Apple TV – iPad Pro – iPhone6s ก๊อปหรือไม่ ทำไมเพิ่งออกตอนนี้ [วิเคราะห์]



ปกติแล้วต่อให้ใครทั้งโลกเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ หรือสเป็คเครื่องของแต่ละค่ายจะแรงแค่ไหน แอปเปิลมักจะไม่สนใจ ไม่เคยแคร์ ถ้ามันไม่ได้ช่วยให้ประสบการณ์การใช้งาน (User Experience) ของผู้ใช้ดีขึ้นกว่าเดิม ถ้าสังเกตการเปิดตัวเทคโนโลยีของ Apple จะมีแค่สองแบบ คือ เป็นเจ้าแรกไปเลยเช่นตอนเปิด Retina display , Trackpad หรือ พอร์ท Thunderbolt กับอีกแบบก็คือการรอให้มันถึงจุดที่อุตสาหกรรมพิสูจน์แล้วว่ามันดี หรือมันไม่ดีจริงๆ ค่อยคิดทางแก้ปัญหาที่ว้าวมากขึ้นมา เช่นเปิด iPod ที่เก็บเพลงได้มหาศาลหลังจากตลาดเครื่องเล่น MP3 อิ่มตัว หรือขยายไซส์หน้าจอ เพราะอุตสาหกรรมพิสูจน์ได้ว่าคนมีความต้องการใช้งานจริงๆ แล้ว (กลยุทธ์ให้คนอื่นทดลองสินค้าให้ตัวเอง)

การเปิดตัวสินค้าของแอปเปิลที่ผ่านมาหลายปีหลังจากสตีฟตายไป
สำหรับผม ยังไม่มีครั้งไหนน่าสนใจจนหลายคนบอกว่านี่คือขาลงของแอปเปิลแล้ว
แต่ครั้งนี้ เรียกได้ว่า เป็นการกลับมาอีกครั้งของเจ้าพ่อ User Experience ของจริง

Apple TV2 – ห้องนั่งเล่นใหม่ของเจ้าชายน้ำแข็ง



ความตั้งใจสุดท้ายของสตีฟ จ๊อบส์คือ การอยากปฏิวัติการใช้งานอีก 3 วงการได้แก่ การศึกษา (iTunes U) กล้อง(จดสิทธิบัตรถ่ายก่อนโฟกัสทีหลัง) และวงการโทรทัศน์ จึงมีข่าวลือเกี่ยวกับ Apple TV มาทุกปี แป๊กไปหลายปีมาก จนในที่สุด ก็เปิดตัวในงาน พร้อมกับสามารถแก้ปัญหาที่ยากมากของวงการทีวีจนได้ โดยมีสิ่งที่ผมเห็นได้ชัดเจนคือ Remote-App-Content

