นานาทรรศนะต่อนรกและสวรรค์

นรกและสวรรค์เป็นที่เสวยผลกรรมหลังการตาย

                นรกและสวรรค์มีอยู่จริงตามพุทธฎีกาว่า  “ดูก่อนสารีบุตร  เราย่อมรู้ชัดซึ่งนรก  ทางไปถึงนรก  และปฏิปทาที่จะให้สัตว์เข้าถึงนรก  ดูก่อนสารีบุตร  เราย่อมรู้ชัดซึ่งเทวดาทั้งหลาย  ทางอันยังให้ไปถึงเทวโลก”  อนุสาสนีนี้คือพระบาลีที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า   พุทธบริษัทผู้ศรัทธาในพระพุทธศาสนาควรศึกษาตามให้เข้าใจ

                “นิรยภูมิคือโลกนรกนี้  เป็นโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ล้วน ๆ  เป็นโลกที่ปราศจากความสุขโดยสิ้นเชิง  สัตว์ผู้ไปเกิดในโลกนรกนี้  ไม่มีความสุขแต่สักนิดหนึ่งเลย  เพราะฉะนั้น  โลกนี้จึงชื่อว่านิรยภูมิ”

                มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายที่ได้ประกอบอกุศลกรรมไว้มากจนตายไปเกิดเป็นสัตว์ในมหานรกซึ่งเป็นนรกขุมใหญ่ขึ้น  หากกรรมยังไม่สิ้นก็ต้องไปเสวยผลกรรมชั่วในอุสสทนรกชั้นใน   หากกรรมยังไม่สิ้นต้องไปเสวยทุกข์โทษในยมโลกซึ่งเป็นนรกบริวารชั้นนอกต่อไปอีกด้วยอำนาจแห่งบาปกรรมที่ตนได้กระทำไว้เป็นเครื่องชัดนำไป นรกรวมทั้งหมดมี  457  ขุม   เหล่าสัตว์ที่ไปอุบัติในนรกเหล่านี้ทั้งหมด  ต้องเสวยทุกข์โทษ   ได้รับความทรมานอย่างสาหัสตลอดเวลา  แต่จะเป็นเวลานานเท่าใดจึงจะพ้นจากทุกข์ในนรกเหล่านั้นไม่มีกำหนดแน่นอน  ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับบาปกรรมที่กระทำไว้เป็นประมาณหมายความว่า  ถ้าทำบาปกรรมไว้มากก็ต้องตกนรกอยู่นานและตกหลายขุม

                “.....พอเสวยกรรมในมหานรกแล้ว  บางทีตกนรกที่เป็นบริวารก่อนแล้วจึงไปตกมหานรกก็มี  สุดแต่ว่ากรรมใดจะให้ผลก่อน  บางที  ถ้าทำบาปกรรมไว้มาก  ต้องตกนรกดะเรื่อยไปผ่านมหานรกทั้ง  8  ขุมก็มี  ถ้าทำบาปกรรมไว้น้อย  ก็เพียงตกนรกเหล่านั้นไม่มากนัก   กุศลกรรมที่ตนทำไว้บันดาลให้ระลึกถึงบุญกุศลขึ้นมา   ก็เปลี่ยนสภาพจากสัตว์นรกไปอุบัติในภูมิอื่นต่อไปตามยถากรรม.....”

                เมื่อมนุษย์ผู้มีจิตไม่บริสุทธิ์ประพฤติอกุศลกรรม  ก่อนที่จะขาดใจตายจากมนุษย์ไปผุดเกิดเป็นสัตว์นรกทั้งหลายนั้น   จะมีเหตุการณ์อันแสดงว่าตนจะได้ไปเกิดเป็นสัตว์นรกแน่นอนมาปรากฏอย่างใดอย่างหนึ่งใน  3 อย่าง  คือ
                1.  กรรมารมณ์   ได้แก่  กรรมที่ตนกระทำไว้ในช่วงชีวิตนี้  จะปรากฏเป็นภาพให้เห็นชัดเจนในมโนทวาร
                2.  กรรมนิมิตตารมณ์  ได้แก่  อุปกรณ์ที่ใช้ทำบาปกรรมในช่วงชีวิตนี้  เช่น  ดาบ  มีด  ปืนจะปรากฏเป็นกรรมนิมิตแก่คนผู้จวนจะตาย
                3.  คตินิมิตตารมณ์  ได้แก่  นิมิตที่บ่งบอกถึงลักษณะแห่งโลกที่ตนจะต้องไปเกิดหลังจากตาย  เช่น  เห็นเปลวไฟที่ร้อนระอุ   เห็นหม้อกระทะทองแดง  เห็นต้นงิ้ว   เห็นยมบาลผู้ทำหน้าที่ลงโทษสัตว์นรก

