[CR] [Review อนิเมะซีรี่ย์] : Anohana : The Flower We Saw That Day (Japan , 2011) ดอกไม้ มิตรภาพ และความทรงจำ



Anohana : The Flower We Saw That Day (TV Series 2011) : ดอกไม้ มิตรภาพ และความทรงจำ , Directed by Tatsuyuki Nagai
.
เล่าเรื่องราวของเด็กหกคนซึ่งเป็นเพื่อนเล่นกันมาแต่เล็ก โดยมี จินตะ ยะโดะมิ เป็นหัวหน้ากลุ่มขบวนการที่ชื่อว่า "ซุปเปอร์บัสเตอร์สันติสุข" แต่แล้ววันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เมื่อหนึ่งในสมาชิกของกลุ่ม เมโกะ ฮมมะ ประสบอุบัติเหตุถึงแก่ความตาย . . สิบปีให้หลัง จินตะ ยะโดะมิ เติบโตขึ้นกลายเป็นเด็กไม่ชอบเข้าสังคมและไม่ยอมไปโรงเรียน แต่แล้ววันหนึ่งในช่วงต้นของภาคฤดูร้อน เมโกะ ฮมมะ เพื่อนสมัยเด็กที่ได้เสียชีวิตไปแล้วก็มาปรากฎตัวขึ้น ในรูปโฉมที่เติบโตตามวัย ที่มีแต่ จินตะ คนเดียวเท่านั้นที่เห็นเธอ และขอร้องให้เขาช่วยทำความปรารถนาสิ่งหนึ่งของเธอให้เป็นจริง ซึ่งปัญหาอยู่ที่เธอจำไม่ได้แล้วว่า สิ่งที่เธอปรารถนานั้นคือเรื่องอะไร จินตะ จึงต้องพยายามทำทุกวิถีทาง และเรียกรวมกลุ่มเพื่อนสนิทสมัยเด็กอีกครั้ง ที่แม้ว่าทั้งตัวเขาและคนอื่นๆจะเติบโตขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปแล้วก็ตาม ซึ่งการพยายามทำความปรารถนาของ เมโกะ ให้เป็นจริงในครั้งนี้ กลายเป็นการไขปริศนาความรู้สึกในใจบางอย่างของทุกคน ที่ช่วยนำพาและปลดล็อคทุกสิ่ง กลายเป็นเรื่องราวที่พิสูจน์มิตรภาพ ความรัก และความทรงจำ ที่ทุกคนมีต่อกัน
.
จากพล็อตเรื่องก็พอรู้แล้วว่า Anohana คืออนิเมะซีรี่ย์ตามสูตรสำเสร็จรูปทั่วไป โดยประเด็นที่หนังพูดถึงและเจาะจงอย่างหนักแน่น คือเรื่องราวความรัก ความผูกพัน และมิตรภาพระหว่างพ้องเพื่อนที่มีให้กัน ซึ่งการที่หนังเลือกเล่นเน้นประเด็นนี้ และใช้การพัฒนาความสัมพันธ์ของตัวละครทีละเล็กละน้อยอย่างช้าๆ ถือเป็นการโฟกัสจุดหลักอย่างเหนี่ยวแน่น โดยไม่ออกนอกลู่นอกทางไปเลยแม้แต่น้อย ซึ่งภายในระยะเวลา 24 นาทีต่อตอน (รวมทั้งหมด 11 ตอนจบ) ถือเป็นความไม่มากไม่น้อยไปเลย สำหรับการเป็นอนิเมะซีรี่ย์ที่ว่าด้วยเรื่องของประเด็นนี้เท่านั้น เพราะเอาจริงๆทั้งเรื่องก็พูดถึงแต่ปมภายในจิตใจของทุกตัวละครที่เชื่อมโยงถึงกัน ไม่เน้นหรือโฟกัสตัวหลักจนเป็นจุดเด่น(เกินควร)หรือกลืนกินความสำคัญของตัวละครอื่นๆไป ในส่วนการเล่าเรื่องจึงถือได้ว่ารู้จักเล่าและนำเสนอได้ไม่ขาดไม่เกิน ซึ่งถ้าหากเกินความพอดีกว่านี้ ก็จะกลายเป็นความไม่ลงตัวไปโดยปริยาย
.
สิ่งที่ชอบที่สุดคือการออกแบบคาแรคเตอร์ตัวละครอย่าง จินตะ ยะโดะมิ ที่ในวัยเยาว์เป็นเด็กร่าเริงแข็งขันและมีพลัง ถึงกับเป็นจุดศูนย์รวมของกลุ่มเพื่อน แต่แล้วเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น จินตะ ที่รู้สึกผิดต่อเหตุการณ์ในครั้งนั้น จึงเป็นจุดเปลี่ยนให้ตัวเองกลายเป็นคนไม่ชอบเข้าสังคม และหันไปใช้ชีวิตสันโดษไม่ยอมไปโรงเรียน กักตัวอยู่แต่ในบ้าน ในส่วนนี้ถือเป็นความคล้ายคลึงประการหนึ่งของผู้เขียน ที่เคยมีประสบการณ์และลักษณะใกล้เคียงกับตัวของ จินตะ (ตัวหลักในเรื่อง) ซึ่งการถ่ายทอดแนวความคิด และบุคคลิกต่างๆนาๆ ถือได้ว่าตรงตัวกับบุคคลที่มีลักษณะเป็นไปตามนั้นเลย จุดนี้จึงถือเป็นความทึ่งของผู้เขียนที่มีต่อหนังประการแรก ที่ทำให้คิดได้อยู่สองกรณีว่า ถ้าผู้กำกับไม่ทำการบ้านดีมากๆ หมายถึงการศึกษาบุคคลิกของตัวละครที่มีลักษณะในรูปแบบนี้ ทั้งภายในและภายนอก ก็ต้องเคยมีประสบการณ์ชีวิตเป็นแบบนั้นมาก่อนไม่มากก็น้อย เราจึงรู้สึกชอบตัวละครอย่าง จินตะ ยะโดะมิ ที่มีความคล้ายคลึงกัน และหนังก็นำเสนอความจริงออกมาได้อย่างตรงตัว
