พระอาจารย์เทสก์ เทสรังสี
วัดหินหมากเป้ง
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
...
"ปัญญาคุณ" ก็ได้แก่ ความรู้ความฉลาด สามารถ
ที่จะขจัดปัดเป่าความชั่วที่มีอยู่ในตัวเราให้หายไปจนหมด
กิเลสมีมากน้อยเท่าใด ตามไปรู้ไปเห็นหมด ไม่หลงผิดอย่างพวกเรา
พวกเราถ้าโกรธเขาแล้วอยากจะแก้แค้นเขา เข้าใจว่าเป็นคนดี
ถ้าโกรธใครล่ะ เห็นของใครอยากได้ของเขามาเป็นของตัว
เข้าใจว่าตนฉลาดเฉียบแหลม จนหาเล่ห์เหลี่ยมเอาด้วยประการต่างๆ
หาลักหาฉ้อหาโกงหาขโมย หาปล้นหาชิง
หรือหาฟ้องร้องเอาด้วยประการต่างๆ ถ้าได้ชัยชนะเขา
เอามาเป็นของของตัวแล้วเข้าใจว่าเป็นคนฉลาด
เฉียบแหลมมีปัญญาดีอย่างนั้นอย่างนี้ มันไปอย่างนั้น
ส่วนพระพุทธเจ้าท่านไม่เป็นอย่างนั้น ปัญญาของพระองค์ไม่เป็นอย่างนั้น
.."รู้แล้ว..ละถอน" อาการที่อยากได้..ลองคิดดูก็แล้วกัน
ถ้าผู้ภาวนาเป็นนี่ค่อยจะรู้เรื่อง อย่างว่าปกติธรรมดาเนี่ย
เราทำความสงบเฉยๆจิตของเรา เฉยๆไม่ได้คิดนึกอยากได้โน่นอยากได้นี่
พอเห็นอะไรขึ้นมาแว่บนึงปรากฏ เช่น เห็นตองเนื้อเอาปลามาอย่างงี้
หรือเห็นเขาเอาสิ่งเอาของมาขาย พอจิตแว่บขึ้นมา...อยากได้
ถอนน่ะถอนจากความสงบแล้ว พระพุทธเจ้าพระองค์เห็นว่า นั่นเป็นภัย
นั่นเป็นตัวกิเลส คือ ความอยากได้น่ะมันทำให้ใจฟุ้งออกไป
ท่านเห็นเป็นตัวกิเลสซ้ำเลย แต่ท่านจะกล้าหรือ
ท่านจะกล้าไปทำลายจิตใจสงบความสุขของท่านหรือ
อันพวกเราไม่เห็นเป็นความสุข เห็นอาการที่ไปจดจ่ออาการสิ่งต่างๆ
วุ่นวายภายนอกเข้าใจว่าเป็นของดิบของดี นี่พระองค์เห็นเป็นภัยเป็นอันตราย
เห็นเป็นข้าศึกใหญ่โต เห็นเป็นความชั่วอย่างที่น่าเกลียดที่สุด
นี่ที่พระองค์ท่านเห็น ท่านเห็นอย่างนี้ ปัญญาท่าน ท่านเห็นอย่างนี้
คราวนี้อย่างตาเห็นรูป พอเห็นวั่บเข้าไป เห็นรูปอะไรก็ตามเถอะ
รูปผู้รูปคน รูปหญิงรูปชาย รูปสวยรูปไม่สวยอะไรก็ตาม
พอแว่บเข้ามามันเกิดความรักความใคร่ความชอบอกชอบใจ
เห็นเป็นการเดือดภาวะในใจ เห็นเป็นไฟกองใหญ่พุ่งขึ้นมา
พระองค์จะต้องชำระสะสาง จะต้องกำจัดปัดเป่าให้หมดไป
อันปัญญานี้เรียกว่า ปัญญาอันวิเศษ จนระงับดับกิเลสได้
ฆ่ากิเลสให้หมด นี่ปัญญาของพระองค์ ที่ว่าเป็นผู้มีปัญญา
พระปัญญาคุณของพระพุทธเจ้า คือ ปัญญาฆ่ากิเลส : หลวงปู่เทสก์
พระอาจารย์เทสก์ เทสรังสี
วัดหินหมากเป้ง
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
...
