ฮัลโหล ชาวพันทิปทั้งหลาย 2 สาวแบกเป้กลับมารายงานตัวแล้วค่ะ
หลังจากไป Slow life 3 วัน 2 คืน (31/08/15-01/09/15) ที่สังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี กันมา
และเพราะตามรีวิวในพันทิปเหมือนกันทำให้ได้เจอมิตรภาพระหว่างทางที่จะไม่มีวันลืม
ถ้าพร้อมแล้วตามพวกเราไปเที่ยวสังขละฯกันเลยค่ะ
วันแรกของการเดินทาง
สโลว์ไลฟ์กันตั้งแต่ออกเดินทางเลย นั่งรถไฟฟรีจากสถานีธนบุรี-น้ำตก ระหว่างที่รอรถไฟสามารถหาอะไรลองท้องได้ที่ตลาดศาลาน้ำร้อนใกล้ๆกับสถานีรถไฟธนบุรี แนะนำให้ใช้ความไวแสงในการขึ้นรถไฟนะคะ เพราะมันจะไม่มีที่นั่ง 555 ควรนั่งฝั่งซ้าย ไม่ร้อน และเห็นวิวทางรถไฟสายมรณะสวยกว่าค่ะ รถไฟไปกาญจนบุรีสายนี้ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุด ถ้าใครหลับอดดูวิวข้างทางไม่รู้ด้วย
ถ่ายรูปรัวๆ ใส่หูฟัง นั่งเม้าท์มอยเพื่อนร่วมขบวน หลับ ในที่สุดเราก็มาถึงสถานีน้ำตก สโลว์ไลฟ์สมความตั้งใจมากค่ะ รถไฟเสียเวลา 2 ชั่วโมง 555 ลงรถไฟปุ๊บก็ไปขึ้นรถรับจ้าง เพื่อต่อรถไปสังขละฯ ที่จุดรับ-ส่ง ปั๊บ 20 บาท/คน
ที่นี่เองจุดเริ่มต้นของคำว่า “เพื่อนร่วมทาง” เราคุยกันระหว่างทาง ต่างคนต่างมา แต่ทุกคนล้วนมีจุดหมายเดียวกัน คือ “สังขละบุรี”
พอมาถึงท่ารถ เห็นรถเมล์แดง กาญจนบุรี-สังขละบุรี เรากับเพื่อนวิ่ง 4x100 เลยจ้า เพราะกลัวรถหมด ในขณะที่เพื่อนร่วมทางกำลังกินข้าว ค่ารถ 2 ประตู 20 หน้าต่าง 130 บาท/คน หวานเย็นคุ้มค่าตั๋วมากพาไปเปลี่ยนรถและก็ Tour around ที่ทองผาภูมิด้วย 555
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง (ตอนรถขึ้นเขาคิดอยู่ว่าต้องลงไปช่วยเข็นไหม 555)
กว่าจะมาถึง บขส. สังขละบุรี ก็เย็นมากแล้ว เรากับเพื่อนเดินหาที่พักกันก่อนเลย
P.Guesthouse ห้องพัดลม 2 คน 300 บาท/คืน ไกลจาก บขส. หน่อยแต่ที่นี่บรรยากาศดี มีบริการครบวงจร และจากที่รีวิวมาถูกที่สุดแล้ว (ไม่ได้ค่าโฆษณาเลยนะเนี่ย แต่มันเหมาะกับ Backpacker อย่างเราๆมาก)
หลังจาก Check-in เก็บกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว เราก็เช่ามอเตอร์ไซต์ 200 บาท/วัน น้ำมันเต็มถังพร้อมหมวกกันน็อคใต้เบาะ แว้นไปหาอะไรกินกันที่ตลาดค่ำ มื้อแรกที่สังขละฯ ขอเสนอเมนู “หมูพม่าจุ่ม” 1 บาท/ไม้ แนะนำเลย อร่อยมาก ฟาดไป 50 ไม้
