สืบเนื่องจากกระทู้
http://ppantip.com/topic/34133034 หลายความเห็นเราว่าสับสนระหว่างคำว่า discrimination กับ racism อีกคำคือ bully กระทู้เลยลากยาวแบบออกนอกเรื่องนอกราวไปซะเยอะ เพราะอคติคนตอบมาเต็ม แทนที่จะอิงตามความหมายที่แท้จริงทำให้เกิดการเข้าใจผิด
ความหมายของ discrimination จะกว้างกว่า racism เพราะมันหมายถึงการเลือกปฏิบัติโดยรวม ไม่ได้หมายถึงการเลือกปฏิบัติเฉพาะกับคนเผ่าพันธุ์หนึ่งแบบ racism และในประเทศไทยเหตุการณ์ที่เข้าข่าย discrimination แบบรุนแรงคือการต่อต้านชาวจีนในสมัยก่อนที่ห้ามเรียนโรงเรียนไทย ห้ามเรียนภาษาจีน เราเลยงงว่า การที่คนล้อกันเรื่องสีผิว มันไปเข้ากับนิยามตรงนี้ได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีใครเคยถูกห้ามเรียนหนังสือไม่ว่าผิวจะขาวหรือดำ ไม่มีใครถูกห้ามขึ้นรถเมล์ คนผิวคล้ำห้ามเรียนร่วมกับคนเชื้อสายจีนในปัจจุบัน มันยังมีหรือ ขอยกตัวอย่างชัดๆมาได้มั้ยคะ เห็นคนร้ายผิวคล้ำให้ยิงไว้ก่อน คนผิวขาวยิงคนตายให้รอลงอาญาไว้ มีด้วยเหรอ มีบางเหตุการณ์ที่เข้าข่ายนี้ที่เคยเกิดขึ้นกับสังคมไทย โดยเฉพาะลูกหลาน "คนรวย" แต่นั่นคือการเลือกปฏิบัติ "ระหว่างชนชั้น" เป็นสิ่งที่ไม่ถูกแต่ทุกประเทศมี ซึ่งไม่ใช่การเหยียดผิว ถึงแม้ลูกคนรวยส่วนใหญ่จะเชื้อจีนผิวขาวก็เถอะ
ที่เหยียดผิวจริงๆ ขอยกตัวอย่างหน่อย Dylan Roof ฆ่าคนดำตายไป 9 ศพ เด็กคนนี้ไปโพสในอินเทอร์เน็ตว่า มันเป็นสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ เขาจึงต้องฆ่า เลือกโบสถ์ในเมือง Charleston เพราะเป็นเมืองประวัติศาสตร์ของ Confederate อันนี้คือการเหยียดผิวค่ะ racism คือการมองไม่เห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์ เป็นคนละพวกที่ไม่มีทางมาสมานกันได้ racist comment ของฝรั่งแต่ละที ถ้าจะด่ากันจริงๆ ไม่ได้ด่าคนดำไปในเชิงว่าไม่สวยนะ แต่ด่าในเชิงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่ต่ำกว่า มนุษย์สายพันธุ์ทาส ขนาดนั้นเลย ไม่ได้มามองในแง่ความสวยเหมือนคนไทย ถ้ามองแบบคนไทย นาโอมิ แคมพ์เบลคงไม่ได้เกิด
