ทำไมชอบฆ่าตัวตาย ที่คอนโด....คนอื่นเค้าลำบาก

กระทู้คำถาม
...
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 15
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่กิน zoloft (sertraline) ก่อนจะหยุดยา
เลยจะมาเล่าเรื่องที่ตัวเองเป็นโรคซึมเศร้าให้ฟังตามที่เคยบอกไว้
เริ่มจากวันที่ 1 ธันวาคม 2556 วันนั้นน้องชายเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์
ตอนนั้นผมเป็นแพทย์ประจำบ้านรังสีวินิจฉัยปีที่ 3 เดือนนั้นอยู่หน่วย ultrasound สูติศาสตร์
หลังจากงานศพน้องชาย ผมก็หายไปจากเฟซบุ๊ก ไม่ตั้งสเตตัสมาก ๆ เหมือนเคย

อาจารย์พนมสังเกตเห็น เลยแจ้งอาจารย์พิพัฒน์ หัวหน้าภาควิชารังสีให้สังเกตอาการ
ระหว่างสามสัปดาห์นั้น ใครที่เคยผ่านประสบการณ์ของโรคซึมเศร้าน่าจะเข้าใจดี
ไม่อยากกินอะไร อยากนอนบนเตียงนิ่ง ๆ
มีคนที่เป็นโรคซึมเศร้าคนหนึ่ง ตั้งกระทู้ในพันทิปแล้วใช้คำว่า "อยากนอนแล้วแห้งตายไปเลย"
ผมว่าเป็นวลีที่คนที่เป็นโรคซึมเศร้าทุกคนเข้าใจ

คิดอะไรวกไปวนมาอยู่ในหัว นอน ตื่น ไม่เป็นเวลา ไปทำงานตามปกติไม่ได้
น้ำหนักลดลง (ตอนนั้นผมน้ำหนักลดลง 6 กิโลกรัม)
แต่โชคร้ายตรงที่ผมอยู่หน่วย ultrasound สูติศาสตร์คนเดียว
เพื่อน ๆ เลยไม่ได้สังเกตเห็น ว่าผมผิดปรกติไป

จนกระทั่งผมมีความคิดฆ่าตัวตาย (suicidal idea) ผ่านเข้ามาในหัว
ผมจึงตัดสินใจว่า "ไม่ไหวแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ตายจริง ๆ แน่"
เลยปรึกษาอาจารย์พนม เพราะไม่แน่ใจว่าเป็นโรคซึมเศร้า หรือ adjustment disorder

หลังจากพบอาจารย์พนม อาจารย์ให้เริ่มยา sertraline 1 เม็ดก่อนนอน ร่วมกับ benzodiazepine ตัวหนึ่งก่อนนอน
เพื่อปรับเวลานอน และแนะนำให้ปรับพฤติกรรม
ตอนนั้นผมบอกเพื่อน ๆ เพื่อนสนิท เพื่อนแพทย์ประจำบ้านรังสีวิทยาในรุ่น รุ่นพี่ และอาจารย์ที่สนิทว่า
ผมเป็นโรคซึมเศร้าต้องเริ่มกินยา ทุกคนพยายามช่วยให้ผมดีขึ้น ด้วยวิธีการของตัวเอง

เพื่อนหลาย ๆ คนมา "ลาก" ผมจากเตียงเพื่อไปกินข้าว, รุ่นพี่คนหนึ่งเทียวรับส่ง ไปนั่งกินข้าว พาไปเที่ยวเล่นเป็นเพื่อน,
อาจารย์ท่านหนึ่งชวนผมไปกินข้าวเย็น เดินไปคุยไปตั้งแต่ foodland จรัญจนถึงโรงพยาบาลศิริราช ฯลฯ
ระหว่างสองถึงสามสัปดาห์ที่ผมเริ่มกินยา สิ่งที่พังไปเริ่มกลับมาตามลำดับ คือ อารมณ์, การนอน, และการกิน
ถึงตรงนี้ทำให้ผมปรับความคิดเรื่องโรคทางจิตเวชไปอย่างสิ้นเชิง