เดินทางเหนื่อยมาทั้งวันแต่เราก็ยังมีอารมณ์ Party เล็กๆกันที่ P.Guesthouse กับเพื่อนร่วมทริป พรุ่งนี้เรามีนัดกันไปใส่บาตรตอน 06.30 น. สำหรับคืนนี้ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
วันที่สองของการเดินทาง
ตื่นแต่เช้าเพื่อไปใส่บาตรที่ฝั่งหมู่บ้านมอญท่ามกลางสายหมอกในม่านบุญ ชุดละ 99 บาท (มีชุดมอญให้ใส่ไปถ่ายรูปที่สะพานมอญด้วย)
ใส่บาตรกรวดน้ำเสร็จก็ Fast 8 ไปด่านเจดีย์สามองค์ ก่อนที่ตลาดเช้าพม่าจะวาย
ด่านเจดีย์สามองค์ไม่ใช่ด่านสากล จะข้ามด่านไปพม่าต้องทำใบผ่านแดน โดยใช้บัตรประชาชนหรือเอกสารที่มีรูปถ่ายที่ทางราชการออกให้เท่านั้น ทำเรื่องเสร็จเจ้าหน้าที่ก็จะให้ MAP หูกวางมา (ตม.หน้าเหมือนดาราเลยขอบอก 555)
พวกเราเดินจากด่านเจดีย์สามองค์ข้ามมายังฝั่งพม่า แล้วก็มาหยุดอยู่ที่ตลาด ใครที่กำลังมองหาของฝาก ซื้อได้ที่นี่ค่ะ ราคาถูกกว่าฝั่งไทยมาก ช้อปปิ้งเพลินจนลืมไปว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง มาถึงนี่ก็ต้องลองกินอะไรแปลกๆ “ขนมจีนน้ำยาหยวกกล้วย” 10 บาท/ชาม รสชาติเป็นยังไงต้องไปลองชิมกันเองนะคะ 555
เดินเตร่มาเรื่อยๆพอเจอร้านอาหารเช้าก็พุ่งร่างเข้าไปนั่ง พนักงานเป็นคนพม่าพูดไทยไม่ได้ ภาษามือก็มา สื่อสารกันไม่รู้เรื่องหรอกแต่ก็ได้กิน เก่งเปล่าล่ะ 555 จะไม่ลืมความอร่อยของถั่วจานนั้น ชากาแฟโอวัลตินที่เทรวมกันแล้วกินรอบวงก็เช่นกัน สำหรับมื้อนี้ค่าเสียหาย 140 บาท
อิ่มแล้วก็ลุยกันต่อ ระหว่างทางแวะ Duty free เหล้าเบียร์บุหรี่ที่นี่ถูกมาก ถ้าเป็นพวก Alcoholism จะยอมแบกกลับไทยเลยจริงๆ 555 และแล้วก็ได้เวลาให้ MAP หูกวางทำงาน พวกเราเดินตามแผนที่มาเรื่อยๆแล้วก็เจอ “วัดเสาร้อยต้น”
เดินกันยาวๆไม่รู้กี่กิโล รู้แค่ว่าเสมือนเป็นคนไทยกลุ่มเดียวในพม่าตอนนี้ สักพักก็เจอทางขึ้น “พระเจดีย์ทอง” น้องๆดอยสุเทพดีๆนี่เอง ตอนแรกที่เดินขึ้นก็นับขั้นบันไดอยู่นะ หลังๆนับไม่ไหว พอขึ้นถึงหมดสภาพ 555 ได้แต่เก็บภาพบรรยากาศมาฝาก
แค่คิดจะลงก็เหนื่อยแล้ว เหมารถไปด่านเจดีย์สามองค์เลยจ้า 200 บาท/6 คน สบายไป พอถึงด่านก็แว้นรถกลับ ขาไม่มีแรงแม้แต่จะตบเกียร์ ระหว่างทางแวะเที่ยวที่น้ำตกซองกาเรีย ฝนตกก็ไม่หวั่นนั่งเอาเท้าจุ่มน้ำ กินข้าวเหนียวส้มตำลาบยำคอหมูย่างสบายใจ 555
