จากข้อความที่ได้รับมานี้
"ในเมื่อนักการเมืองออกมาค้านกันระงมขนาดนี้ แปลว่ามันไม่ดีกับนักการเมือง ดังนั้น มันจึงต้องดีกับบ้านเมืองและประชาชนแหงๆ เพราะที่ผ่านมาไม่ว่าจะมีรัฐธรรมนูญฉบับไหน อย่างไร นักการเมืองก็คดโกง เอาเปรียบ และทำร้ายบ้านเมืองกับประชาชนมาโดยตลอด"
เมื่ออ่านแล้ว จึงเข้าใจหลักการ สมอง สติปัญญา ความคิดแบบไทยว่าอะไรคือสาเหตุของความไม่พัฒนาของประเทศอันเป็นที่รักยิ่งนี้
ปัญหา "นักการเมืองโกง"ของประเทศนี้ พวกเขาพวกท่านพวกผู้หลักผู้ใหญ่ที่มองเห็นและไม่เห็น ไม่ได้พิจารณาความผิดในส่วนคำที่ว่า "โกง" แต่จะโยนความชั่วร้ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับประเทศชาติไปที่คำว่า "นักการเมือง"
แก้ปัญหาด้วยการกำจัดนักการเมือง ไม่ได้กำจัดการโกง ไล่ล่านักการเมืองกันไม่หยุดหย่อน
ทั้งที่ทุกคนรู้ว่าทุกวันนี้ก็ยังมีโกง แต่พอไม่มีนักการเมืองเรื่องการโกงก็ไม่เห็นจะเป็นปัญหา
เช่นเดียวกับ "ทักกี้เลว" ซึ่งไม่สามารถบรรยายแปลผลคำว่า "เลว" ออกมาได้ชัดเจนเป็นข้อเท็จจริง จึงโยนความเกลียดชังความชั่วร้ายไปที่คำว่าทักกี้ ส่งผลให้ ใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับทักกี้ ญาติพงศ์วงศา มิตรสหายพรรคพวกและผู้เกี่ยวข้อง ต้องมีความผิดกลายเป็นผู้ร้ายไปหมดโดยไม่จำเป็นต้องเห็นหน้ากันมาก่อน ไม่ต้องพิจารณาข้อมูลอื่นใดอะไรทั้งสิ้น
พวกเขาติดกับอยู่กับ "นาม" อยู่กับ "ชื่อ" ซึ่งส่งผลมากทางจิตวิทยาทำให้สติปัญญาสูญหายไปหมดได้เพียงนี้
จึงขอเสนอให้ยกเลิกการใช้คำว่า "นักการเมือง" ซึ่งมีรังสีความเลวร้ายติดอยู่ในคำศัพท์ โดยกระบวนการนี้ถูกโปรแกรมฝังไว้ในสมองของผู้ฟังล่วงหน้ามาเป็นเวลานาน ทำให้ผู้รับฟังคำศัพท์คำนี้ไม่ใช้สติปัญญาพิจารณาปัญหาได้อย่างถูกต้องตามข้อเท็จจริง
ควรนำคำอื่นมาใช้แทนคำว่านักการเมือง เช่น ผู้อาสาเป็นตัวแทนประชาชน ย่อว่า อทป
หรือ ผู้รับใช้ประชาชน ผรป
ยกเลิกคำว่า พรรคการเมือง เปลี่ยนเป็น พรรคผู้แทนประชาชน
หรือสมาชิกท่านใดจะเสนอบัญญัติคำใหม่ๆเพิ่มก็ได้
ลองเปลี่ยนสิ แรกๆจะมี...บางพวกที่ออกมาโวยวายว่า เปลี่ยนชื่อไปก็เลวเหมือนเดิม ไร้สาระ แต่ขอบอกว่า คำศัพท์มีผลทางจิตวิทยาจริงๆในประเทศนี้ ถ้าพวกเขาจะทำลายตัวแทนของประชาชน พวกเขาต้องใช้เวลาฝังโปรแกรมกับคำศัพท์ใหม่ที่มาแทนคำว่า นักการเมือง ต้องใช้เวลาชวนเชื่ออีกพอสมควรกว่าจะได้ผล
การเปลี่ยนคำเรียก จะแก้ปัญหาได้ส่วนหนึ่ง อย่างน้อยก็ในส่วนของอคติที่ติดกับคำศัพท์ ทำให้ผู้ฟังเหลือส่วนของสมองมากขึ้นที่จะใช้พิจารณาข้อเท็จจริงต่างๆที่เกิดขึ้น และสถานะของนักการเมืองที่จริงแล้ว ก็คือตัวแทนของประชาชนจริงๆ
