเวณมุมปากที่เคยแห้งลอกเป็นขุยกลับชุ่มชื้น ลงรองพื้นง่ายและไม่เป็นคราบ อีกประสบการณ์นึง คือ หลังกลับจากดำน้ำ เวลาผิวหน้าเจอน้ำเค็มแล้วจะแสบๆคันๆ มีผดแพ้เป็นจุดแดงๆบริเวณหน้าแก้ม ซึ่งปกติแล้วจะใช้เวลาเกือบอาทิตย์นึงถึงจะหายเอง คราวนี้เจออิทธิฤทธิ์แพลงตอนเข้าไป เช้าวันแรกรอยแดงเบาลง ไม่รู้สึกคันยุบยิบแล้ว เช้าวันที่สองหายเลยจ้า อเมซิ่งงง! ด้วยความตื่นเต้น...รีบเปิดดูในเน็ต ผลิตภัณฑ์เค้าเคลมไว้ว่าช่วยให้ผิวเปล่งปลั่ง เรียบเนียน ลดเลือนริ้วรอย ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ และรักษาชุ่มชื้นใต้ผิว นอกจากนี้ยังช่วยลดการอักเสบของผิวที่เกิดจากการแพ้อีกด้วย ผลลัพธ์ที่ได้เหมือนกับที่แบรนด์เคลมไว้จนน่าตกใจ ราคาอาจจะสูงหน่อยแต่รับรองว่าคุ้มแน่นอนจ้า

4. Sulwhasoo First Care Activating Serum ปริมาณ 60 มล. / ราคา 2,500 บาท

คะแนน : 9/10 (ปลื้มพอพอกับตัวบนเลยแต่ผลลัพธ์ยังไม่เท่า)
ตัวนี้ใช้เป็นตัวแรกในขั้นตอนการบำรุงเลยค่ะ ส่วนผสมหลักจะเป็นโสมและตามมาด้วยสมุนไพรนานาชนิดที่มีสารสกัดอันเป็นประโยชน์ต่อผิว (รายละเอียดลองหาอ่านในเน็ตกันดูนะคะ...มีคนรีวิวไว้เยอะเลย) วันนี้จะมาพูดถึงประสบการณ์จากการใช้ อย่างแรกคือเนื้อเซรั่มค่อนข้างซึมเร็ว รู้สึกสบายผิวเวลาใช้บำรุงก่อนนอน และไม่ทำให้หน้าเยิ้มในตอนกลางวัน สามารถใช้ได้ทั้งเช้าและเย็น สาวผิวมันจะต้องรัก แต่ด้วยความที่เป็น pre-serum พอเซรั่มซึมเข้าผิวจะรู้สึกว่าผิวตึง แล้วค่อยบำรุงต่อด้วยตัวอื่นๆอีก ผลลัพธ์หลังการใช้คือ รอยแดงลดลง ผิวแข็งแรงขึ้น เนียนละเอียดขึ้นอย่างชัดเจน เลิฟเลย! แต่อาจจะไม่ถูกใจสำหรับคนที่ไม่ชอบกลิ่นโสม เพราะกลิ่นค่อนข้างชัด แต่เราชอบ! ส่วนตัวจะเลือกใช้ 'Sulwhasoo First Care Activating Serum'  ในตอนเช้า ส่วน 'Biotherm Life Plankton Essence'  ใช้ก่อนนอน แต่ถ้าช่วงไหนโทรม พักผ่อนน้อยก็ประโคมเข้าไปเลยทั้ง 2 ตัวค่ะ

