สวัสดีค่าาา สาวๆทุกคน <3
วันนี้แอบมาเต๊าะไอดีคุณเพื่อน มารีวิวของดีน่าโดน
เนื่องจากบล็อกของเค้ามันเกิดอาการอัพไม่ได้กระทันหัน แง๊ !!!
แนะนำตัวกันก่อนน้าาา เค้าชื่อโดนัทนะคะ ยินดีที่ได้รู้จักเพื่อนๆทุกคนเลย
ครั้งนี้นัทก็จะขอชวนเพื่อนๆมาคุยกันถึงเรื่องที่เรียกได้ว่าเป็นฐานของการแต่งหน้าเลย
นั่นก็คือ " รองพื้น " นั่นเองงงงง เย้ !!
***เริ่มจากผิวหน้าที่นัทต้องการคือ >> ติดทนนาน , ควบคุมความมัน , ทนร้อน ทนเหงื่อ
,ไม่อุดตัน , สีที่ผ่องเข้ากับเรามากที่สุด , ปกปิดปานกลาง
ซึงแต่เดิมเนี่ย นัทได้เจอตัวที่ตอบโจทย์นัทแล้วนั่นก็คือตัว Laura Mercier Smooth Finish Flawless Fluid
เรียกกันติดปากก็คือลอร่าสูตรฟลูอิดนั่นเอง หลังจากที่ได้ทำรีวิว (แบบไม่ละเอียด)ไปก็ได้ลงทะเบียนกับทาง Laura Mercier
ลุ้นเป็นผู้โชคดีรับรองพื้นขนาดเต็มอีกสูตรหนึ่ง ( Silk Crème Oil Free Photo Edition Foundation )
ซึ่งเป็นสูตรที่ปกปิดขั้นสุดของเค้ามาลอง ก็ไปรับมาเองกับมือเลยค่ะ ซึ่งวันนี้นัทก็จะจับเจ้าสองตัวนี้มาประชันกันค่ะ
เอาให้รู้กันไปเลยว่า แต่ละตัวเหมาะกับสภาพผิวแบบไหน เนื้อสัมผัสเป็นไง
ผู้ใดควรได้ครอบครองเจ้ารองพื้นสองตัวนี้ (เวอร์ไปนะแก) ไปชมกันก๊าาาาา
สารบัญ
มหากาพย์รีวิวรองพื้นแบบไตรภาค (เวอร์ไปมั้ยแก)
รีวิวนี้แบ่งเป็น 3 ช่วง
ช่วงแรก รีวิว+Demo Silk Crème Oil Free Photo Edition Foundation
ช่วงสอง รีวิว+Demo Laura Mercier Smooth Finish Flawless Fluid
ช่วงสุดท้าย เปรียบเทียบและทดสอบการปกปิดของทั้งสองรุ่น
เลือกชมกันตามอาธยาศัยเลยนะคะ ^_^
ขอขอบคุณพี่ๆ BA ใจดีที่ถ่ายรูปให้นัทนะคะ ^_^
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทาง Laura Mercier นะคะ ที่ให้รองพื้นขนาดเต็มมาลอง
จะบอกว่าดีใจมากๆเลย ได้รีวิวของสวมบทบาทเป็นบล็อคเกอร์ รู้สึกตื่นเต้นสุดๆเลยค่ะ
ว่าแล้วก็ไปดูของที่อยู่ในถุงใบน้อยใบนั้นกันเถอะ
ของที่ทาง Laura Mercier ให้มานะคะ หลักๆก็จะประกอบไปด้วย
1. Laura Mercier Silk Crème Oil Free Photo Edition Foundation
2.ฟองน้ำ 1 คู่ (แกะใช้ไปแล้ว แหะๆ)
3.แผ่นข้อมูลของเจ้ารองพื้นตัวนี้ค่ะ
