สวัสดีครับ กระทู้นี้เป็นกระทู้รีวิวแรกของผมเลย
เห็นคนอื่นเค้าไปเที่ยวกันมาแล้วรีวิวกันก็เลยอยากลองเขียนรีวิวดูบ้าง
การเที่ยวเชียงใหม่ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองของผม หลังจากครั้งแรกไปแบบมึนๆงงๆ
ครั้งนี้ก็ไปแบบมึนๆงงๆอีกเหมือนเดิม เมื่อตอนเดือนมีนามีงานไทยเที่ยวไทย
ก็ไปเดินในงานบอกตรงๆว่าติดใจอยากไปเชียงใหม่อีกสักรอบ เดินหยิบโบร์ชัวร์มาเต็มมือ
สุดท้ายก็ไปได้มาที่นึงชื่อบ้านดินกี่ตรงกาดสวนแก้ว มีวอเชอร์ใช้ได้ตั้งแต่ซื้อยันถึงตุลาคม ชอบก็ตรงนี้แหละนานดี
การเดินทางผมเลือกไปทางเครื่องบิน เพราะนั่งรถทัวร์นานๆแล้วตัวงอทุกทีเวลาลงจากรถ
หลังจากที่ทุกอย่างลงตัวหมดแล้วก็ได้เวลาเดินทาง ที่พักพร้อม ตั๋วเครื่องบินพร้อม ตังค์พร้อม
แต่.............การจราจรไม่พร้อม ผมโดยสารรถไฟฟ้ามาลงที่สถานีจตุจักรตอนเกือบ 5 โมงเย็น
โบกแท๊กซี่คันแล้วคันเล่า ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ไม่ได้สักคัน
ดูนาฬิกา เกือบ 5 โมงครึ่งแล้ว shipหายละ เครื่องออกทุ่มนึง
เอาไงดี ตัดใจเดินไปหาพี่วินที่ดูท่าทางใจดี
ผม : พี่ครับไปดอนเมืองเท่าไหร่ครับ
พี่วินใจดี : 400
ผม : ขอบคุณครับพี่ ไม่ไปครับ (คิดในใจ แพงอิ๊บอ๋าย ขูดเลือดขูดเนื้อจริงๆ)
พอเดินจากมา มีตะโกนตามหลังมาด้วย 350 ก็ได้นะ
เด่ออออ ไม่ง้อครับ เดินลากกระเป๋าไล่ถามทีละวิน จนมาได้วินสุดท้าย ในราคามิตรภาพ 300 บาท
พี่วินถามว่า ทำเวลาไหม ก็ตอบไปว่า ทำสุดๆ เครื่องผมจะออกทุ่มนึง
พี่วิน (เบนซิน91)แกก็ fast & furios ลัดเลาะปาดซ้ายป่ายขวาแทรกกลาง จนมาถึงสนามบิน ใช้เวลาประมาณ 20 นาที
ทันเช็คอินอยู่ โล่งอก กะว่าถ้าไม่ทันก็คงบ๊ายบายนกแอร์ แล้วบ่ายหน้าไปนครชัยแอร์แทน
หลังจากที่ถึงสนามบินเชียงใหม่ ก็เรียกแท๊กซี่จากสนามบินบอกโชเฟอร์ว่าไปบ้านดินกี่ตรงกาดสวนแก้วรู้จักไหม
แท๊กซี่ก็โอเครู้จักขับพาไป ในราคา 160 บาท นั่งชิลๆไปสักอึดใจพี่แกก็พาเลี้ยวเข้าซอยไปจอดหน้าโรงแรม เอ้อโรงแรมใหญ่ดี
บริกรก็เปิดประตูให้พร้อมยกกระเป๋า เดินไปที่เคาเตอร์ พร้อมยื่นวอเชอร์ให้
แล้วพนักงานโรงแรมก็บอกว่าที่นี่โลตัสปางสวนแก้ว ไม่ใช่บ้านดินกี่ แหกครับหน้าแหกเลย
แล้วพนักงานก็ชี้ไปอีกฝั่ง ให้ออกไปทางหน้าโรงแรมเลี้ยวขวาจะเจอลิฟท์
เดินออกมาหน้าโรงแรม หันไปทางขวามืดๆ เป็นที่จอดรถ กับน่าจะเป็นหลังห้าง บอกตรงๆว่า
หาไม่เจอจนต้องย้อนไปถามพนักงานรับรถที่โรงแรม