5. Innisfree Green Tea Seed Serum ปริมาณ 80 มล. / ราคา 22,000 วอน

คะแนน : 8/10 (ผลลัพธ์ผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับน่าพอใจ)
เป็นเครื่องสำอางออร์แกนิคยี่ห้อโปรดเลยก็ว่าได้ มีไลน์ผลิตภัณฑ์ให้เลือกเยอะดี ซึ่งทางแบรนด์เคลมว่าผลิตภัณฑ์ของเค้าปลอดภัยเพราะใช้สารสกัดจากพืชธรรมชาติปลอดสารพิษที่ปลูกอยู่บนเกาะเจจูโน่นแน่ะ! แค่ได้ยินว่าปลอดสารพิษก็น่าสนใจแล้ว ตัวที่ใช้อยู่จะเป็นเซรั่มผสมสารสกัดจากเมล็ดชาเขียว ช่วยเรื่องความชุ่มชื้น แน่นกระชับ และลดริ้วรอย ซึ่งจะใช้ต่อจาก Biotherm Life Plankton Essence กดสัก 2 ปั๊ม (กลางวันใช้แค่ 1 ปั๊ม) วอร์มบนฝ่ามือ ก่อนจะตบลงบนผิวแนะนำให้สูดกลิ่นนางก่อน กลิ่นหอมอ่อนๆจากธรรมชาติช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายก่อนนอน ปกติจะไม่ชอบดมอะไรพร่ำเพรื่อเพราะกลัวไมเกรนกำเริบ แต่กลิ่นสดชื่นแบบนี้...ผ่านค่ะ! ถ้าสังเกตแล้วจะเห็นว่าคุณสมบัติจะคล้ายกับ Biotherm Life Plankton Essence เลย ถามว่าใช้ตัวใดตัวนึงได้ไหม? คำตอบคือได้...แต่ประสิทธิภาพในการซึมซาบสู่ผิวจะลดลง เนื่องจาก Biotherm Life Plankton Essence จะเป็นเหมือน First Essence ที่ใช้บำรุงเป็นขั้นตอนแรก เพื่อช่วยเตรียมผิวให้พร้อมสำหรับการบำรุงขั้นตอนต่อไป ต่อจากนั้นควรบำรุงตามด้วยครีมหรือเซรั่มเข้มข้นเพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นด้วยนะคะ

6. Innisfree Olive Real Essential Rich Oil  ปริมาณ 30 มล. / ราคา 27,000 วอน

คะแนน : 10/10 (ตั้งแต่ใช้ออยล์มาก็ชอบตัวนี้ที่สุด)
เนื่องจากว่าสภาพผิวเป็นแบบผิวผสม ช่วง T โซนจะมัน (แต่ไม่มาก) ส่วนบริเวณ U โซนจะค่อนข้างแห้ง จึงจำเป็นต้องมีตัวช่วย และคงจะหนีไม่พ้นสกินแคร์ประเภทออยล์ ที่ผ่านมาก็ใช้อยู่หลายตัว ไม่ได้ซีเรียสว่าต้องแบรนด์ไหนเป็นพิเศษ แต่มาตกหลุมรักของ Innisfree เพราะกลิ่น (อีกแล้ว) หอมแบบสดชื่นราวกับอยู่ในสปา และที่สำคัญถือว่าเป็นออยล์ที่ซึมผิวค่อนข้างเร็ว ไม่เหนี่ยวเหนอะหนะจนเกินไป (ควรใช้ในปริมาณที่พอดี) วิธีใช้ก็ทำแบบเดียวกับ Innisfree Green Tea Seed Serum วอร์มบนฝ่ามือแล้วก็สูดกลิ่น ก่อนจะใช้ฝ่ามือค่อยๆกดจนซึมลงผิว คาดว่าจะใช้ต่อไปแต่อาจจะเปลี่ยนไปลอง Innisfree Green Tea Seed Oil บ้าง หลังจากที่ใช้ติดต่อกันนานประมาณ 2 สัปดาห์ รู้สึกได้ว่าผิวชุ่มชื่นยาวนานขึ้น รองพื้นติดหน้าดี๊ดี