จริงอยู่ที่ตอนเรียนแพทย์ก็เรียนว่าความผิดปกติทางจิตเวชเกิดจากความผิดปรกติของสารสื่อประสาท
แต่พอได้ประสบเองว่า พอกินยาแล้วดีขึ้นจริง ตามลำดับที่อาจารย์พนมบอกไว้
ทำให้เชื่อว่าเป็นความผิดปรกติของสารสื่อประสาทจริง

เพื่อน ๆ หลาย ๆ คนอาจจะเคยเห็นว่าผมต่อต้านแนวคิดว่า
"คนฆ่าตัวตาย คนเป็นโรคซึมเศร้าเป็นคนบาป เป็นคนที่ไม่มีธรรมะ" เสมอ ๆ
ก็ด้วยเหตุผลในย่อหน้าข้างบนที่ผมประสบด้วยตัวของผมเองนั่นแหละ

หลังจากอารมณ์ผมดีขึ้น สามารถไปทำงานได้ตามปรกติหลังจากกินยาสามสัปดาห์
ก็เผชิญกับปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่งคือ งานวิจัยแพทย์ประจำบ้านของผมซึ่งต้องส่งปลายเดือนมกราคมยังทำไม่เสร็จ
ตอนนั้นราว ๆ ต้นเดือนมกราคม และในหัวผมก็ไม่อยากกลับไปเครียด กลับไปเศร้าเพราะเรื่องงานวิจัยอีก

จึงตัดสินใจแจ้งอาจารย์ที่ดูแลงานวิจัยของผมว่า ผมขอไม่ส่งงานวิจัย
(การไม่ส่งงานวิจัยหมายถึงไม่สามารถสอบบอร์ดเพื่อจบการเรียนแพทย์เฉพาะทางได้)
แล้วขอกลับไปทำงานที่ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ก่อนหนึ่งปี ระหว่างนั้นก็ทำงานวิจัยให้เสร็จไปด้วย
แล้วค่อยสอบบอร์ดปีต่อไปพร้อมรุ่นน้อง

ด้วยความกรุณาของอาจารย์รังสีวินิจฉัยหลาย ๆ ท่านโดยเฉพาะ อาจารย์ปิยาภรณ์ อาจารย์ทนงชัย
อาจารย์นิตยา อาจารย์ตรงธรรม และอาจารย์กายวิภาคศาสตร์หลาย ๆ ท่านโดยเฉพาะ อาจารย์เกรียงไกร อาจารย์ศิรินุช
อาจารย์ถาวรชัย อาจารย์จันทิมา ผมเลยได้เรียนต่อเฟลโลว์หนึ่งปีในสาขาภาพวินิจฉัยชั้นสูง
โดยทำงานภายใต้การดูแลของอาจารย์รังสีวินิจฉัย ทำงานวิจัยแล้วจึงไปสอบบอร์ดพร้อมกับรุ่นน้อง
เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และกลับมาทำงานในฐานะอาจารย์กายวิภาคทุกวันนี้

ผมได้เรียนรู้อะไรจากประสบการณ์หนึ่งปีเก้าเดือนที่เป็นโรคซึมเศร้าบ้าง ?
1. คนที่เป็นโรคซึมเศร้าไม่มีใครอยากเป็น ไม่มีใครอยากทรมาน ไม่มีใครอยากฆ่าตัวตาย
ที่เขามีความคิดแบบนี้เพราะความผิดปรกติของสารเคมีในสมอง ดังนั้นอย่าตำหนิ หรือกล่าวโทษเขา

2. คนหลาย ๆ คนพยายามช่วยคนที่เป็นโรคซึมเศร้าด้วยเจตนาดี แต่อาจจะไม่เข้าใจเลยทำให้เขาแย่ลงไปอีก
เปรียบเสมือนคนเป็นโรคซึมเศร้าเป็นปลาที่อยู่ใต้ทะเลลึก การพาเขาขึ้นมาบนผิวน้ำก็ทำให้เขาตายได้
ดังนั้นวิธีการที่ดีกว่าคือ การเข้าไปอยู่ข้าง ๆ เขาโดยที่ไม่พาเขาออกมาบนผิวน้ำ