ช่วงแรก พับกบ เอ๊ย พบกับเจ้าบ้านของเรานะคะ แท่น แท่น แท๊นนนน
Silk Crème Oil Free Photo Edition Foundation - 1,950 ฿
ซึ่งคำเคลมของเจ้ารองพื้นตัวนี้ก็คือ... เป็นรองพื้นที่คุณ Laura Mercier เลือกใช้ในการแต่งหน้านางแบบและเหล่า Celebrities ต่างๆ
เพื่อให้ผิวสวย เนียนไร้ที่ติแบบไม่ต้องรีทัช ไม่ต้องพึ่ง appแต่งรูปกันเลยทีเดียว ให้สาวๆพร้อมเจอปาปารัซซี่
หรือไม่ว่าจะออกสือต่างๆ สวยเป๊ะตลอดวันไม่ว่าจะเจอแสงไฟแสงแฟลช ให้ลุคที่สวยเป๊ะเหมือนนางแบบบน cat walk
แต่ยังคงความสบายผิว ไม่หนาหรือหนักจนเกินไปสวยทนนานตลอดวัน
มี 2 สูตรให้เลือกคือ 1.สูตร Oil free เป็นลุคแบบ Natural matte finish และ
2.สูตร Moisturizing สำหรับผิวแห้งจะได้ลุคโกลวๆ Luminous finish
Key Benefits
- Long wearing : ติดทนนาน 12 ชม. แต่ยังคงสบายผิวตลอดทั้งวัน
- Intensely pigmented : เม็ดสีเข้มข้น ปกปิดขั้นสูงสุด อำพรางได้ทุกจุดบกพร่อง
- Photo-ready finish : ออกแบบมาเพื่อการแต่งหน้าที่เพอร์เฟค โดยเฉพาะโอกาสพิเศษต่างๆ พร้อมออกกล้องเสมอ
ไม่ต้องพึ่งแอป 720 กันเลยทีเดียว (กรี๊สสสสสส)
ด้านบนนี้จะเป็นเฉดสีของรองพื้นสูตร Silk (ขออนุญาตเรียกสั้นๆเพื่อความเข้าใจง่ายนะคะ) นัทถ่ายมาจากแผ่นข้อมูล
เพราะว่าหาในอากู๋แล้วไม่เจอตัวที่บอกอันเดอร์โทนด้วย สำหรับนัทนัทใช้สี Medium Ivory ค่ะ เพราะตัวนัทเป็นคนผิวจะออกโทนเหลือง
นั่นก็คือ Warm นั่นเอง ตัวนี้จะสว่างกว่าหน้าไป1เฉดนะคะ เพราะว่าเวลาใช้จะปัดแป้งผสมรองพื้นที่พอดีผิวทับ
ไหนจะเฉดดิ้งอีกก็คงดรอปพอผ่องๆ ขอแนะนำว่าสาวๆควรเลือกสีที่เหมาะกับอันเดอร์โทนของตัวเองนะคะ
เพราะว่าถ้าเลือกผิดโทนหน้าอาจจะมีอาการหน้าเทาได้ (เหมือนนัทสมัยแต่งหน้าแรกๆ T^T)
วิธีการดูอันเดอร์โทนของเรานั้นดูไม่ยากเลยค่ะ นั่นก็คือให้สาวๆสังเกตุเส้นเลือดบนใบหน้าของคุณนะคะ
แล้วก็ดูว่ามันเป็นสีออกม่วงหรือเขียว ถ้าเขียวเนี่ยแสดงว่าเป็นอันเดอร์โทนเหลือง
แต่ถ้าม่วงจะเป็นคนอันเดอร์โทนชมพู (Cool) ถ้ามีทั้งสองสีแสดงว่าเป็นอันเดอร์โทรกลางค่ะ (Neutral)
ถ้าใครที่สังเกตุบนใบหน้าไม่ชัด ลองพลิกข้อมือของคุณมาดูก็ได้ค่ะ ^_^
เรามาลองเทสต์เนื้อรองพื้นกันดีกว่าค่ะ!!!