Siri Remote อุปกรณ์ถนัดสำหรับปฎิวัติวงการอีกครั้ง





ตอนที่ตลาดสมาร์ทโฟนอิ่มตัว ตลาดถัดไปที่ทุกคนจ้องมองกันกลายเป็น โทรทัศน์ หรือ “สงครามห้องนั่งเล่น”
ไอโฟนกับซัมซุงยึดมือถือคนส่วนใหญ่ในโลกไปแล้ว
ใครก็ตามที่ยึดอุตสาหกรรมทีวีได้ ย่อมได้ตลาดขนาดใหญ่ของโลกนี้ไปครอง
ข้อจำกัดของตลาดนี้คือ Content-Screen-Remote
แนวคิดง่ายๆ ก็คือ วิธีการใช้งานปกติของทีวีคือการนั่งดู
เพราะทีวีจอใหญ่ -> นั่งดูหรือนอนดู -> ต้องใช้บางอย่างสั่งงานจากระยะไกล เช่น รีโมท
สมัยอนาล็อคทำอย่างไรครับ ใส่ 1 คำสั่ง เป็น 1 ปุ่มไปเลย รีโมททั้งโลกก็เลยมีปุ่มยั้วเยี้ยเต็มไปหมด
อย่าคิดว่าปุ่มแค่นั้นจะพอนะครับ ลองคิดว่าถ้าเราจะทำสมาร์ททีวีจริงๆ สิ่งที่จะเปลี่ยนไปคือ Content มหาศาลจากอินเตอร์เน็ท
ยกตัวอย่างจากเรื่องใกล้ตัวก็ได้ ผมใช้แอพ Youtube บน Apple TV รุ่นเก่าที่ผมใช้อยู่ทุกวันนี้
การจะเลือกดูช่องสักช่อง ทำได้โดยผมต้องไป Subscribe ช่องบนมือถือหรือเว็บ แล้วมากดต่อที่ทีวี ใช้รีโมทกดลงค้างไว้นาน ยิ่งผมมีช่องเยอะมาก กว่าจะได้ดูแบบสบายๆ ก็ใช้เวลาหลายนาทีเลยทีเดียว หรือจะให้ง่ายกว่านั้นก็ทำโดยการไปกด Play ที่แอพในมือถือ แล้วปิด แล้วไปเปิดดูแบบ History ในทีวีอีกที บอกเลยครับ การจะใช้ชีวิตแบบสมาร์ทมันยากมากครับ
ถ้าให้ออกแบบแก้ปัญหานี้ด้วยรีโมท เราจะเจออะไรครับ ปุ่มมหาศาลแทนช่องทั้งหมดของยูทูปอย่างนั้นหรอ ซึ่งมันก็เป็นไปไม่ได้
ดังนั้นหลายค่ายจึงพยายามออกแบบมาแก้ปัญหาการสั่งงานนี้อย่างมาก เช่น




-LG พยายามทำ Magic remote เหมือนกับ Pointer สำหรับ Presentation แทนเมาส์บนอากาศ
-Samsung พยายามทำคำสั่ง Gesture การปัดด้วยมือ สั่งด่วยเสียง

แต่มันก็ยังไม่สมูทและไม่สามารถใช้งานได้จริงอย่างที่บอกไว้
ดังนั้นพอแอปเปิลโชว์ Siri Remote ผมนี่นั่งปรบมือให้กับความฉลาดของแอปเปิลเลยทันที
คำตอบที่วงการนี้รอคอยคือ Touchscreen ของถนัด และ Siri เป็นตัวสนับสนุน
แอปเปิลถนัดการใช้ Touchscreen มานานตั้งแต่แมคบุ๊คแล้วครับ ถ้าใครเคยใช้จะรู้สึกเลยว่า Magic Trackpad ช่างเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์เอามากๆ ครั้งนี้เลยทำการติดบลูทูธทีรีโมต ให้ช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ บนรีโมทแทนหน้าจอใหญ่ๆ ของทีวีแอปเปิล แค่นี้ก็ทำทุกคำสั่งได้อย่างรวดเร็วแล้ว ที่สำคัญกว่านั้นก็เพิ่มการสั่งด้วยเสียงเข้ามา (ตรงนี้ผมคิดว่าแอปเปิลรอเวลาให้ Database ของ Siri มันดีได้ระดับนึงเสียก่อน ถึงปล่อยมาในงานนี้) แค่นี้การสั่งงานมันก็ง่ายมากๆ แล้วครับ
*ข่าวล่าสุดว่า Remote ที่มี Siri จะใช้ได้แค่ 8 ประเทศเท่านั้น เดาว่าหลายๆ ประเทศยังไม่ได้ทำงานได้ดีเท่ากับ Google Now แต่ก็งงว่า Siri เวอร์ชั่นใบ้หวยของไทยก็เก่งกาจระดับนึงแล้ว แต่น่าจะเป็นเพราะ Content ที่ยังไม่สามารถตอบโจทย์ครอบคลุมได้เท่าที่ควร ถึงไม่กล้าปล่อยมา