เค้าก็พาเดินไปที่ลิฟท์ เจอซะที
(ถ้าใครจะมาแนะนำว่า บอกแท๊กซี่ลงหน้ากาดก็พอ หาทางเข้าง่ายกว่าเยอะ
เพราะมีป้ายบอกตรงทางจอดรถ เดินเข้าไปไม่เท่า ไหร่ก็เจอทางขึ้นโรงแรมละ แล้วแท๊กซี่มันจะพาไปข้างหลัง เพื่อ!? )
ทางเข้า ตรงเข้าไป จะเจอป้ายบอกทางหาไม่ยาก
กดขึ้นไปชั้น 4 พอประตูลิฟท์เปิดออกมา คำถามแรก ผิดชั้นรึเปล่าวะ
หันไปทางซ้าย ทางโคตรมืด มองไปสุดทางจินตนาการว่า จะมีผุ้หญิงชุดขาวผมยาวปิดหน้าคลานมาแต่ไกลไหม
(อันนี้ถ่ายตอนกลางวัน ช่วงเช้า เลยรู้ว่าตรงนั้นคือส่วนของโรงหนัง,โบว์ลิ่ง,คาราโอเกะ )
พอหันไปทางขวาก็มองเห็นรีเซฟชั่นอยู่ไม่ไกล (ลิบๆ)
พอไปถึงก็จัดการเอาวอเชอร์ที่จองมาให้ (ซื้อมาแค่2ใบ ตอนซื้อที่งานพนักงานขายก็พยามเชียร์
ให้ซื้อ 5 ใบ เพราะจะได้ลดเหลือใบละ 500 บ่องตรงอยากซื้อแต่ไม่มีเวลาเที่ยวเยอะขนาดนั้นนี่สิ
)
พนักงานโรงแรมก็ต้อนรับอย่างดีพร้อมให้กรอกเอกสารและแนะนำว่าแต่ละชั้นจะตบแต่งไม่เหมือนกัน
ตอนนี้มี 3 ชั้น ชั้น1ตบแต่งสไตล์ บลา บลา บลา สามารถเดินดูได้ บริการอบอุ่นดีนะ ชวนคุยตลอด
ถ้าพาไปเดินดูได้คงพาไปละ ส่วนใหญ่เจอแต่แบบกรอกเอกสารแล้วก็รอเอากุญแจ
แล้วก็ตัวใครตัวมัน หลังจากที่กรอกเอกสารเรียบร้อย ก็ได้กุญแจมา
ตรงนี้อายนิดหน่อย
ปกติเวลาไปพักโรงแรมส่วนมากผมจะเจอแบบมีช่องให้เสียบคีย์การ์ด์ไว้
แต่ที่นี่ไม่มี มีแต่แผ่นตรงผนังเขียนว่าให้แปะ ไอ้ผมก็นึกว่ามันจะคล้ายๆบัตรพร๊อก
แตะปุ๊บไฟติดแอร์ติดก็ดึงออก สักแปบไฟ แอร์ดับ แปะใหม่อยู่ สองสามรอบได้ ถึงเพิ่งรู้ว่ามันเป็นแม่เหล็กดูดติดผนัง
สภาพภายในห้องพักก็ประมาณนี้ รูปนี้ถ่ายตอนแม่บ้านทำความสะอาดเสร็จใหม่ๆ
ผมได้ห้องเตียงคู่มา (แต่นอนคนเดียว เหงาจุง)
ห้องน้ำก็ปกติ แต่ที่ชอบคือฝักบัวน้ำไหลแรงมาก สะใจมากเวลาสระผม
อีกอย่างที่ชอบคือ ปลั๊กไฟ เยอะจริงๆ ในห้อง 4 จุด ชอบมาก
เสียบทั้งแบตกล้อง ทั้งมือถือ ทั้งพาวเวอร์แบงค์
บางที่ทั้งห้องมีปลั๊กเดียวไม่รุ้จะงกไปใหน
วิวที่ได้จากหน้าต่าง ด้านเขาที่เห็นไกลๆนั่นคือดอยสุเทพครับ เห็นไหม เห็นเถอะ
อาหารการกิน ก็ในกาดสะดวกสุด หรือถ้าเป็นตอนกลางคืน ก็โบกสามล้อหรือรถแดง ไปตลาดช้างเผือกเอาก็ได้
บริเวณของล๊อบบี้ แต่ละชั้น
ส่วนตัวแล้วผมชอบนะ เพราะโรงแรมแต่ละที่ล๊อบบี้ส่วนมากไม่ค่อยมีอะไรนอกจากโซฟาให้นั่งรอฆ่าเวลา