3. คนหลาย ๆ คนวางตัวกับคนที่เป็นโรคซึมเศร้าไม่ถูก ว่าควรจะวางตัวอย่างไร ผมอยากแนะนำให้วางตัวตามปกติ
อย่ามองว่าเขาเป็นโรค ต้องปฏิบัติต่อเขาต่างจากคนอื่น เพราะยิ่งปฏิบัติต่อเขาผิดจากปฏิบัติต่อคนอื่นมากเท่าไร
เขาจะยิ่งรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอและคุณค่าน้อยกว่าคนอื่นมากยิ่งขึ้น

4. สำหรับคนที่เป็นโรคซึมเศร้า เมื่อดีขึ้นจากผลของยาแล้ว ต้องพยายามปรับพฤติกรรมด้วย
พยายามแบ่งเวลา หากิจกรรมที่ทำแล้วมีความสุข ออกกำลังกาย อ่านหนังสือ ฯลฯ
เพราะการทำกิจกรรมที่ง่าย ๆ แล้วประสบความสำเร็จ ทำให้เรามี self esteem เพิ่มขึ้น

5. ประการที่สำคัญ ต้องกินยาและไปติดตามการรักษาสม่ำเสมอ อย่าหยุดยาเอง อย่าขาดยา
เพื่อนผมคนหนึ่งเป็นโรคซึมเศร้าที่มี psychotic feature ร่วมด้วยก็ยังหายขาดได้ ดังนั้นอย่าขาดยาเด็ดขาด

สำหรับผมหวังว่าจะ full remission นะ จะได้ไม่ต้องกินยาอีก

Cr.Dr.Methee Ongsiriporn
ความคิดเห็นที่ 32
บางทีเรารู้คำตอบว่าอะไรยังไง
ไม่เห็นต้องสงสัยเลยคะ
จากการตอบของ จขกท เหมือนมาแซะมากกว่า

จะดี และ ดูมีวุฒิภาวะมากขึ้นคะ ถ้าใช้ภาษาไทยได้ถูกต้อง คัย* เกรียจ* ที่ไหนสอนมาเหรอคะ?

ไม่ได้สนับสนุนให้คนฆ่าตัวตายนะ
แต่คนจะตายอะ เค้าไม่มานั่งคิดถึงความเดือดร้อนของคนอื่นหรอก
ความคิดเห็นที่ 41
เราก็รู้สึกว่าจขกท.คอยตามจิกกัดตอบแทบจะทุกคห.เลย อยากจะตอบดีๆ แต่ก็เห็นแล้วว่าแม้แต่คห.ที่นำบทความที่ครอบคลุมชัดเจนจากประสบการณ์จริงมาให้ก็ยังมิวาย...

เอาเป็นว่าถ้าชีวิตคุณช่างสวยงามเกิดมาไม่เคยต้องเผชิญปัญหา ไม่เคยเครียดและกดดันสุดชีวิตถึงขนาดที่ตั้งคำถามกับตัวเอง "นี่เราจะมีชีวิตอยู่ไปทำไมวะถ้าต้องเจอแต่อะไรแบบนี้" เราก็ขอยินดีกับความโลกสวยนั้นด้วย เอาไว้วันไหนที่คุณมาถึงจุดนี้บ้าง ขอให้นึกถึงกระทู้นี้ว่าเคยทำพฤติกรรมน่ารังเกียจเอาไว้อย่างไรบ้างก็แล้วกันนะคะ
ความคิดเห็นที่ 26
อะไรก็ช่างนะครับ..แต่ขอแย้ง จขกท แค่เรื่องเดียว
ตรงที่บอกให้ไปบวชตลอดชีวิตอ่ะครับ

วัด..ไม่ใช่สถานที่ๆ เอาไว้หนีปัญหานะครับ
สมัยผมบวช พระอุปัชฌาย์ท่านเคยสอนไว้
คนที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนามีอยู่ 4 ประเภท
หลักลอย คอยงาน สังขารเสื่อม เลื่อมใสศรัทธา
จะดีที่สุดคือศรัทธาแล้วถึงบวชเข้ามาครับ
ไม่ใช่คิดอะไรไม่ออกก็บวชตลอดชีวิตจ้า