วิธีแก้ปัญหานักการเมืองโกง
"ในเมื่อนักการเมืองออกมาค้านกันระงมขนาดนี้ แปลว่ามันไม่ดีกับนักการเมือง ดังนั้น มันจึงต้องดีกับบ้านเมืองและประชาชนแหงๆ เพราะที่ผ่านมาไม่ว่าจะมีรัฐธรรมนูญฉบับไหน อย่างไร นักการเมืองก็คดโกง เอาเปรียบ และทำร้ายบ้านเมืองกับประชาชนมาโดยตลอด"
เมื่ออ่านแล้ว จึงเข้าใจหลักการ สมอง สติปัญญา ความคิดแบบไทยว่าอะไรคือสาเหตุของความไม่พัฒนาของประเทศอันเป็นที่รักยิ่งนี้
ปัญหา "นักการเมืองโกง"ของประเทศนี้ พวกเขาพวกท่านพวกผู้หลักผู้ใหญ่ที่มองเห็นและไม่เห็น ไม่ได้พิจารณาความผิดในส่วนคำที่ว่า "โกง" แต่จะโยนความชั่วร้ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับประเทศชาติไปที่คำว่า "นักการเมือง"
แก้ปัญหาด้วยการกำจัดนักการเมือง ไม่ได้กำจัดการโกง ไล่ล่านักการเมืองกันไม่หยุดหย่อน
ทั้งที่ทุกคนรู้ว่าทุกวันนี้ก็ยังมีโกง แต่พอไม่มีนักการเมืองเรื่องการโกงก็ไม่เห็นจะเป็นปัญหา
เช่นเดียวกับ "ทักกี้เลว" ซึ่งไม่สามารถบรรยายแปลผลคำว่า "เลว" ออกมาได้ชัดเจนเป็นข้อเท็จจริง จึงโยนความเกลียดชังความชั่วร้ายไปที่คำว่าทักกี้ ส่งผลให้ ใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับทักกี้ ญาติพงศ์วงศา มิตรสหายพรรคพวกและผู้เกี่ยวข้อง ต้องมีความผิดกลายเป็นผู้ร้ายไปหมดโดยไม่จำเป็นต้องเห็นหน้ากันมาก่อน ไม่ต้องพิจารณาข้อมูลอื่นใดอะไรทั้งสิ้น
พวกเขาติดกับอยู่กับ "นาม" อยู่กับ "ชื่อ" ซึ่งส่งผลมากทางจิตวิทยาทำให้สติปัญญาสูญหายไปหมดได้เพียงนี้
จึงขอเสนอให้ยกเลิกการใช้คำว่า "นักการเมือง" ซึ่งมีรังสีความเลวร้ายติดอยู่ในคำศัพท์ โดยกระบวนการนี้ถูกโปรแกรมฝังไว้ในสมองของผู้ฟังล่วงหน้ามาเป็นเวลานาน ทำให้ผู้รับฟังคำศัพท์คำนี้ไม่ใช้สติปัญญาพิจารณาปัญหาได้อย่างถูกต้องตามข้อเท็จจริง
ควรนำคำอื่นมาใช้แทนคำว่านักการเมือง เช่น ผู้อาสาเป็นตัวแทนประชาชน ย่อว่า อทป
หรือ ผู้รับใช้ประชาชน ผรป
ยกเลิกคำว่า พรรคการเมือง เปลี่ยนเป็น พรรคผู้แทนประชาชน
หรือสมาชิกท่านใดจะเสนอบัญญัติคำใหม่ๆเพิ่มก็ได้
ลองเปลี่ยนสิ แรกๆจะมี...บางพวกที่ออกมาโวยวายว่า เปลี่ยนชื่อไปก็เลวเหมือนเดิม ไร้สาระ แต่ขอบอกว่า คำศัพท์มีผลทางจิตวิทยาจริงๆในประเทศนี้ ถ้าพวกเขาจะทำลายตัวแทนของประชาชน พวกเขาต้องใช้เวลาฝังโปรแกรมกับคำศัพท์ใหม่ที่มาแทนคำว่า นักการเมือง ต้องใช้เวลาชวนเชื่ออีกพอสมควรกว่าจะได้ผล
การเปลี่ยนคำเรียก จะแก้ปัญหาได้ส่วนหนึ่ง อย่างน้อยก็ในส่วนของอคติที่ติดกับคำศัพท์ ทำให้ผู้ฟังเหลือส่วนของสมองมากขึ้นที่จะใช้พิจารณาข้อเท็จจริงต่างๆที่เกิดขึ้น และสถานะของนักการเมืองที่จริงแล้ว ก็คือตัวแทนของประชาชนจริงๆ