                นิมิตอย่างใดอย่างหนึ่งใน  3  อย่างนั้น  สัตว์ผู้จะต้องไปเกิดในนรกทุกคนต้องเห็นก่อนตายเหมือนท่านผู้เป็นเศรษฐีคนหนึ่ง   เคยประกอบอาชีพทุจริต  เอาเปรียบเพื่อนมนุษย์สร้างความร่ำรวยแก่ตนเอง  เมื่อถึงคราวเจ็บป่วย  ญาติพี่น้องจะนำส่งโรงพยาบาลก็ไม่ยอมไป  อยากนอนเฉพาะในที่มีดินโคลนแฉะ   ญาติพี่น้องจึงสร้างสถานที่จำลองภายในบ้าน  โดยเอาดินผสมน้ำทำเป็นปลักโคลนและให้เปรอะเปื้อนด้วยสิ่งสกปรก  ทำให้เป็นที่นอนสำหรับเขา  เขาจึงพอนอนอยู่ได้  วันหนึ่ง ขณะที่หมอกำลังรักษาอยู่  คนไข้นี้พูดคล้ายกับเพ้อพร้อมกับสะอื้นว่า

                “ผมมีที่ดินมาก  มีนามีสวน  แต่ผมจะหาที่นอนให้สบายก็ไม่มี  มันมีแต่ที่ร้อนเป็นไฟทั่วไปหมดทุกหนทุกแห่ง  ต้องนอนที่ดินชื้น ๆ  แฉะ ๆ  เพื่อให้โคลนช่วยลดความร้อนออกไป หมอต้องช่วยผม  ผมไม่อยากตายนะหมอ....

                คนไข้พยายามลืมตาดูหมอ  พูดช้า ๆ อยู่เช่นนั้นด้วยความรู้สึกกลัว  กอดมือหมอไว้แน่น ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะนิมิตอย่างใดอย่างหนึ่งมาปรากฏแก่เขานั่นเอง

                ส่วนเรื่องสวรรค์นั้นก็ตรงกันข้ามกับนรกในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ในมนุษย์โลกนี้ มนุษย์คนใดประพฤติตน  นำชีวิตตนให้ดำเนินไปตามปฏิปทาทางไปสู่เทวโลกหรือโลกสวรรค์แล้ว  มนุษย์ผู้นั้นก็ย่อมไม่แคล้วที่จะได้ไปอุบัติเกิดเป็นเทพบุตรธิดา    เสวยสุขสมบัติในสรวงสวรรค์  บางท่านอาจตั้งข้อสงสัยว่า  สิ่งที่มนุษย์พูดกันคือสวรรค์และเทวดาหรือนรกและสัตว์นรกเหล่านี้  เป็นความจริงที่ปรากฏหรือเป็นเพียงเรื่องจินตนาการที่มนุษย์ยุคนี้ได้สืบทอดจากยุคนี้ได้รับสืบทอดจากยุคโบราณ  หากเราจะมองในแง่จินตนาการก็อาจเป็นไปได้ที่คนเราอาจนึกเอาเช่นนั้น  แต่หากมองกันในแง่ปรัชญาทวิภาวนิยม  คือการยืนยัน ว่า  เอกภพนี้จะมีแต่สภาวะที่คู่กันเสมอ  เช่น   ตะวันตกคู่กับตะวันออก  ดวงจันทร์คู่กับดวงอาทิตย์  และความร้อยอยู่กับความเย็นเป็นต้น  ย่อมเป็นการยากที่ปฏิเสธทฤษฎีนี้ได้


อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/216100
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่