ก่อนจะเขย่าขวดแนะนำว่าให้เปิดฝาออกมาแล้วอุดรูไว้แล้วค่อยเขย่านะคะ เพราะว่าถ้าเราเขย่าแบบปกติคว่ำลง
อาจจะหกเลอะมาที่ฝาได้ค่ะ จะทำให้เปลืองรองพื้นนะคะ
ลองบีบออกมาดูเนื้อสัมผัสกันนะคะ ว่าตัวนี้จะฟินขนาดไหน ><
แสงตอนกลางวันค่ะ ตามนี้เป๊ะๆเลย
เกลี่ยๆ
เกลี่ยเสร็จเรียบร้อย !! ปกปิดเส้นเลือดเขียวๆของเรามิดเลย
>>> สำหรับตัวนี้นะคะ ต้องขอบอกเลยว่า เค้าทำได้อย่างที่เค้าเคลมไว้จริงๆ คือเนื้อสัมผัสเค้าตอนแรกดูเหมือนจะหนาไปนิดนึง
แต่พอเกลี่ยเสร็จปุ๊บ โอ้โห!! ทำไมมัน flawless อย่างนี้ เลอค่า เนียนสมคำร่ำลือจริงๆค่ะ คือเค้าสามารถปกปิดรอยดำ รอยแดง
และที่สำคัญนางปิดแพนด้าน้อยได้ด้วยจ้าาาาา คือใช้ตัวนี้แล้วเราไม่ใช้คอนซีลเลอร์นะ ใช้แท๊ปๆๆเพิ่มเอา
อ้อ รองพื้นตัวนี้ต้องเกลี่ยไวๆนิดนึงนะคะ เพราะว่าเค้าจะไม่มีน้ำมันผสมอยู่
ส่วนตัวคิดว่าใช้ฟองน้ำจะให้ฟินิชลุคที่เบาบางและเนียนกว่าใช้มือมากๆเลยค่ะ สูตรที่นัทเลือกจะเป็นสูตร Oil free
คือเป็นลุคแบบแมทฟินิช แต่ถามว่าแมทมากจนหน้าชั้นแห้งมั้ย ก็ตอบเลยว่าไม่ เค้าแมทแบบยังคงความฉ่ำไว้อยู่
คือไม่ต้องปัดแป้งฝุ่นตามก็ได้นะจริงๆ นางเอาอยู่ทั้งวัน ส่วนตัวเราคิดว่าจะใช้ในวันที่อยากหน้าเป๊ะ ไปงานกลางคืนนี้ยิ่งสวยเลย
แต่ถ้าแต่งไปเรียนนี่อาจจะดูเยอะไปหน่อย แต่ถ้าใครอยากแต่งเอาทน แนะนำเลยค่ะ คุมมันกันยาวๆ 12 ชม.ไหวจริง ลองมาแล้วววววว !!!
ตัวนี้เลิฟเลย เอาไป 9.5/10 !!! หักไปนิดนึง คือยังรู้สึกว่าต้องล้างหน้าดีจริงๆถึงจะรอดจากพี่สิวนะจ๊ะ
คือสักประมาณ 2 รอบถึงจะออกหมดนะ ด้วยความที่นางปกปิดแบบ Full coverage ไง ไม่งั้นสิวอุดตันจะมาเยือนนะก๊ะ
เข้าสู่ช่วงที่สอง ช่วงของผู้ท้าชิงนะคะ นั่นก็คื๊ออออ....
Smooth Finish Flawless Fluide - 1,790 ฿
ถ่ายคู่กับเจ้าบ้านซะหน่อย ขวดซ้ายมือนะคะ
ตัวนี้เป็นเฉดสีที่ก็อบมาจากอากู๋นะคะ ส่วนตัวนัทใช้ Macadamia ค่า
ตัวนี้เป็นตัวที่เค้าเคลมไว้ว่าบางเบา และติดทนนานค่ะ เป็นตัวที่ออกมาก่อนตัวครีมได้แป๊บเดียว
เป็นตัวที่เราซื้อมาแล้วรีวิวไปครางที่แล้งคร่าวๆ วันที่เราจะมารีวิวเบื้องลึกเบื่องหลังกันให้ดูนะคะ
เริ่มจากเขย่าและบีบก่อนเลยยยย
เหมือนเดิมค่ะ เปิดฝาออกมา จับตั้ง แล้วค่อยเขย่านะคะ ตัวนี้เขย่านานๆหน่อยนะคะเพราะเค้าเป็นรองพื้นสูตรน้ำ
เวลาเราตั้งทิ้งไว้เค้าจะแยกชั้นกัน เขย่านานๆไปเลยค่า อ้อ แน่นอนว่าเวลาเก็บแนะนำให้วางหงายเอาฝาขึ้นบนนะคะ
จะได้ไม่เกิดอาการไหลเลอะฝารองพื้นค่ะ
บีบออกมาเลยจ้าาา
เนื้อเค้าจะบางเบาและมีความวาวในตัวนะคะ ดูเหมือนจะโปร่งแสงแต่ความพิกเม้นท์แน่นมากๆเลยค่ะ
เกลี่ยเสร็จแล้วค่า ปกปิดดีเหมือนกันนะเนี่ย
ตัวนี้เป็นตัวที่ได้รับสปอนเซอร์มาจาก "คุณพ่อ" นั่นเองง !!!! 5555 แหม๋ มันสปอนเซอร์ตรงไหน
ตัวนี้ที่นัทสัมผัสได้คือจุดเด่นของเค้าจะอยู่ที่ความบางเบาและสบายผิว แต่ยังคงคุมความมันและติดทนนานอยู่ (6-8 ชม.)