ขับรถเอาหน้าโต้ลมกดชัตเตอร์ไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก อยากแวะที่ไหนก็จอด และด้วยความที่สองข้างทางเต็มไปด้วยภูเขาและวัด ครึ่งวันบ่ายเลยกลายเป็นทัวร์วัดไปซะอย่างนั้น
วัดสมเด็จ
วัดวังก์วิเวการาม
เจดีย์พุทธคยา
ตะลอนขับรถเที่ยวมาทั้งวัน ถึงเวลาต้องพาตัวเองไปชิล สังขละฯเป็นเมืองชิคๆ ที่มีร้านกาแฟน่ารักและ Free wifi อย่าง “คาฟคาเฟ่”
กาแฟสักแก้ว กับบรรยากาศฝนตกปรอยๆ แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว
กลับมาถึงที่พัก ฝนตกหนัก พวกเราเลยจัดเต็ม ซื้อของกินอย่างเยอะมา Party กันที่ P.Guesthouse แล้วก็กินไม่หมด 555 นั่งคุยกันแชร์ประสบการณ์ที่ไปเที่ยวจนดึก หมดไปอีกวันกับชีวิตสโลว์ไลฟ์ ยังไม่จบนะคะ พรุ่งนี้มีต่อ
วันที่สามของการเดินทาง
เช้านี้เราจะไปเที่ยวชมวัฒนธรรมไทย-มอญ สองฝั่งแม่น้ำซองกาเรีย แม่น้ำบีคลี่ และแม่น้ำรันตีที่ไหลมารวมกัน วิถีชีวิตของคนที่นี่เรียบง่าย และที่ขาดไม่ได้คือ Highlight ของสังขละบุรี “สะพานมอญ” สะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย
กินลมชมสะพานแล้ว เราก็นั่งเรือหางยาวของแพรลุงเณร มุ่งหน้าสู่เมืองใต้บาดาล หรือที่เรียกกันติดปากว่า “วัดจมน้ำ” 3 วัด/500 บาท
โบสถ์จมน้ำ
วัดสมเด็จเก่า หากสังเกตดีๆจะเห็นเป็นรูปหน้าคนที่กำแพงวัดด้านใน
วัดวัดวังก์วิเวการาม เชื่อกันว่าหากแตะประตูทางเข้าของอุโบสถแล้วอธิษฐานจะสมความปรารถนา
ทัวร์วัดเสร็จ พี่คนขับก็พามาส่งที่ท่าเรือ P.Guesthouse เราแยกย้ายกันเก็บกระเป๋า Check-out ออกจากที่พัก
เดินไปขึ้นรถที่ตลาด ขากลับลองเปลี่ยนเส้นทางดูบ้าง นั่งรถตู้ สังขละบุรี-กาญจนบุรี 175 บาท/คน แล้วก็ไปขึ้นรถไฟฟรีที่สถานีกาญจนบุรี-ธนบุรี ไหนๆก็มาแล้ว สโลว์ไลฟ์ให้มันสุดๆไปเลย
- สำหรับทริปนี้ แบกเป้นั่งรถไฟฟรีไปสโลว์ไลฟ์ที่สังขละฯ กับเงิน 1500 บาท
- ขอขอบคุณผู้ร่วมทริปทั้ง 6 คน ที่ทำให้การเดินทางในครั้งนี้สมบูรณ์
- ฝากติดตามพวกเรา 2 สาวแบกเป้ด้วยนะคะ แล้วพบกันใหม่ทริปหน้าค่ะ
“…ฤดูฝนสิงหา เก็บเสื้อผ้าตามรีวิวในพันทิป
นักแบกเป้มาสู่เมืองสโลว์ไลฟ์ รถไฟขบวนนั้นกับมิตรภาพระหว่างทาง
ตักบาตร ด่านพม่า ร้านกาแฟ วัดจมน้ำ สะพานมอญ
จุดหมายเดียวกัน คนละทาง แล้วพบกันใหม่
ลาก่อนสังขละบุรี…”