ปู่นิน ยืม Accelerometer & Gyro หน่อยนะจ้ะ



นอกจาก Content ด้านหนัง เพลงแล้ว คำถามถัดไปที่แอปเปิลและหลายๆ คนน่าจะถามตัวเองหากได้รับโจทย์ให้ทำสมาร์ททีวีก็คือ ถ้าทีวีทำให้เราเล่นเกมส์ได้ละ ซึ่งจริงๆ แล้วแอปเปิลทีวีรุ่นปัจจุบันก็มีฟีเจอร์ Support อยู่แล้วคือถ้าเล่นเกมส์รถแข่งบางเกมส์(Real Racing 2) หาก Sync Airplay เข้ากับทีวี หน้าจอของไอแพดจะกลายเป็นเหมือนคอนโทลเลอร์ คล้ายๆ Wii U ที่ทำได้แนวนี้เช่นกัน (Google ก็ทำคล้ายๆ แบบนี้ได้) แต่มันก็ยังไม่ได้พร้อมสำหรับประสบการณ์ใหม่เต็มรูปแบบ ดังนั้น รีโมทและ App Store ในทีวีนี่แหละ ที่จะปฏิวัติวงการเกมส์อีกครั้งนั่นก็คือการใส่ Accelerometer & Gyro ลงไปในรีโมทให้ใช้งานได้เหมือนกับ Wii Remote นั่นเอง ทำให้อนาคตเราอาจจะมีเกมส์ใหม่ๆ ให้เล่นแข่งกันผ่าน Apple TV ก็ได้

*ได้ข่าวล่าสุดว่าลงแอพได้ขนาดไม่ 200 MB ดังนั้นอดสำหรับแฟนเกมส์ฮาร์ดคอร์ แอปเปิลอวดโฉมมาให้อยาก และจากไปเพียงแค่ 1 วันถัดมาเท่านั้น แต่ไม่แน่ เพราะพื้นที่ก็ให้มาเยอะมาก และ 200MB น่าจะไม่พอสำหรับแอพที่ต้องใช้ความละเอียดจอสูงๆ อนาคตอาจจะไม่จำกัดก็ได้ ดูได้จาก https://www.blognone.com/node/72295

Content และ App Store ถึงเวลาแล้วที่นอนบนเตียง ก็ซื้อของได้



เรารู้ๆ กันอยู่ว่าสิ่งที่ล้ำค่ามากที่สุดของแอปเปิลนอกจากแบรนด์ที่ดีแล้ว ยังเป็น Ecosystem ที่ดีอีกด้วย

Ecosystem ที่ดี คือการที่เปิดฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ใหม่ มันดึงดูดใจให้คนที่เป็นนักพัฒนาหรือ Developer อยากจะทำแอพดีๆ มาใส่ในเครื่อง เมื่อมีแอพดีๆ มีคนเล่นเยอะ สินค้าหรือบริการต่างๆ ก็จะวิ่งเข้ามาทำแอพกัน ลองนึกดูนะครับ ตอนแรกๆ ที่ไอโฟนเปิดตัว ทุกแบรนด์ทำแอพของตัวเองกันเพื่ออะไรครับ Communication แต่ตอนนี้ App Store ของแอปเปิลมัน Sexy และดึงดูดนักพัฒนามาเรื่อยๆ ช่วยกันโตไปเรื่อยๆ จนตอนนี้ทุกแบรนด์เปลี่ยนจากแอพที่เคยสื่อสารแค่โปรโมชั่น มาเป็นการใช้งานของแต่ละ Business จริงแล้ว ถ้ามันยากไป ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น โรงแรม โรงหนัง ช่วงแรกอาจจะทำแอพแค่การดูรอบหนัง ดูห้องว่าง แต่ตอนนี้มันกลายเป็นแอพสำหรับการจอง จ่ายตังค์ แม้กระทั่งโชว์บัตรเข้าชมโรงหนังไปเรียบร้อนแล้ว ดังนั้นพอแอปเปิลเปิด App Store สำหรับ Apple TV ครั้งนี้เลยน่าสนใจมากว่าการบริหาร Content ของจอทั้ง 5 ของแบรนด์ต่างๆ จะออกแบบประสบการณ์ของแต่ละจอเป็นแบบใด (Web->iPhone->iPad->Apple Watch->Apple TV)