แต่จะไม่เท่าตัวครีม แน่นอนว่าตัวฟลูอิดนี้จะมีการปกปิดที่น้อย-ปานกลาง เรียกได้ว่าเป็นตัวน้องของตัวครีมเลย
ตัวนี้จะปิดได้แค่รอยเล็กๆนะคะ จะไม่สามารถอำพรางรอยสิวดำๆและหมีแพนด้าของนัทไม่ได้น้า ต้องพึ่งคอนซีลเลอร์เลย
แต่ถ้ารอยแดงๆละก็เอาอยู่ค่ะ ส่วนตัวคิดว่าสามารถ built ได้ถึงการปกปิดขั้นสุด แต่ว่าปิดแพนด้าไม่ได้จริงๆ
คือเราคิดว่าตัวนี้เนี่ยเหมาะสำหรับจะเป็น Every day look และวัยใสแต่งไปเรียนมหาลัยอย่างนี้ได้นะ
เพราะว่าเค้าให้ฟินิชทีวาวปานกลางเป็นธรรมชาติ เฟรนด์ลี่กับทั้งสาวหน้าแห้งและสาวหน้ามัน ไม่หลุด
หรือดรอประหว่างวัน ปลื้มมม แต่ข้อเสียคือแต่งออกงานกลางคืนอาจจะไม่ไหวนะ ไปไม่ถึงขั้นนั้น คือถ้ากลางวันนี่ยังรอดอยู่
แต่งานกลางคืนจัดตัวครีมไปเลยจ้าาาา
ที่1 ในใจ เอาไปเลย 9.8/10 ค่า ขอหักตรงแพคเกจนิดนึงน้า เลอะตรงฝานิดหน่อย ถ้าปรับได้จะเพอร์เฟคที่สุด
เข้า
สู่ช่วงสุดท้ายแล้วนะคะ นั่นก็คือ เปรียบเทียบและทดสอบ
บีบและเกลี่ยกันให้เห็นจะจะไปเลย ว่าเนื้อต่างกันอย่างไร
เพื่อให้เพื่อนๆตัดสินใจได้ดีที่สุดจ้าา
เปรียบเทียบ
บีบออกมาเลย!! เพื่อนๆจะสังเกตุได้ว่าตัวฟลูอิดจะมี Texture ที่เหลวกว่า ส่วนตัวครีมจะดูหนืดกว่า
เกลี่ยให้เห็นเนื้อกันแบบเน้นๆ !! เห็นได้ชัดเลยว่าฝั่งของครีมจะข้นกว่านะคะ ส่วนฝั่งฟลูอิดความจริงแล้วดูมีความวาวมากกว่า
เนื้อของเค้าจะดูโปร่งแสงกว่า เกลี่ยง่ายกว่าเพราะเป็นรองพื้นสูตรน้ำ
ทดสอบประสิทธิภาพการปกปิด
นัทจะเอาลิปสติกและอายไลเนอสีน้ำตาลและสีดำมาจำลองเป็น กระ รอยดำ และรอยแดงนะคะ
ด้านซ้ายจะเป็นตัวฟลูอิด ส่วนด้านขวาเป็นตัวครีมค่า
บีบลงไปเลย!! อุ่ยยยย บีบฟลูอิดเยอะไปหน่อย แง๊!!!
ผลที่ได้ค่า ทั้งฟลูอิดและครีมกริ๊บเหมือนกันเลย แต่ว่าครีมเหลือรอยดำนิดหน่อย เนื่องจากบีบน้อยไป
แต่เพื่อผลลัพธ์เราก็จะไม่เติม ให้ดูกันจะจะไปเลยว่าที่บีบมานั้น สามารถปกปิดได้ถึงเพียงนี้ !!!!!
สรุป
ส่วนตัวนัทคิดว่าถ้าใครชอบแบบปกปิดเนียนกริ๊บ ออกงานบ่อยๆ ต้องอยู่หน้ากล้องพบเจอแสงแฟลช แนะนำให้ใช้ตัวครีมนะคะ
ส่วนใครที่ชอบแบบสบายๆ ไม่ต้องปกปิดมาก ไปเรียนไปทำงานที่ไม่ต้องลุยมากก็แนะนำเป็นฟลูอิดค่ะ สวยเบาๆ
ทั้งนี้ก็อยู่ที่ไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนเนอะ ว่าชอบแบบไหน
ส่วนตัวนัทชอบฟลูอิดมากกว่าเพราะตัวนัทเองไม่ได้ออกงานหรือต้องการการปกปิดมากนัก
เพื่อนๆเลือกแบบไหนก็มาคอมเม้นท์บอกนัทบ้างนะ ^_^
ลากันไปด้วย Look นู้ดเรียบร้อยๆ ด้วยรองพื้น
Laura Mercier Silk Crème Oil Free Photo Edition Foundation นะคะ
ชอบกดไลค์ ใช่กดแชร์เลยนะก๊ะ !! สำหรับวันนี้ขอบคุณทุกคนมากๆค่า
xoxo <3
FB : Thanatchaporn Hoontongkum
[SR] รีวิวเจาะลึก!!!! *รองพื้น Laura Mercier ทั้งสองสูตร* เปรียบเทียบกันจะๆ ตัวไหนเหมาะกับคุณ มาดูกัน :) by Doughnut
สวัสดีค่าาา สาวๆทุกคน <3
วันนี้แอบมาเต๊าะไอดีคุณเพื่อน มารีวิวของดีน่าโดน
เนื่องจากบล็อกของเค้ามันเกิดอาการอัพไม่ได้กระทันหัน แง๊ !!!