[CR] แบกเป้ Slow life สถานีต่อไป "สังขละบุรี"
หลังจากไป Slow life 3 วัน 2 คืน (31/08/15-01/09/15) ที่สังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี กันมา
และเพราะตามรีวิวในพันทิปเหมือนกันทำให้ได้เจอมิตรภาพระหว่างทางที่จะไม่มีวันลืม
ถ้าพร้อมแล้วตามพวกเราไปเที่ยวสังขละฯกันเลยค่ะ
วันแรกของการเดินทาง
สโลว์ไลฟ์กันตั้งแต่ออกเดินทางเลย นั่งรถไฟฟรีจากสถานีธนบุรี-น้ำตก ระหว่างที่รอรถไฟสามารถหาอะไรลองท้องได้ที่ตลาดศาลาน้ำร้อนใกล้ๆกับสถานีรถไฟธนบุรี แนะนำให้ใช้ความไวแสงในการขึ้นรถไฟนะคะ เพราะมันจะไม่มีที่นั่ง 555 ควรนั่งฝั่งซ้าย ไม่ร้อน และเห็นวิวทางรถไฟสายมรณะสวยกว่าค่ะ รถไฟไปกาญจนบุรีสายนี้ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุด ถ้าใครหลับอดดูวิวข้างทางไม่รู้ด้วย
ถ่ายรูปรัวๆ ใส่หูฟัง นั่งเม้าท์มอยเพื่อนร่วมขบวน หลับ ในที่สุดเราก็มาถึงสถานีน้ำตก สโลว์ไลฟ์สมความตั้งใจมากค่ะ รถไฟเสียเวลา 2 ชั่วโมง 555 ลงรถไฟปุ๊บก็ไปขึ้นรถรับจ้าง เพื่อต่อรถไปสังขละฯ ที่จุดรับ-ส่ง ปั๊บ 20 บาท/คน
ที่นี่เองจุดเริ่มต้นของคำว่า “เพื่อนร่วมทาง” เราคุยกันระหว่างทาง ต่างคนต่างมา แต่ทุกคนล้วนมีจุดหมายเดียวกัน คือ “สังขละบุรี”
พอมาถึงท่ารถ เห็นรถเมล์แดง กาญจนบุรี-สังขละบุรี เรากับเพื่อนวิ่ง 4x100 เลยจ้า เพราะกลัวรถหมด ในขณะที่เพื่อนร่วมทางกำลังกินข้าว ค่ารถ 2 ประตู 20 หน้าต่าง 130 บาท/คน หวานเย็นคุ้มค่าตั๋วมากพาไปเปลี่ยนรถและก็ Tour around ที่ทองผาภูมิด้วย 555
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง (ตอนรถขึ้นเขาคิดอยู่ว่าต้องลงไปช่วยเข็นไหม 555)
กว่าจะมาถึง บขส. สังขละบุรี ก็เย็นมากแล้ว เรากับเพื่อนเดินหาที่พักกันก่อนเลย
P.Guesthouse ห้องพัดลม 2 คน 300 บาท/คืน ไกลจาก บขส. หน่อยแต่ที่นี่บรรยากาศดี มีบริการครบวงจร และจากที่รีวิวมาถูกที่สุดแล้ว (ไม่ได้ค่าโฆษณาเลยนะเนี่ย แต่มันเหมาะกับ Backpacker อย่างเราๆมาก)
หลังจาก Check-in เก็บกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว เราก็เช่ามอเตอร์ไซต์ 200 บาท/วัน น้ำมันเต็มถังพร้อมหมวกกันน็อคใต้เบาะ แว้นไปหาอะไรกินกันที่ตลาดค่ำ มื้อแรกที่สังขละฯ ขอเสนอเมนู “หมูพม่าจุ่ม” 1 บาท/ไม้ แนะนำเลย อร่อยมาก ฟาดไป 50 ไม้