เวลาแอปเปิลสร้าง Product ใหม่ จะมีกระบวนการแบบนี้ครับ

1.เปิดตัว Hardware
2.เปิดตัว Software ของตัวเอง หรือ Exclusive Partners
3.โชว์ Use Case การใช้งานว่ามันช่วยให้ชีวิตดีขึ้นยังไง ->
4.เปิด APIs ให้ Developer ผลิตใช้บ้าง

ยกตัวอย่างเช่น

1.Apple Watch
2.App W Hotels
3.ใช้ Apple Watch เป็นกุญแจเปิดห้อง โดยได้รับตั้งแต่จองเสร็จ
4.โรงแรมอื่นก็ทำได้นะ (ผ่าน Watch OS2 และ APIs)

หรืออย่างงานนี้

1.Apple TV
2.ดูทีวี ฟัง Apple Music ดูกีฬา เล่นเกมส์ ซื้อของก็ได้นะ
3.นอนอยู่บนโซฟาแล้วใช้ชีวิตให้สบายเถอะ ->
4.คนอื่นก็ทำแอพแบบนี้ลงทีวีได้นะ (ผ่าน TvOS)

จาก Use Case ที่แอปเปิลโชว์ จะเห็นได้ว่า มีทั้งการช็อปปิ้งเสื้อผ้า(GILT) ดูกีฬาเบสบอลสองจอพร้อมกัน(MLB) อ่านการ์ตูน(DC) ดูรีวิวสถานที่(AIRBNB) บนหน้าจอทีวีได้ด้วย ตามเสต็ปที่แอปเปิลทำเป็นประจำคือเปิดความคิดของนักพัฒนาว่า นี่ไม่ใช่มือถือ นาฬิกา หรือทีวีแบบเดิมๆ แบบที่โลกเจอกันมาอีกแล้วนะ อะไรมันก็เป็นไปได้เหมือนที่เราไม่คิดว่า มือถือจะสามารถทำอะไรได้อย่างเช่นทุกวันนี้



สิ่งที่แอปเปิลทำไม่ใช่คนแรกนะครับ หลายเจ้าทำกันมานานแล้ว แต่ Ecosystem ที่แข็งแกร่งของแอปเปิลเสมอมาจะกลายเป็นจุดแข็งและอาจจะทำให้วงการโทรทัศน์เปลี่ยนไปอีกครั้งหนึ่งก็ได้(โดยเฉพาะการมี Partner ของ Content ครบถ้วนทั้ง Itune Hulu และ Netflix)
ผลกระทบของเรื่องนี้คือแบรนด์ต่างๆ ต้องคิด Content หน้าจอที่ 5 เตรียมตัวรอแล้วนะครับ Web-App-Watch-TV ว่าประสบการณ์ของแต่ละชิ้นมันจะต้องเชื่อมกันอย่างไรให้สมบูรณ์แบบ หน้าจอที่ 5 ของแอปเปิล อาจจะจุดเปลี่ยนวงการอีกครั้งได้เลยนะครับ เพราะทีวีก็เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่เราใช้ในชีวิตประจำวันของทุกคนอยู่แล้ว

ได้อะไรจาก Apple TV

- แอปเปิลมักจะรอจนกว่าเทคโนโลยีนั้นพร้อมจริงๆ มันมีประโยชน์กับคนใช้งานจริงๆ ใช้งานได้จริงๆ ถึงจะเอาออกมาให้คนทั่วไปได้ใช้กัน
อย่าง Apple TV นี่ก็เป็นตัวอย่างที่ดีตัวอย่างหนึ่ง Apple ต้องรอให้ Siri พร้อม แก้ปัญหาของทุกอย่างให้พร้อมจริงๆ รอจังหวะที่มี Content มากพอสมควร มีวิธีการจัดการ Content ที่ดี และหาวิธีสร้างรีโมทที่ดี ถึงจะปล่อยของแบบนี้ออกมา เป็น Platform ตัวใหม่อีกตัวของแอปเปิล
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่