แนะนำตัวกันก่อนน้าาา เค้าชื่อโดนัทนะคะ ยินดีที่ได้รู้จักเพื่อนๆทุกคนเลย
ครั้งนี้นัทก็จะขอชวนเพื่อนๆมาคุยกันถึงเรื่องที่เรียกได้ว่าเป็นฐานของการแต่งหน้าเลย
นั่นก็คือ " รองพื้น " นั่นเองงงงง เย้ !!
,ไม่อุดตัน , สีที่ผ่องเข้ากับเรามากที่สุด , ปกปิดปานกลาง
ซึงแต่เดิมเนี่ย นัทได้เจอตัวที่ตอบโจทย์นัทแล้วนั่นก็คือตัว Laura Mercier Smooth Finish Flawless Fluid
เรียกกันติดปากก็คือลอร่าสูตรฟลูอิดนั่นเอง หลังจากที่ได้ทำรีวิว (แบบไม่ละเอียด)ไปก็ได้ลงทะเบียนกับทาง Laura Mercier
ลุ้นเป็นผู้โชคดีรับรองพื้นขนาดเต็มอีกสูตรหนึ่ง ( Silk Crème Oil Free Photo Edition Foundation )
ซึ่งเป็นสูตรที่ปกปิดขั้นสุดของเค้ามาลอง ก็ไปรับมาเองกับมือเลยค่ะ ซึ่งวันนี้นัทก็จะจับเจ้าสองตัวนี้มาประชันกันค่ะ
เอาให้รู้กันไปเลยว่า แต่ละตัวเหมาะกับสภาพผิวแบบไหน เนื้อสัมผัสเป็นไง
ผู้ใดควรได้ครอบครองเจ้ารองพื้นสองตัวนี้ (เวอร์ไปนะแก) ไปชมกันก๊าาาาา
มหากาพย์รีวิวรองพื้นแบบไตรภาค (เวอร์ไปมั้ยแก)
รีวิวนี้แบ่งเป็น 3 ช่วง
ช่วงแรก รีวิว+Demo Silk Crème Oil Free Photo Edition Foundation
ช่วงสอง รีวิว+Demo Laura Mercier Smooth Finish Flawless Fluid
ช่วงสุดท้าย เปรียบเทียบและทดสอบการปกปิดของทั้งสองรุ่น
เลือกชมกันตามอาธยาศัยเลยนะคะ ^_^
ขอขอบคุณพี่ๆ BA ใจดีที่ถ่ายรูปให้นัทนะคะ ^_^
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทาง Laura Mercier นะคะ ที่ให้รองพื้นขนาดเต็มมาลอง
จะบอกว่าดีใจมากๆเลย ได้รีวิวของสวมบทบาทเป็นบล็อคเกอร์ รู้สึกตื่นเต้นสุดๆเลยค่ะ
ว่าแล้วก็ไปดูของที่อยู่ในถุงใบน้อยใบนั้นกันเถอะ
ของที่ทาง Laura Mercier ให้มานะคะ หลักๆก็จะประกอบไปด้วย
1. Laura Mercier Silk Crème Oil Free Photo Edition Foundation
2.ฟองน้ำ 1 คู่ (แกะใช้ไปแล้ว แหะๆ)
3.แผ่นข้อมูลของเจ้ารองพื้นตัวนี้ค่ะ
Silk Crème Oil Free Photo Edition Foundation - 1,950 ฿
ซึ่งคำเคลมของเจ้ารองพื้นตัวนี้ก็คือ... เป็นรองพื้นที่คุณ Laura Mercier เลือกใช้ในการแต่งหน้านางแบบและเหล่า Celebrities ต่างๆ
เพื่อให้ผิวสวย เนียนไร้ที่ติแบบไม่ต้องรีทัช ไม่ต้องพึ่ง appแต่งรูปกันเลยทีเดียว ให้สาวๆพร้อมเจอปาปารัซซี่