เดินทางเหนื่อยมาทั้งวันแต่เราก็ยังมีอารมณ์ Party เล็กๆกันที่ P.Guesthouse กับเพื่อนร่วมทริป พรุ่งนี้เรามีนัดกันไปใส่บาตรตอน 06.30 น. สำหรับคืนนี้ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
วันที่สองของการเดินทาง
ตื่นแต่เช้าเพื่อไปใส่บาตรที่ฝั่งหมู่บ้านมอญท่ามกลางสายหมอกในม่านบุญ ชุดละ 99 บาท (มีชุดมอญให้ใส่ไปถ่ายรูปที่สะพานมอญด้วย)
ใส่บาตรกรวดน้ำเสร็จก็ Fast 8 ไปด่านเจดีย์สามองค์ ก่อนที่ตลาดเช้าพม่าจะวาย
ด่านเจดีย์สามองค์ไม่ใช่ด่านสากล จะข้ามด่านไปพม่าต้องทำใบผ่านแดน โดยใช้บัตรประชาชนหรือเอกสารที่มีรูปถ่ายที่ทางราชการออกให้เท่านั้น ทำเรื่องเสร็จเจ้าหน้าที่ก็จะให้ MAP หูกวางมา (ตม.หน้าเหมือนดาราเลยขอบอก 555)
พวกเราเดินจากด่านเจดีย์สามองค์ข้ามมายังฝั่งพม่า แล้วก็มาหยุดอยู่ที่ตลาด ใครที่กำลังมองหาของฝาก ซื้อได้ที่นี่ค่ะ ราคาถูกกว่าฝั่งไทยมาก ช้อปปิ้งเพลินจนลืมไปว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง มาถึงนี่ก็ต้องลองกินอะไรแปลกๆ “ขนมจีนน้ำยาหยวกกล้วย” 10 บาท/ชาม รสชาติเป็นยังไงต้องไปลองชิมกันเองนะคะ 555
เดินเตร่มาเรื่อยๆพอเจอร้านอาหารเช้าก็พุ่งร่างเข้าไปนั่ง พนักงานเป็นคนพม่าพูดไทยไม่ได้ ภาษามือก็มา สื่อสารกันไม่รู้เรื่องหรอกแต่ก็ได้กิน เก่งเปล่าล่ะ 555 จะไม่ลืมความอร่อยของถั่วจานนั้น ชากาแฟโอวัลตินที่เทรวมกันแล้วกินรอบวงก็เช่นกัน สำหรับมื้อนี้ค่าเสียหาย 140 บาท
อิ่มแล้วก็ลุยกันต่อ ระหว่างทางแวะ Duty free เหล้าเบียร์บุหรี่ที่นี่ถูกมาก ถ้าเป็นพวก Alcoholism จะยอมแบกกลับไทยเลยจริงๆ 555 และแล้วก็ได้เวลาให้ MAP หูกวางทำงาน พวกเราเดินตามแผนที่มาเรื่อยๆแล้วก็เจอ “วัดเสาร้อยต้น”
เดินกันยาวๆไม่รู้กี่กิโล รู้แค่ว่าเสมือนเป็นคนไทยกลุ่มเดียวในพม่าตอนนี้ สักพักก็เจอทางขึ้น “พระเจดีย์ทอง” น้องๆดอยสุเทพดีๆนี่เอง ตอนแรกที่เดินขึ้นก็นับขั้นบันไดอยู่นะ หลังๆนับไม่ไหว พอขึ้นถึงหมดสภาพ 555 ได้แต่เก็บภาพบรรยากาศมาฝาก
แค่คิดจะลงก็เหนื่อยแล้ว เหมารถไปด่านเจดีย์สามองค์เลยจ้า 200 บาท/6 คน สบายไป พอถึงด่านก็แว้นรถกลับ ขาไม่มีแรงแม้แต่จะตบเกียร์ ระหว่างทางแวะเที่ยวที่น้ำตกซองกาเรีย ฝนตกก็ไม่หวั่นนั่งเอาเท้าจุ่มน้ำ กินข้าวเหนียวส้มตำลาบยำคอหมูย่างสบายใจ 555