ย้อนกลับมาที่เหตุการณ์ตามกระทู้ที่ยกตัวอย่าง โดยส่วนตัวแล้วมันเข้ากับคำว่า bully มากที่สุด คือการล้อเลียนปมด้อยของคนอื่น ซึ่งไม่ได้จำกัดเฉพาะสีผิว แต่ที่สีผิวเป็นประเด็นใหญ่ในสังคมไทย เพราะความชอบโดยรวมของสังคมไทยไปลงที่ความขาว ต่อให้หน้าเหียก ตาตี่ จมูกบี้ ถ้าขาวก็ยังมีคนชมว่าสวย คุณสมบัติอื่นๆที่ชอบเอามาล้อ ก็เช่น อ้วน หัวล้าน เด็กเนิร์ด เหยิน 9ล9 ซึ่งการล้อเลียนแบบนี้ ในสังคมฝรั่งก็มีซึ่งแยกต่างหากจากการเหยียดผิว เพราะเด็กผิวขาวโดนล้อจนฆ่าตัวตายกันก็เยอะ แต่คนอ้วน หัวล้าน ฟันเหยิน ไม่เคยถูกไล่ที่ให้ไปอยู่ในที่เดียวกันห้ามเกี่ยวข้องกับคนอื่นเหมือนที่การเหยียดผิวกระทำต่อกัน ค่าเทอมก็ไม่ได้ถูกบังคับให้จ่ายแพงกว่าคนอื่นๆ เราเลยมองว่ากระทู้นั้นแค่หัวกระทู้ก็มั่วแล้ว คนตอบมีอคติก็ใส่ไฟเข้าไปใหญ่ เราไม่ได้มองว่าการเลือกปฏิบัติ การเหยียดผิว การล้อเลียนคนอื่นเป็นสิ่งที่ดี แต่บางทีการใช้คำผิด มันก่อให้เกิดความเข้าใจผิดที่รุนแรงมากกว่าความเป็นจริง คุณลองจินตนาการดูสิ มีคนมาบอกคุณว่า คนไทยเป็นพวกชอบล้อเลียนคนอื่น กับ คนไทยเป็นพวกเหยียดผิว แบบไหนมันให้ความรู้สึกในเชิงลบมากกว่ากัน
ถ้าจั่วหัวกระทู้ว่าทำไมคนไทยชอบล้อเลียนคนอื่น พอรับได้นะ แต่มาว่าคนไทยเหยียดผิวนี่ ผิดความหมายไปไกลเลย แถมไม่ได้เข้าข่ายการเลือกปฏิบัติอีกด้วย เขาล้อคุณมา คุณล้อเขากลับ แค่กฎหมายหมิ่นประมาทก็เอาอยู่แล้วค่ะ เคสนี้ ไม่ต้องกฎหมายเหยียดผิวเฉพาะเจาะจงขนาดนั้น แต่จะมีใครรับฟ้องหรือไม่ อันนี้ไม่ทราบ
ปล. ที่มาตั้งกระทู้เพราะไม่ได้ลงทะเบียนค่ะ แต่ทนเห็นความมั่วไม่ได้ก็เลยจัดซะหน่อย
รู้สึกว่าคนไทยควรอ่านหนังสือโดยเฉพาะ ดิกชันนารีให้เยอะขึ้น จากกระทู้ http://ppantip.com/topic/34133034
ความหมายของ discrimination จะกว้างกว่า racism เพราะมันหมายถึงการเลือกปฏิบัติโดยรวม ไม่ได้หมายถึงการเลือกปฏิบัติเฉพาะกับคนเผ่าพันธุ์หนึ่งแบบ racism และในประเทศไทยเหตุการณ์ที่เข้าข่าย discrimination แบบรุนแรงคือการต่อต้านชาวจีนในสมัยก่อนที่ห้ามเรียนโรงเรียนไทย ห้ามเรียนภาษาจีน เราเลยงงว่า การที่คนล้อกันเรื่องสีผิว มันไปเข้ากับนิยามตรงนี้ได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีใครเคยถูกห้ามเรียนหนังสือไม่ว่าผิวจะขาวหรือดำ ไม่มีใครถูกห้ามขึ้นรถเมล์ คนผิวคล้ำห้ามเรียนร่วมกับคนเชื้อสายจีนในปัจจุบัน มันยังมีหรือ ขอยกตัวอย่างชัดๆมาได้มั้ยคะ เห็นคนร้ายผิวคล้ำให้ยิงไว้ก่อน คนผิวขาวยิงคนตายให้รอลงอาญาไว้ มีด้วยเหรอ มีบางเหตุการณ์ที่เข้าข่ายนี้ที่เคยเกิดขึ้นกับสังคมไทย โดยเฉพาะลูกหลาน "คนรวย" แต่นั่นคือการเลือกปฏิบัติ "ระหว่างชนชั้น" เป็นสิ่งที่ไม่ถูกแต่ทุกประเทศมี ซึ่งไม่ใช่การเหยียดผิว ถึงแม้ลูกคนรวยส่วนใหญ่จะเชื้อจีนผิวขาวก็เถอะ