หรือไม่ว่าจะออกสือต่างๆ สวยเป๊ะตลอดวันไม่ว่าจะเจอแสงไฟแสงแฟลช ให้ลุคที่สวยเป๊ะเหมือนนางแบบบน cat walk
แต่ยังคงความสบายผิว ไม่หนาหรือหนักจนเกินไปสวยทนนานตลอดวัน
มี 2 สูตรให้เลือกคือ 1.สูตร Oil free เป็นลุคแบบ Natural matte finish และ
2.สูตร Moisturizing สำหรับผิวแห้งจะได้ลุคโกลวๆ Luminous finish
Key Benefits
- Long wearing : ติดทนนาน 12 ชม. แต่ยังคงสบายผิวตลอดทั้งวัน
- Intensely pigmented : เม็ดสีเข้มข้น ปกปิดขั้นสูงสุด อำพรางได้ทุกจุดบกพร่อง
- Photo-ready finish : ออกแบบมาเพื่อการแต่งหน้าที่เพอร์เฟค โดยเฉพาะโอกาสพิเศษต่างๆ พร้อมออกกล้องเสมอ
ไม่ต้องพึ่งแอป 720 กันเลยทีเดียว (กรี๊สสสสสส)
ด้านบนนี้จะเป็นเฉดสีของรองพื้นสูตร Silk (ขออนุญาตเรียกสั้นๆเพื่อความเข้าใจง่ายนะคะ) นัทถ่ายมาจากแผ่นข้อมูล
เพราะว่าหาในอากู๋แล้วไม่เจอตัวที่บอกอันเดอร์โทนด้วย สำหรับนัทนัทใช้สี Medium Ivory ค่ะ เพราะตัวนัทเป็นคนผิวจะออกโทนเหลือง
นั่นก็คือ Warm นั่นเอง ตัวนี้จะสว่างกว่าหน้าไป1เฉดนะคะ เพราะว่าเวลาใช้จะปัดแป้งผสมรองพื้นที่พอดีผิวทับ
ไหนจะเฉดดิ้งอีกก็คงดรอปพอผ่องๆ ขอแนะนำว่าสาวๆควรเลือกสีที่เหมาะกับอันเดอร์โทนของตัวเองนะคะ
เพราะว่าถ้าเลือกผิดโทนหน้าอาจจะมีอาการหน้าเทาได้ (เหมือนนัทสมัยแต่งหน้าแรกๆ T^T)
วิธีการดูอันเดอร์โทนของเรานั้นดูไม่ยากเลยค่ะ นั่นก็คือให้สาวๆสังเกตุเส้นเลือดบนใบหน้าของคุณนะคะ
แล้วก็ดูว่ามันเป็นสีออกม่วงหรือเขียว ถ้าเขียวเนี่ยแสดงว่าเป็นอันเดอร์โทนเหลือง
แต่ถ้าม่วงจะเป็นคนอันเดอร์โทนชมพู (Cool) ถ้ามีทั้งสองสีแสดงว่าเป็นอันเดอร์โทรกลางค่ะ (Neutral)
ถ้าใครที่สังเกตุบนใบหน้าไม่ชัด ลองพลิกข้อมือของคุณมาดูก็ได้ค่ะ ^_^
ก่อนจะเขย่าขวดแนะนำว่าให้เปิดฝาออกมาแล้วอุดรูไว้แล้วค่อยเขย่านะคะ เพราะว่าถ้าเราเขย่าแบบปกติคว่ำลง
อาจจะหกเลอะมาที่ฝาได้ค่ะ จะทำให้เปลืองรองพื้นนะคะ
ลองบีบออกมาดูเนื้อสัมผัสกันนะคะ ว่าตัวนี้จะฟินขนาดไหน ><
แสงตอนกลางวันค่ะ ตามนี้เป๊ะๆเลย
เกลี่ยๆ
เกลี่ยเสร็จเรียบร้อย !! ปกปิดเส้นเลือดเขียวๆของเรามิดเลย
>>> สำหรับตัวนี้นะคะ ต้องขอบอกเลยว่า เค้าทำได้อย่างที่เค้าเคลมไว้จริงๆ คือเนื้อสัมผัสเค้าตอนแรกดูเหมือนจะหนาไปนิดนึง