ขับรถเอาหน้าโต้ลมกดชัตเตอร์ไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก อยากแวะที่ไหนก็จอด และด้วยความที่สองข้างทางเต็มไปด้วยภูเขาและวัด ครึ่งวันบ่ายเลยกลายเป็นทัวร์วัดไปซะอย่างนั้น
วัดสมเด็จ
วัดวังก์วิเวการาม
เจดีย์พุทธคยา
ตะลอนขับรถเที่ยวมาทั้งวัน ถึงเวลาต้องพาตัวเองไปชิล สังขละฯเป็นเมืองชิคๆ ที่มีร้านกาแฟน่ารักและ Free wifi อย่าง “คาฟคาเฟ่”
กาแฟสักแก้ว กับบรรยากาศฝนตกปรอยๆ แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว
กลับมาถึงที่พัก ฝนตกหนัก พวกเราเลยจัดเต็ม ซื้อของกินอย่างเยอะมา Party กันที่ P.Guesthouse แล้วก็กินไม่หมด 555 นั่งคุยกันแชร์ประสบการณ์ที่ไปเที่ยวจนดึก หมดไปอีกวันกับชีวิตสโลว์ไลฟ์ ยังไม่จบนะคะ พรุ่งนี้มีต่อ
วันที่สามของการเดินทาง
เช้านี้เราจะไปเที่ยวชมวัฒนธรรมไทย-มอญ สองฝั่งแม่น้ำซองกาเรีย แม่น้ำบีคลี่ และแม่น้ำรันตีที่ไหลมารวมกัน วิถีชีวิตของคนที่นี่เรียบง่าย และที่ขาดไม่ได้คือ Highlight ของสังขละบุรี “สะพานมอญ” สะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย
กินลมชมสะพานแล้ว เราก็นั่งเรือหางยาวของแพรลุงเณร มุ่งหน้าสู่เมืองใต้บาดาล หรือที่เรียกกันติดปากว่า “วัดจมน้ำ” 3 วัด/500 บาท
โบสถ์จมน้ำ
วัดสมเด็จเก่า หากสังเกตดีๆจะเห็นเป็นรูปหน้าคนที่กำแพงวัดด้านใน
วัดวัดวังก์วิเวการาม เชื่อกันว่าหากแตะประตูทางเข้าของอุโบสถแล้วอธิษฐานจะสมความปรารถนา
ทัวร์วัดเสร็จ พี่คนขับก็พามาส่งที่ท่าเรือ P.Guesthouse เราแยกย้ายกันเก็บกระเป๋า Check-out ออกจากที่พัก
เดินไปขึ้นรถที่ตลาด ขากลับลองเปลี่ยนเส้นทางดูบ้าง นั่งรถตู้ สังขละบุรี-กาญจนบุรี 175 บาท/คน แล้วก็ไปขึ้นรถไฟฟรีที่สถานีกาญจนบุรี-ธนบุรี ไหนๆก็มาแล้ว สโลว์ไลฟ์ให้มันสุดๆไปเลย
- สำหรับทริปนี้ แบกเป้นั่งรถไฟฟรีไปสโลว์ไลฟ์ที่สังขละฯ กับเงิน 1500 บาท
- ขอขอบคุณผู้ร่วมทริปทั้ง 6 คน ที่ทำให้การเดินทางในครั้งนี้สมบูรณ์
- ฝากติดตามพวกเรา 2 สาวแบกเป้ด้วยนะคะ แล้วพบกันใหม่ทริปหน้าค่ะ
“…ฤดูฝนสิงหา เก็บเสื้อผ้าตามรีวิวในพันทิป
นักแบกเป้มาสู่เมืองสโลว์ไลฟ์ รถไฟขบวนนั้นกับมิตรภาพระหว่างทาง
ตักบาตร ด่านพม่า ร้านกาแฟ วัดจมน้ำ สะพานมอญ
จุดหมายเดียวกัน คนละทาง แล้วพบกันใหม่
ลาก่อนสังขละบุรี…”
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น