7. Kanebo ALLIE UV Protector Gel (Mineral Moist) ปริมาณ 60 กรัม / ราคา 1,150 บาท

คะแนน : 9/10 (หักคะแนนตรงกลิ่นแอลกอฮอล์แอบแรง)
ครีมกันแดดตัวนี้จะคล้ายกับ Shiseido Anessa Perfect Essence Sunscreen ในราคาที่ถูกกว่า (นิดหน่อย) เวลาทาหน้าจะผ่องขึ้น ช่วยปกปิดรอยแดงได้เล็กน้อย ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอมหรือสารบำรุงอะไรมากมาย แต่จะเน้นให้ความชุ่มชื้น ผิวจะดูฉ่ำเงาแต่ไม่มันเยิ้มระหว่างวัน เพราะมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ค่อนข้างเยอะ ซึ่งบางคนอาจจะไม่ปลื้มกลิ่น หากเทียบกับ Shiseido Anessa Perfect Essence Sunscreen กลิ่นแอลกอฮอล์จะเบาบางกว่า แต่ทาแล้วหน้าผ่องกว่า สำหรับใครที่ผิวหน้าไม่ค่อยมีปัญหาอะไร...อยากจะใช้แทนเบสก็ได้อยู่นะคะ อีกอย่างเวลาจะไปไหนไม่ต้องพกครีมกันแดดเยอะแยะ เพราะใช้ได้ทั้งหน้าและตัวเลยจ้า

8. ETUDE HOUSE Dust Cut Finish Cream ปริมาณ 65 กรัม / ราคา 1,055 บาท

คะแนน : 10/10 (จากสิ่งที่คิดว่าไม่จำเป็น...ตอนนี้กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้)
ลงเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการบำรุง ผลิตภัณฑ์ตัวนี้มีหน้าที่ปกป้องผิวของเราจากฝุ่นละอองและสารเคมีจากเครื่องสำอาง เมื่อก่อนไม่เคยคิดเลยว่าขั้นตอนนี้จะจำเป็นกับชีวิต แต่พอได้ลองใช้ก็ติดใจเพราะนอกจากจะช่วยปกป้องผิวแล้ว ยังทำให้การลงเบสและรองพื้นง่ายขึ้น เรียบเนียนขึ้นในกรณีที่ถนัดใช้นิ้วเกลียรองพื้น แถมตอนล้างออกก็ง่ายกว่าเดิมด้วย ไม่ต้องถูไถใช้ความรุนแรงใดใด นอกจากนี้ยังสามารถใช้ทาเคลือบผิวหลังการบำรุงก่อนนอน เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวหน้าสัมผัสกับไรและฝุ่นบนหมอนโดยตรงด้วย โอ้โห! ช่วยถนอมผิวหน้าของเราได้หลายทางเลยนะคะ

สภาพผิวหน้าหลังล้างหน้าด้วยโฟมเต้าหู้ในตอนเช้า



สรุป
เลือกผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับสภาพผิว
เลือกใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ ลดปัญหาสารเคมีตกค้างบนผิวหน้า
การทำความสะอาดผิวอย่างถูกวิธี ป้องกันสิวอุดตันและริ้วรอย
ลดประมาณการใช้สำลีกับผิวหน้า ใช้เท่าที่จำเป็น
ห้าม 'ขี้เกียจ' ขั้นตอนอาจจะดูยุ่งยาก หากทำเป็นประจำก็จะชินเองเนอะ
หมายเหตุ : ราคาระบุตามเคาน์เตอร์ในไทย อันไหนไม่ทราบขออนุญาติระบุเป็นค่าเงิน วอน/เยน แทนนะคะ (ผิดพลาดประการใดบอกด้วยน้า)

เครดิต : http://www.facebook.com/joobu.blog
ชื่อสินค้า:   Kose Softymo Deep Cleansing Oil, SANA Nameraka Honpo Cleansing Foam, Biotherm Life Plankton Essence, Sulwhasoo First Care Activating Serum, Innisfree Green Tea Seed Serum, Innisfree Olive Real Essential Rich Oil, Kanebo ALLIE UV Protector Gel (Mineral Moist), ETUDE HOUSE Dust Cut Finish Cream
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่