"ปัญญาคุณ" ก็ได้แก่ ความรู้ความฉลาด สามารถ
ที่จะขจัดปัดเป่าความชั่วที่มีอยู่ในตัวเราให้หายไปจนหมด
กิเลสมีมากน้อยเท่าใด ตามไปรู้ไปเห็นหมด ไม่หลงผิดอย่างพวกเรา
พวกเราถ้าโกรธเขาแล้วอยากจะแก้แค้นเขา เข้าใจว่าเป็นคนดี
ถ้าโกรธใครล่ะ เห็นของใครอยากได้ของเขามาเป็นของตัว
เข้าใจว่าตนฉลาดเฉียบแหลม จนหาเล่ห์เหลี่ยมเอาด้วยประการต่างๆ
หาลักหาฉ้อหาโกงหาขโมย หาปล้นหาชิง
หรือหาฟ้องร้องเอาด้วยประการต่างๆ ถ้าได้ชัยชนะเขา
เอามาเป็นของของตัวแล้วเข้าใจว่าเป็นคนฉลาด
เฉียบแหลมมีปัญญาดีอย่างนั้นอย่างนี้ มันไปอย่างนั้น
ส่วนพระพุทธเจ้าท่านไม่เป็นอย่างนั้น ปัญญาของพระองค์ไม่เป็นอย่างนั้น
.."รู้แล้ว..ละถอน" อาการที่อยากได้..ลองคิดดูก็แล้วกัน
ถ้าผู้ภาวนาเป็นนี่ค่อยจะรู้เรื่อง อย่างว่าปกติธรรมดาเนี่ย
เราทำความสงบเฉยๆจิตของเรา เฉยๆไม่ได้คิดนึกอยากได้โน่นอยากได้นี่
พอเห็นอะไรขึ้นมาแว่บนึงปรากฏ เช่น เห็นตองเนื้อเอาปลามาอย่างงี้
หรือเห็นเขาเอาสิ่งเอาของมาขาย พอจิตแว่บขึ้นมา...อยากได้
ถอนน่ะถอนจากความสงบแล้ว พระพุทธเจ้าพระองค์เห็นว่า นั่นเป็นภัย
นั่นเป็นตัวกิเลส คือ ความอยากได้น่ะมันทำให้ใจฟุ้งออกไป
ท่านเห็นเป็นตัวกิเลสซ้ำเลย แต่ท่านจะกล้าหรือ
ท่านจะกล้าไปทำลายจิตใจสงบความสุขของท่านหรือ
อันพวกเราไม่เห็นเป็นความสุข เห็นอาการที่ไปจดจ่ออาการสิ่งต่างๆ
วุ่นวายภายนอกเข้าใจว่าเป็นของดิบของดี นี่พระองค์เห็นเป็นภัยเป็นอันตราย
เห็นเป็นข้าศึกใหญ่โต เห็นเป็นความชั่วอย่างที่น่าเกลียดที่สุด
นี่ที่พระองค์ท่านเห็น ท่านเห็นอย่างนี้ ปัญญาท่าน ท่านเห็นอย่างนี้
คราวนี้อย่างตาเห็นรูป พอเห็นวั่บเข้าไป เห็นรูปอะไรก็ตามเถอะ
รูปผู้รูปคน รูปหญิงรูปชาย รูปสวยรูปไม่สวยอะไรก็ตาม
พอแว่บเข้ามามันเกิดความรักความใคร่ความชอบอกชอบใจ
เห็นเป็นการเดือดภาวะในใจ เห็นเป็นไฟกองใหญ่พุ่งขึ้นมา
พระองค์จะต้องชำระสะสาง จะต้องกำจัดปัดเป่าให้หมดไป
อันปัญญานี้เรียกว่า ปัญญาอันวิเศษ จนระงับดับกิเลสได้
ฆ่ากิเลสให้หมด นี่ปัญญาของพระองค์ ที่ว่าเป็นผู้มีปัญญา