ทัศนะวิจารณ์ ผลิตภัณฑ์ Apple ที่เปิดตัวในวันที่ 9 กันยายน 2015


ในวันที่ 9 กันยายน ที่ผ่านมา เป็นวันที่ ผลิตภัณฑ์ Apple รุ่นใหม่จะออกสู่สายตาคนทั้งโลก ซึ่งมักจะมีความคาดหวังอันสูงลิบจากทั้งกองเชียร์ และกองแช่ง เพราะหลายๆ ครั้ง Apple มักจะเป็นผู้นำ trends ที่เกิดขึ้นในเทคโนโลยีอยู่เสมอ และเป็นประเพณีที่สร้างโดย Steve Jobs ในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ทุก 1 ปี (ก่อนหน้ายุค Steve Jobs ประเพณีแบบนี้ต้องถือว่ายังไม่เกิดขึ้นในโลกเทคโนโลยี) ทำให้แฟนๆ มีความตื่นเต้นในการเห็นสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ ซึ่งในครั้งนี้แม้ผู้ชมจะไม่ได้คาดหวังอะไรมาก เพราะพระเอกของเรื่องคือ iPhone เป็น minor update (คือมีการเติม s เข้าไป และเพิ่งความสามารถบางอย่าง โดยที่รูปทรงยังคงเดิม) และมีของหลุดออกมาให้เดาทางได้มากมาย แต่ก็ถือมีเรื่องให้น่าสนใจอยู่ไม่น้อย เรามาดูกันทีละตัวครับ


iPad Pro

อุปกรณ์อย่าง iPad ถือว่าเสียศูนย์ไปไม่น้อย เนื่องจากผู้ใช้ไม่ได้มีการเปลี่ยนรุ่นบ่อยเท่า Smartphone อีกทั้งการที่ Smartphone มีขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น ก็ทำให้เราลดการพึ่งพา iPad ลงเรื่อยๆ (จะสังเกตว่ายุคก่อนที่ iPad ขายดี iPhone นั้นยังมีหน้าจอแค่ 3.5″ ทำให้แยกความสามารถกันได้อย่างชัดเจน) ถึงแม้ Apple จะพยายามทำให้ iPad เร็วขึ้น เบาบางขึ้น หน้าจอแสดงผลได้สวยขึ้น อย่าง iPad Air 2 แต่ดูเหมือนจะไม่สามารถดึงยอดขายให้กลับมาได้เลย จึงมีกระแสหนาหูมากขึ้นถึงการทำให้ iPad เป็นมากกว่า iPad เดิมๆ (Tablet ใช้นิ้วจิ้มเพื่อความบันเทิง) รวมถึงการผลักดันอุปกรณ์ตัวนี้เข้าไปใช้ในระดับองค์กร (Enterprise)

Apple จึงตัดสินใจยกเครื่อง เปลี่ยนแนวทาง iPad ใหม่ โดยยอมทิ้งตัวตนเดิมๆ ของ iPad คือ Tablet ที่เป็นอุปกรณ์ตรงกลางระหว่าง Smartphone กับ Laptop โดยเทตัวตนเข้าไปแทนที่ Laptop มากขึ้น


เริ่มจาก keyboard ซึ่งก็ทำให้อึ้งพอสมควรที่ Apple หน้าด้านมากที่กล้าพิมพ์โฆษณาว่า “สิ่งเดียวที่เราไม่ได้คิดค้นขึ้นมาใหม่คือตัวอักษร” เพราะไม่ว่าจะเป็น 3rd party ที่ทำเคส keyboard เพื่อ iPad อยู่แล้ว เช่น logitech หรือแน่นอน Microsoft Surface ก็ทำสิ่งนี้มาตั้งแต่แรก แต่ในที่สุด Apple ก็ต้องยอมทำ


Who’s need a stylus ? (ใครมันจะต้องการใช้ stylus วะ) – Steve Jobs

เลยตั้งชื่อว่า pencil ซะเลย นี่เป็นอีกครั้งที่ Apple หลังยุค Jobs ต้องกลืนน้ำลาย Jobs เข้าปาก เพราะในขณะที่เจ้าอื่นทั้ง Samsung และ Microsoft นำเอาเรื่อง stylus มาพัฒนา จนสามารถใช้ประโยชน์จากหน้าจอ multi touch ขนาดใหญ่เพื่อประโยชน์ในเชิงกราฟฟิกกันไปนานแล้ว แม้แต่ใน App Store ของ Apple เองก็มีแอพที่ใช้ประโยชน์จาก 3rd party stylus จำนวนมาก (แต่ก็ไม่มีเจ้าไหนทำได้สมบูรณ์แบบเสียที) ในที่สุด Apple ก็เปิดตัวสิ่งนี้ซึ่งทำให้คนดูอ้าปากค้าง (น่าจะด้วยความช็อก) แถมด้วยการอัญเชิญคนจาก Microsoft มาสาธิตการใช้ Microsoft Office ในงาน (นี่จะลอยแพ iWorks ของตัวเองแล้วใช่ไหม?) ก็ทำให้แฟนๆ ในงานติด stun กันไป 3 วิทีเดียว

