เรื่องเล่าจากพม่าตอนใต้: ตอนที่ 1 ทวาย

กระทู้สนทนา
สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาว Pantip  หลังจากที่เดินทางอยู่ในทวายและพม่าตอนใต้มาได้เกือบสองปี วันนี้ผมมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่นี้มาฝากเพื่อนๆ ครับ แต่เล่าวันเดียวคงไม่หมด ผมขอทยอยนำมาเล่าวันละนิดวันละหน่อยตามแต่เวลาอำนวยแล้วกันนะครับ หากเพื่อนๆ ต้องการสอบถามการเดินทางไปเที่ยวพม่าตอนใต้ (ทวาย มะริด ตะนาวศรี) ก็สอบถามกันมาหลังไมค์ได้เลยครับ ผมจะพยายามเข้ามาตอบทุกคำถามอย่างแน่นอน และระหว่างที่อ่านเรื่องเล่าจากพม่าตอนใต้นี้ผมแนะนำให้เปิดวิดีโอทวาย 2015 ไปด้วยครับ เพื่อให้ได้อรรถรสในการเดินทางมากยิ่งขึ้น...

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


ทวาย...ในวันที่กำลังเปลี่ยนไป



     ผมชอบประโยคหนึ่งของ มาร์ค ทเวน นักเขียนชื่อดังชาวอเมริกัน ที่กล่าวว่า “ยี่สิบปีหลังจากนี้ คุณจะผิดหวังกับสิงที่ไม่ได้ทำมากกว่าสิ่งที่ได้ทำลงไป เพราะฉะนั้นถอนสมอและเดินเรือออกจากน่านน้ำที่ปลอดภัย ปล่อยใจไปตามลมที่พัดพา จงสำรวจ จงฝัน จงค้นพบ” หลังจากเบื่อหน่ายกับความจำเจของงานออฟฟิต ผมก็ตัดสินใจลาออกจากงานประจำแล้วออกเดินทางสู่พม่าตอนใต้ในช่วงปลายปี 2556 พร้อมความฝันที่อยากค้นพบแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ ณ ดินแดนแห่งนี้...


     ฤดูหนาวปีนั้น ข่าวคราวเกี่ยวกับโครงการท่าเรือน้ำลึกทวายกำลังเป็นที่โจษจันในสังคมไทยพร้อมกับความระอุของการเมืองไทย แต่ผมไม่ได้สนใจทวายในแง่ของการลงทุนมากนัก เพียงแต่อยากไปทำความรู้จักกับเมืองเก่าแก่แห่งนี้ ผมรู้จักทวายผ่านหน้าหนังสือประวัติศาสตร์, มะริด ทวาย ตะนาวศรี สามเมืองเก่าแก่ของคนไทยในอดีต นั่นคือสิ่งที่ผมจำได้ในสมัยเรียน และคงเป็นเพราะตัวเองชอบวิชาประวัติศาสตร์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงอยากไปทำความรู้จักสามเมืองนี้ให้มากขึ้น นั่นล่ะ...คือจุดเริ่มต้นของการออกสำรวจในครั้งนั้น แล้วมันก็นำมาซึ่งการค้นพบและทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไป...

ถนน ‘หัวสั่นหัวคลอน’