แต่พอเกลี่ยเสร็จปุ๊บ โอ้โห!! ทำไมมัน flawless อย่างนี้ เลอค่า เนียนสมคำร่ำลือจริงๆค่ะ คือเค้าสามารถปกปิดรอยดำ รอยแดง
และที่สำคัญนางปิดแพนด้าน้อยได้ด้วยจ้าาาาา คือใช้ตัวนี้แล้วเราไม่ใช้คอนซีลเลอร์นะ ใช้แท๊ปๆๆเพิ่มเอา
อ้อ รองพื้นตัวนี้ต้องเกลี่ยไวๆนิดนึงนะคะ เพราะว่าเค้าจะไม่มีน้ำมันผสมอยู่
ส่วนตัวคิดว่าใช้ฟองน้ำจะให้ฟินิชลุคที่เบาบางและเนียนกว่าใช้มือมากๆเลยค่ะ สูตรที่นัทเลือกจะเป็นสูตร Oil free
คือเป็นลุคแบบแมทฟินิช แต่ถามว่าแมทมากจนหน้าชั้นแห้งมั้ย ก็ตอบเลยว่าไม่ เค้าแมทแบบยังคงความฉ่ำไว้อยู่
คือไม่ต้องปัดแป้งฝุ่นตามก็ได้นะจริงๆ นางเอาอยู่ทั้งวัน ส่วนตัวเราคิดว่าจะใช้ในวันที่อยากหน้าเป๊ะ ไปงานกลางคืนนี้ยิ่งสวยเลย
แต่ถ้าแต่งไปเรียนนี่อาจจะดูเยอะไปหน่อย แต่ถ้าใครอยากแต่งเอาทน แนะนำเลยค่ะ คุมมันกันยาวๆ 12 ชม.ไหวจริง ลองมาแล้วววววว !!!
ตัวนี้เลิฟเลย เอาไป 9.5/10 !!! หักไปนิดนึง คือยังรู้สึกว่าต้องล้างหน้าดีจริงๆถึงจะรอดจากพี่สิวนะจ๊ะ
คือสักประมาณ 2 รอบถึงจะออกหมดนะ ด้วยความที่นางปกปิดแบบ Full coverage ไง ไม่งั้นสิวอุดตันจะมาเยือนนะก๊ะ
Smooth Finish Flawless Fluide - 1,790 ฿
ถ่ายคู่กับเจ้าบ้านซะหน่อย ขวดซ้ายมือนะคะ
ตัวนี้เป็นเฉดสีที่ก็อบมาจากอากู๋นะคะ ส่วนตัวนัทใช้ Macadamia ค่า
ตัวนี้เป็นตัวที่เค้าเคลมไว้ว่าบางเบา และติดทนนานค่ะ เป็นตัวที่ออกมาก่อนตัวครีมได้แป๊บเดียว
เป็นตัวที่เราซื้อมาแล้วรีวิวไปครางที่แล้งคร่าวๆ วันที่เราจะมารีวิวเบื้องลึกเบื่องหลังกันให้ดูนะคะ
เริ่มจากเขย่าและบีบก่อนเลยยยย
เหมือนเดิมค่ะ เปิดฝาออกมา จับตั้ง แล้วค่อยเขย่านะคะ ตัวนี้เขย่านานๆหน่อยนะคะเพราะเค้าเป็นรองพื้นสูตรน้ำ
เวลาเราตั้งทิ้งไว้เค้าจะแยกชั้นกัน เขย่านานๆไปเลยค่า อ้อ แน่นอนว่าเวลาเก็บแนะนำให้วางหงายเอาฝาขึ้นบนนะคะ
จะได้ไม่เกิดอาการไหลเลอะฝารองพื้นค่ะ
บีบออกมาเลยจ้าาา
เนื้อเค้าจะบางเบาและมีความวาวในตัวนะคะ ดูเหมือนจะโปร่งแสงแต่ความพิกเม้นท์แน่นมากๆเลยค่ะ
เกลี่ยเสร็จแล้วค่า ปกปิดดีเหมือนกันนะเนี่ย
ตัวนี้เป็นตัวที่ได้รับสปอนเซอร์มาจาก "คุณพ่อ" นั่นเองง !!!! 5555 แหม๋ มันสปอนเซอร์ตรงไหน
ตัวนี้ที่นัทสัมผัสได้คือจุดเด่นของเค้าจะอยู่ที่ความบางเบาและสบายผิว แต่ยังคงคุมความมันและติดทนนานอยู่ (6-8 ชม.)