อมยิ้ม04
ความคิดเห็นที่ 36
ความตายเป็นเรื่องธรรมดานะคะ

ถนนที่เจ้าของกระทู้ผ่านไปทำงาน ตึกทุกตึกที่เดินผ่าน มีคนตายทั้งนั้น
เราเป็นเอธิสนะคะ แต่ชอบ quote ของพระพุทธเจ้าอันนึง เราจำไม่ได้แล้วว่ามาจากชาดกเรื่องอะไร แต่คร่าว ๆ น่าจะประมาณว่ามีแม่คนหนึ่ง ซึ่งลูกตาย.. มั้ง เลยไปขอให้พระพุทธเจ้าช่วยชุบชีวิตลูก พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ได้ แต่ต้องใช้วัตถุดิบ คือให้ไปขอเมล็ดผักอะไรสักอย่าง จากบ้านที่ไม่มีคนตาย ซึ่งพอแม่ไปถามบ้านไหน ๆ ทุกบ้านก็มีคนตายทั้งนั้น เลยเข้าใจว่าทุกคนเกิดมาก็ต้องตาย

อันนี้มันอาจจะไม่เกี่ยวกับที่เจ้าของกระทู้กลัวผีนะคะ แต่ตอนแรกเราก็กลัวเหมือนกัน ตอนเด็ก ๆ น่ะค่ะ โดนผู้ใหญ่ไซโคมาก ๆ ก็กลัว แต่พอโตมาแล้วก็เริ่มคิดได้ เรายังไม่เคยเห็นผีเลยอ่ะ ผีญาติสนิทมิตรสหายที่ตายไปก็ยังไม่เคยเห็น แล้วผีตามวัดตามถนนที่เราไม่เคยรู้จักมักคุ้น ไม่เคยพูดคุยหรือทำอะไรให้ (ถ้าผีมีจริงนะ) เราแค่ไปอยู่ที่เดียวกับเขา เขาจะมาอาฆาตมาดร้ายเราทำไม

ส่วนเรื่องที่ว่าฆ่าตัวตายน่ะค่ะ หลายคนก็ชอบไปด่าไปว่าเขาคิดสั้น แต่จริง ๆ คือเขาไม่คิดอะไรเลยต่างหาก ไม่ใช่ไม่คิด แต่เขาคิดไม่ได้ เพราะเขาอยู่ในภาวะที่จิตใจไม่ปกติ หรือที่เรียกว่าโรคซึมเศร้านั่นแหละ ไม่ใช่ทุกคนนะคะที่เข้มแข็ง เราอาจจะเคยเครียดเคยผ่านประสบการณ์ร้าย ๆ มา (เราก็เคย) แต่เรายังผ่านมันมาได้ ตอนแรก ๆ เราก็คิดเหมือนกันว่าทำไมคนพวกนั้นเขาถึงผ่านมันไม่ได้วะ เรายังทำได้เลย แต่เราไปตัดสินเขาไม่ได้หรอกค่ะ

ไม่ใช่ทุกคนที่ถูกเลี้ยงดูมาเหมือนกัน บางคนพ่อแม่ปล่อย ๆ อยู่กับเพื่อน ก็เป็นคนแกร่ง ๆ (แต่พอถูกเพื่อนหักหลัง มันก็เศร้านะ พ่อแม่ก็ไม่สนิท ไม่รู้จะไประบายกับใคร) หรือบางคนพ่อแม่เลี้ยงดูมาแบบประคยประหงม ไม่ค่อยได้ใช้ชีวิตกับเพื่อน ไม่มีเพื่อนสนิท ถ้าวันนึงพ่อแม่จากไปก็คงเศร้ามาก ๆ สถานการณ์ของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันค่ะ เราไม่รู้ว่าเขาโตมายังไง เราไปคิดแทนเขาไม่ได้หรอก บางคนอาจจะไม่มีที่ไปจริง ๆ ความตายอาจเป็นทางเดียวที่จะทำให้เขาพ้นทุกข์ได้ มันก็มีนะคะ

เราอาจจะไม่เห็นด้วยกับการฆ่าตัวตาย (เราคนหนึ่งแหละที่มั่นใจว่าตัวเองจะไม่ฆ่าตัวตายเด็ดขาด) แต่เราก็อย่าไปตราหน้าคนที่เขาฆ่าตัวตายว่าเป็นพวกไสมอง คิดสั้น ไม่ใช้เหตุผลเลยค่ะ.. เขาอาจจะมีเหตุผลของเขาก็ได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่