มีคนบอกว่า ‘ความสุขของการเดินทางเกิดขึ้นระหว่างทางที่ไป ไม่ใช่จุดหมายปลายทาง’ ผมรู้สึกตื่นเต้นและมีความสุขเมื่อเริ่มต้นออกเดินทาง ภาพของเด็กหนุ่มสะพายเป้ใบเขื่องที่ยืนเซ่อซ่าอยู่หน้าด่านบ้านพุน้ำร้อน*ในเช้าแห่งอากาศบาดเยือกของวันนั้นลอยเข้ามาในลิ้นชักความทรงจำของผมเสมอเมื่อนึกถึงวันแรกที่เดินทางสู่พม่าตอนใต้ การออกเดินทางในวันนั้น ผมมีเพื่อนอีกสองสามคนร่วมเดินทางไปด้วย หลังจากผ่านพิธีตรวจลงตรา พวกเราก็ขึ้นรถ Super Custom ยี่ห้อ Toyota ของฝั่งพม่าทันที จากนั้นพนักงานขับรถซึ่งเป็นเด็กหนุ่มวัยยี่สิบต้นๆ ก็ตะบึงรถมุ่งหน้าสู่ทวายอย่างฉับไว และเมื่อก้าวเข้าสู่เขตพม่าตอนใต้ ผมรู้สึกเหมือนได้นั่งยานไทม์มะชินของโดราเอมอนทะลุทะลวงเส้นบิดงอของอวกาศสู่อดีตของเมืองไทยอีกครั้ง...ผมเรียกมันว่า ‘อดีตของเมืองไทย’ เพราะผมสัมผัสได้ว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมเคยเห็นในสมัยเด็กหรือเคยได้ยินผู้หลักผู้ใหญ่เล่าให้ฟังเกี่ยวกับเมืองไทยในอดีตเมื่อหลายสิบปีก่อนโน้น ภาพในความทรงจำและจินตภาพจากเรื่องเล่าก็ไหลย้อนกลับมาอีกครั้ง...รถเราวิ่งไปบนถนนลูกรังที่ทางบริษัท อิตาเลียน – ไทย ได้สร้างไว้ ถนนเส้นนั้นทำให้เรารู้สึกกระปรี่กระเปร่า ไม่มีอาการง่วงหงาวหาวนอน เลยซักนิด มันโยกเยกไปมาแก้ง่วงอย่างดี พวกเราจึงเรียกว่า ‘ถนนหัวสั่นหัวคลอน’ ถนนเส้นนี้วิ่งทะลุทะลวงไปตามเทือกเขาตะนาวศรี ผ่านชุมชนหมู่บ้านชาวกะเหรี่ยง และลัดเลาะไปกับแม่น้ำตะนาวศรีหรือที่คนในพื้นที่เรียกว่า ‘แม่น้ำตะหนิ่นตาหยี่’ มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับคำว่า ‘ตะนาวศรี’ จากเพื่อนคนหนึ่ง คำว่าตะนาวศรีนั้นมาจากคำว่า ‘มะนาวสี่’ เล่ากันว่ามีกระทาชายคนหนึ่งได้ปลูกต้นมะนาวไว้ในหมู่บ้าน แต่มะนาวต้นนั้นกลับออกลูกมาแค่สี่ลูก คนที่ผ่านไปมาจึงเรียกหมู่บ้านนี้ว่า ‘หมู่บ้านมะนาวสี่’ และต่อมาก็แผลงเป็น ‘ตะนาวศรี’ ฟังแล้วก็ขำดีเพราะเรื่องเล่าทำนองนี้ผมเคยอ่านเจออยู่หลายคำที่ต่อมาเรียกเพื้ยนกันไป ระหว่างที่รถวิ่งไปบนถนหัวสั่นหัวคลอนนั้น เราพบเห็นชาวบ้านกำลังร่อนทองกันอยู่ในแม่น้ำตะนาวศรี รถของเราจอดบนไหล่ถนนที่หมิ่นเหม่จะตกลงสู่แม่น้ำด้านล่าง แต่เพราะต้องการเก็บความประทับใจระหว่างการเดินทาง จึงต้องสั่งโชเฟอร์หนุ่มจอดตรงนั้นแล้วพากันลงไปเก็บภาพความทรงจำนั้นไว้ โชเฟอร์ผมหยิกหยอกหยอยบอกว่าการร่อนทองในแม่น้ำตะนาวศรีนั้นมีค่าสัมปทานเดือนละ 7,000 บาท โดยต้องจ่ายให้กับกะเหรี่ยง KNU เจ้าของพื้นที่ดังกล่าว แล้วเล่าต่อว่าบางครั้งชาวบ้านหาทองได้เป็นกิโลหรืออย่างน้อยก็ 2-3 บาททุกวัน ได้ฟังดังนั้นพวกเราก็เอ่ยแซวกันว่าค้นพบอาชีพใหม่แล้ว เดี๋ยวจะพากันมาร่อนทองสักเดือน...


*ด่านบ้านพุน้ำร้อนตั้งอยู่ที่ ต.บ้านเก่า อ.เมือง จ. กาญจนบุรี

ตอนที่ 1 ยังไม่จบนะครับ เดี๋ยวผมกลับมาเล่าต่อ...
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่