.
หนังมีการกำกับจังหวะที่ดี และรักษามาตรฐานแบบนี้ที่เป็นอยู่ได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ซึ่งในเฉพาะช่วงแรกนั้นก็ถือว่าโดดเด่นอย่างที่สุด ในการพยายามบอกใบ้คำปริศนา และเผยความลับทีละเล็กทีละน้อย ให้ร่วมลุ้นร่วมเชียร์และตีความกันไปต่างๆนาๆ การพยายามพุ่งเป้าประเด็นปมในใจของเด็กคนหนึ่ง ที่กลายเป็นการเชื่อมโยงความสัมพันกับตัวละครอื่นๆ ถือได้ว่ามีความน่าสนใจอย่างมาก แต่เมื่อผ่านเนื้อหาสาระช่วงแรกไป เรากลับรู้สึกว่าตัวหนังเริ่มแผ่วเบา ความอึ่งทึ่งหรือเซอร์ไพรส์ในภาพรวมตัวงานก่อนๆไม่มีอีกแล้ว แม้ว่าตัวหนังจะไม่ได้ตกหล่นหรือผิดพลาดใดๆในด้านองค์ประกอบ เพราะยังคงรักษามาตรฐานที่เป็นอยู่ได้ดีเสมอมา แต่จุดที่ทำให้มันตกหล่นในด้านอารมณ์ อาจเพราะว่าตัวละครทุกตัวเมื่อมาอยู่รวมกัน เรากลับรู้สึกว่ามันไม่เวิร์คไม่ลงตัวอย่างบอกไม่ถูก เช่นตัวละครอย่าง เมโกะ ฮมมะ หนึ่งในสมาชิกที่เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุในครั้งนั้น ที่แม้จะเป็นผีปรากฎตัวมาอย่างดื้อๆ และรูปร่างที่โตขึ้น แต่ระดับความคิดและวุฒิภาวะนั้นยังคงเดิม ส่วนหนึ่งคือการที่หนังพยายามจะรักษาระดับความเท่าเทียม ให้กลายเป็นหนังตลก กับความแก่นแก้วของ เมโกะ ฮมมะ ช่วยดึงประเด็นอันซีเรียสต่างๆของเรื่องให้เบาบางลง แต่โดยภาครวมแล้ว แม้จะมี เมโกะ ฮมมะ หนังก็ยังคงเป็นโทนหม่นหมองอยู่อย่างเห็นได้ชัด จุดนี้จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งเล็กๆที่ไม่ลงตัวของหนัง ในภาครวมที่เราเห็นกันว่าหนังลงตัว
.
ด้วยลักษณะนี้จึงกลายเป็นงานที่ดูได้เพลินๆอย่างไม่เร่งรีบ ไม่มีการตัดจบตอนสำคัญให้เราอยากดูตอนถัดไปมากมาย จนเกิดอาการห้ามใจไม่อยู่ แม้ว่าหนังพยายามบลิ้วอยู่หน่อยๆก็ตามที
.
เพลงประกอบในเรื่องถือได้ว่าช่วยยกระดับหนังอย่างมาก โดยเฉพาะเพลงปิด ที่มีท่วงทำนองโดดเด่นชวนสะดุดหูและมากด้วยเสน่ห์ ในมุมหนึ่งเปรียบเสมือนการรำพึงรำพันกับความเศร้าโศกที่เราเคยพอเจอ และอยากจะลืมมันไป แต่ในอีกมุมหนึ่งเสมือนการก้าวข้ามผ่านวันอันเลวร้าย ที่เราได้เรียนรู้มัน และพบกับรุ่งอรุณแห่งวันใหม่ในวัยที่เติบโตขึ้น (จะแปะลิ้งให้ล่างสุดของรีวิวครับ แต่เพื่ออรรถรส ขอแนะนำว่าควรรับชมพร้อมกับฟังเพลงนี้ครั้งแรกในเรื่องจะดีกว่า ^^)
.
สรุปแล้ว Anohana : The Flower We Saw That Day ก็จัดได้ว่าเป็นอนิเมะที่โอเคในระดับหนึ่งเลย กับจำนวนตอนทั้งสิ้น 11 ตอนจบ ที่สามารถรักษาระดับมาตรฐานงานได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ทั้งความสัมพันธ์และพัฒนาการของตัวละคร แต่อาจจะไม่ขับเน้นอารมณ์รุนแรงถึงขั้นน่าติดตามแบบหยุดไม่อยู่ ภาพรวมจึงเป็นงานคุณภาพที่รับชมได้เพลินๆ หรือเอาไว้แก้เบื่อแก้เลี่ยนงานอื่นๆได้เสมอครับ ^^

ผู้เขียน C. Non

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

Movie Insurgent & เด็กรักหนัง


ชื่อสินค้า:   Anohana : The Flower We Saw That Day
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่