แต่จะไม่เท่าตัวครีม แน่นอนว่าตัวฟลูอิดนี้จะมีการปกปิดที่น้อย-ปานกลาง เรียกได้ว่าเป็นตัวน้องของตัวครีมเลย
ตัวนี้จะปิดได้แค่รอยเล็กๆนะคะ จะไม่สามารถอำพรางรอยสิวดำๆและหมีแพนด้าของนัทไม่ได้น้า ต้องพึ่งคอนซีลเลอร์เลย
แต่ถ้ารอยแดงๆละก็เอาอยู่ค่ะ ส่วนตัวคิดว่าสามารถ built ได้ถึงการปกปิดขั้นสุด แต่ว่าปิดแพนด้าไม่ได้จริงๆ
คือเราคิดว่าตัวนี้เนี่ยเหมาะสำหรับจะเป็น Every day look และวัยใสแต่งไปเรียนมหาลัยอย่างนี้ได้นะ
เพราะว่าเค้าให้ฟินิชทีวาวปานกลางเป็นธรรมชาติ เฟรนด์ลี่กับทั้งสาวหน้าแห้งและสาวหน้ามัน ไม่หลุด
หรือดรอประหว่างวัน ปลื้มมม แต่ข้อเสียคือแต่งออกงานกลางคืนอาจจะไม่ไหวนะ ไปไม่ถึงขั้นนั้น คือถ้ากลางวันนี่ยังรอดอยู่
แต่งานกลางคืนจัดตัวครีมไปเลยจ้าาาา
ที่1 ในใจ เอาไปเลย 9.8/10 ค่า ขอหักตรงแพคเกจนิดนึงน้า เลอะตรงฝานิดหน่อย ถ้าปรับได้จะเพอร์เฟคที่สุด
บีบและเกลี่ยกันให้เห็นจะจะไปเลย ว่าเนื้อต่างกันอย่างไร
เพื่อให้เพื่อนๆตัดสินใจได้ดีที่สุดจ้าา
เปรียบเทียบ
บีบออกมาเลย!! เพื่อนๆจะสังเกตุได้ว่าตัวฟลูอิดจะมี Texture ที่เหลวกว่า ส่วนตัวครีมจะดูหนืดกว่า
เกลี่ยให้เห็นเนื้อกันแบบเน้นๆ !! เห็นได้ชัดเลยว่าฝั่งของครีมจะข้นกว่านะคะ ส่วนฝั่งฟลูอิดความจริงแล้วดูมีความวาวมากกว่า
เนื้อของเค้าจะดูโปร่งแสงกว่า เกลี่ยง่ายกว่าเพราะเป็นรองพื้นสูตรน้ำ
ทดสอบประสิทธิภาพการปกปิด
นัทจะเอาลิปสติกและอายไลเนอสีน้ำตาลและสีดำมาจำลองเป็น กระ รอยดำ และรอยแดงนะคะ
ด้านซ้ายจะเป็นตัวฟลูอิด ส่วนด้านขวาเป็นตัวครีมค่า
บีบลงไปเลย!! อุ่ยยยย บีบฟลูอิดเยอะไปหน่อย แง๊!!!
ผลที่ได้ค่า ทั้งฟลูอิดและครีมกริ๊บเหมือนกันเลย แต่ว่าครีมเหลือรอยดำนิดหน่อย เนื่องจากบีบน้อยไป
แต่เพื่อผลลัพธ์เราก็จะไม่เติม ให้ดูกันจะจะไปเลยว่าที่บีบมานั้น สามารถปกปิดได้ถึงเพียงนี้ !!!!!
สรุป
ส่วนตัวนัทคิดว่าถ้าใครชอบแบบปกปิดเนียนกริ๊บ ออกงานบ่อยๆ ต้องอยู่หน้ากล้องพบเจอแสงแฟลช แนะนำให้ใช้ตัวครีมนะคะ
ส่วนใครที่ชอบแบบสบายๆ ไม่ต้องปกปิดมาก ไปเรียนไปทำงานที่ไม่ต้องลุยมากก็แนะนำเป็นฟลูอิดค่ะ สวยเบาๆ
ทั้งนี้ก็อยู่ที่ไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนเนอะ ว่าชอบแบบไหน
ส่วนตัวนัทชอบฟลูอิดมากกว่าเพราะตัวนัทเองไม่ได้ออกงานหรือต้องการการปกปิดมากนัก
เพื่อนๆเลือกแบบไหนก็มาคอมเม้นท์บอกนัทบ้างนะ ^_^
ชอบกดไลค์ ใช่กดแชร์เลยนะก๊ะ !! สำหรับวันนี้ขอบคุณทุกคนมากๆค่า xoxo <3
FB : Thanatchaporn Hoontongkum