ที่เหยียดผิวจริงๆ ขอยกตัวอย่างหน่อย Dylan Roof ฆ่าคนดำตายไป 9 ศพ เด็กคนนี้ไปโพสในอินเทอร์เน็ตว่า มันเป็นสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ เขาจึงต้องฆ่า เลือกโบสถ์ในเมือง Charleston เพราะเป็นเมืองประวัติศาสตร์ของ Confederate อันนี้คือการเหยียดผิวค่ะ racism คือการมองไม่เห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์ เป็นคนละพวกที่ไม่มีทางมาสมานกันได้ racist comment ของฝรั่งแต่ละที ถ้าจะด่ากันจริงๆ ไม่ได้ด่าคนดำไปในเชิงว่าไม่สวยนะ แต่ด่าในเชิงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่ต่ำกว่า มนุษย์สายพันธุ์ทาส ขนาดนั้นเลย ไม่ได้มามองในแง่ความสวยเหมือนคนไทย ถ้ามองแบบคนไทย นาโอมิ แคมพ์เบลคงไม่ได้เกิด
ย้อนกลับมาที่เหตุการณ์ตามกระทู้ที่ยกตัวอย่าง โดยส่วนตัวแล้วมันเข้ากับคำว่า bully มากที่สุด คือการล้อเลียนปมด้อยของคนอื่น ซึ่งไม่ได้จำกัดเฉพาะสีผิว แต่ที่สีผิวเป็นประเด็นใหญ่ในสังคมไทย เพราะความชอบโดยรวมของสังคมไทยไปลงที่ความขาว ต่อให้หน้าเหียก ตาตี่ จมูกบี้ ถ้าขาวก็ยังมีคนชมว่าสวย คุณสมบัติอื่นๆที่ชอบเอามาล้อ ก็เช่น อ้วน หัวล้าน เด็กเนิร์ด เหยิน 9ล9 ซึ่งการล้อเลียนแบบนี้ ในสังคมฝรั่งก็มีซึ่งแยกต่างหากจากการเหยียดผิว เพราะเด็กผิวขาวโดนล้อจนฆ่าตัวตายกันก็เยอะ แต่คนอ้วน หัวล้าน ฟันเหยิน ไม่เคยถูกไล่ที่ให้ไปอยู่ในที่เดียวกันห้ามเกี่ยวข้องกับคนอื่นเหมือนที่การเหยียดผิวกระทำต่อกัน ค่าเทอมก็ไม่ได้ถูกบังคับให้จ่ายแพงกว่าคนอื่นๆ เราเลยมองว่ากระทู้นั้นแค่หัวกระทู้ก็มั่วแล้ว คนตอบมีอคติก็ใส่ไฟเข้าไปใหญ่ เราไม่ได้มองว่าการเลือกปฏิบัติ การเหยียดผิว การล้อเลียนคนอื่นเป็นสิ่งที่ดี แต่บางทีการใช้คำผิด มันก่อให้เกิดความเข้าใจผิดที่รุนแรงมากกว่าความเป็นจริง คุณลองจินตนาการดูสิ มีคนมาบอกคุณว่า คนไทยเป็นพวกชอบล้อเลียนคนอื่น กับ คนไทยเป็นพวกเหยียดผิว แบบไหนมันให้ความรู้สึกในเชิงลบมากกว่ากัน
ถ้าจั่วหัวกระทู้ว่าทำไมคนไทยชอบล้อเลียนคนอื่น พอรับได้นะ แต่มาว่าคนไทยเหยียดผิวนี่ ผิดความหมายไปไกลเลย แถมไม่ได้เข้าข่ายการเลือกปฏิบัติอีกด้วย เขาล้อคุณมา คุณล้อเขากลับ แค่กฎหมายหมิ่นประมาทก็เอาอยู่แล้วค่ะ เคสนี้ ไม่ต้องกฎหมายเหยียดผิวเฉพาะเจาะจงขนาดนั้น แต่จะมีใครรับฟ้องหรือไม่ อันนี้ไม่ทราบ
ปล. ที่มาตั้งกระทู้เพราะไม่ได้ลงทะเบียนค่ะ แต่ทนเห็นความมั่วไม่ได้ก็เลยจัดซะหน่อย