เรียกว่า iPad Pro แสดงถึงความหมดสภาพของ Apple ในการเป็นผู้นำในวงการ Tablet จนต้องเดินตามคนอื่นๆ โดยทิ้งจิตวิญญาณเดิมๆ ของ iPad เวอร์ชั่นแรกๆ ไปจนหมดสิ้น (ผมไม่เห็นด้วยถ้าจะฟันธงไปบอกว่า Jobs คิดผิดที่พูดว่า “Who’s need a stylus” เพราะตอนนั้น stylus เป็นสิ่งที่ใช้ลำบาก และความสามารถจำกัดแค่การจิ้มๆ ซึ่งต่างจาก stylus ที่ใช้ในจอ multi touch ในปัจจุบัน)


Apple TV

อุปกรณ์ตัวนี้แต่ไหนแต่ไร ก็ดูไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมของคนไทยส่วนใหญ่เลย เพราะถูกออกแบบมาให้เหมาะกับคนที่ใช้เทคโนโลยีคล่องพอตัว รวมถึงมีนิสัยการเสพ content ประเภทเสียเงินตลอด มาในครั้งนี้ Tim Cook ได้พูดว่า “อนาคตของ TV คือแอพ” จึงได้เริ่มสร้าง tvOS รวมถึงกระตุ้นให้นักพัฒนาสร้างแอพสำหรับทีวีขึ้นมา นอกจากนี้ยังเพิ่มความสามารถให้ Apple TV ในด้านการเล่นเกมส์ ซึ่งก็ต้องมาดูกันว่ารีโมทที่ออกแบบมาจะคุ้นมือคนได้เร็วแค่ไหน แต่ทั้งนี้ตลาดเกมส์ที่ Apple ต้องการเจาะดูจะเป็นคนละตลาดกับคนที่เล่นเกมส์ด้วย PS4 หรือ Xbox One แต่จะจับกลุ่มคนที่เล่นขำๆ เล่นเพื่อความบันเทิงทั่วๆไปมากกว่า

สิ่งที่น่าสนใจคือการใช้ Siri มาสั่งงานแทน Remote อันนี้เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกเห็นคุณค่าของ Siri เพราะใน Smartphone นั้นผมไม่คิดว่าการใช้ Siri จะทำให้ผมประหยัดเวลาได้จริงๆ ในเมื่อการพิมพ์ หรือเข้าสู่เมนูต่างๆ ก็ทำได้ไม่ยากอยู่แล้ว แต่กรณี TV เนื่องจาก remote ไม่ได้ถูกออกแบบให้พิมพ์ข้อความได้ Siri จึงดูมีประโยชน์ขึ้นมาทันที

ทั้งนี้ทั้งนั้น อุปกรณ์ตัวนี้ก็ยังดูห่างไกลกับคนส่วนใหญ่โดยเฉพาะในประเทศไทยอยู่ดี


iPhone 6s

สำหรับ iPhone ที่มี s ตามหลังนั้นดูผ่านๆ อาจดูว่าไม่มีอะไรใหม่มาก เพียงแค่เพิ่มสเปค เพิ่มสี แต่จริงๆ แล้วทุกครั้ง s มักมาพร้อมกับสิ่งที่เป็นนวัตกรรมใหม่ เช่น iPhone 4s มาพร้อม Siri, iPhone 5s มาพร้อม Touch ID และในคราวนี้สิ่งที่เข้ามาก็คือ 3D Touch

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
โดยเจ้า 3D Touch นี้ทำให้เราลดขั้นตอนในการใช้งานแอพต่างๆ ลง

แต่ถามว่าเมื่อเทียบกับ Touch ID แล้ว ผมกลับมองว่าประโยชน์ที่ได้รับจริงๆ กลับน้อยลง เพราะในขณะที่ Touch ID ช่วยลดระยะเวลาที่ผมต้องคอยป้อนรหัส 4 ตัวทุกครั้งที่เปิดหน้าจอ แต่ 3D Touch กลับดูเหมือนเป็น Gimmick เป็นการใส่ลูกเล่นซะมากกว่าที่จะเป็นการเพิ่ม productivity จริงๆ

ในมุมมองผู้ใช้ (เช่นผม) อาจไม่ได้อะไรจากมันเท่าไหร่ แต่ในมุมมองของ Apple อาจจะเป็นการสร้างพฤติกรรมใหม่ให้กับผู้ใช้

เมื่อใช้ 3D Touch จนชิน

ประสบการณ์การใช้งานก็จะต่างออกไปจาก Smartphone อื่นที่ไม่ใช่ iPhone

เรียกว่าเป็นวิวัฒนาการต่อจาก Multi touch เลยทีเดียว

ปล.ทั้งนี้และทั้งนั้น เทคโนโลยีถูกสร้างมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้เรา ไม่ใช่ให้เราไปวิ่งตามมัน จงเลือกรับแต่เทคโนโลยีที่ช่วยคุณได้จริงๆ เท่านั้นเถอะครับ

ถ้าชอบบทความที่ผมเขียน ขอเชิญเยี่ยมชม Website นะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่