แต่อันนี้เราสามารถออกมานั่งเล่นได้ มีหนังสือให้อ่านมีของเล่นให้ทำกิจกรรมได้ หรือเอาไว้เป็นมุมถ่ายรูปก็เก๋ดี
ไม่ต้องอุดอู้แต่ในห้อง ถ้าไม่ได้ออกไปใหน
มีของให้เล่นแก้เซ็งตรงล๊อบบี้ด้วย (เล่นคนเดียว อีกละ)
หลังจากเช็คอินเก็บของเรียบร้อยท้องก็เริ่มร้อง เลยออกไปหาของกินที่ตลาดช้างเผือก
เรียกรถแดงไปแบบหัวแตกเลือดสาดนิดหน่อย 40 บาท
มาถึงอย่างแรกก็ต้องลองเลยข้าวขาหมู ช้างเผือก ถึงเสียงลือเสียงเล่าอ้าง
ไม่ใช่เรื่องรสชาติแต่เป็นแม่ค้า แอบแปลกใจนิดหน่อยร้านติดกันขายข้าวขาหมูเหมือนกันแต่นั่งตบยุง
ไม่อร่อยหรือยังไงอันนี้ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าไปอีก จะไปลองกินร้านข้างๆดู
ว่าแล้วก็สั่งซะจานนึง
หน้าตาประมาณนี้
ถามว่าอิ่มไหม ไม่แน่นอน ส่วนเรื่องรสชาติขอไม่พูดถึงเพราะตอนนั้นหิวมาก
เสร็จแล้วต่อด้วยข้าวเหนียวมะม่วงไปอีกจาน
ไม่ได้ถ่ายหน้าตามาเพราะมาถึงก็ซัดเรียบวุธภายในไม่กี่อึดใจ
อันนี้อร่อย
ปิดท้ายรายการที่หมูสะเต๊ะ
อิ่มกำลังดี
[CR] Review การเดินทางเที่ยวเชียงใหม่ ของผม
เห็นคนอื่นเค้าไปเที่ยวกันมาแล้วรีวิวกันก็เลยอยากลองเขียนรีวิวดูบ้าง
การเที่ยวเชียงใหม่ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองของผม หลังจากครั้งแรกไปแบบมึนๆงงๆ
ครั้งนี้ก็ไปแบบมึนๆงงๆอีกเหมือนเดิม เมื่อตอนเดือนมีนามีงานไทยเที่ยวไทย
ก็ไปเดินในงานบอกตรงๆว่าติดใจอยากไปเชียงใหม่อีกสักรอบ เดินหยิบโบร์ชัวร์มาเต็มมือ
สุดท้ายก็ไปได้มาที่นึงชื่อบ้านดินกี่ตรงกาดสวนแก้ว มีวอเชอร์ใช้ได้ตั้งแต่ซื้อยันถึงตุลาคม ชอบก็ตรงนี้แหละนานดี
การเดินทางผมเลือกไปทางเครื่องบิน เพราะนั่งรถทัวร์นานๆแล้วตัวงอทุกทีเวลาลงจากรถ
หลังจากที่ทุกอย่างลงตัวหมดแล้วก็ได้เวลาเดินทาง ที่พักพร้อม ตั๋วเครื่องบินพร้อม ตังค์พร้อม
แต่.............การจราจรไม่พร้อม ผมโดยสารรถไฟฟ้ามาลงที่สถานีจตุจักรตอนเกือบ 5 โมงเย็น
โบกแท๊กซี่คันแล้วคันเล่า ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ไม่ได้สักคัน
ดูนาฬิกา เกือบ 5 โมงครึ่งแล้ว shipหายละ เครื่องออกทุ่มนึง
เอาไงดี ตัดใจเดินไปหาพี่วินที่ดูท่าทางใจดี
พี่วินใจดี : 400
ผม : ขอบคุณครับพี่ ไม่ไปครับ (คิดในใจ แพงอิ๊บอ๋าย ขูดเลือดขูดเนื้อจริงๆ)
พอเดินจากมา มีตะโกนตามหลังมาด้วย 350 ก็ได้นะ
เด่ออออ ไม่ง้อครับ เดินลากกระเป๋าไล่ถามทีละวิน จนมาได้วินสุดท้าย ในราคามิตรภาพ 300 บาท
พี่วินถามว่า ทำเวลาไหม ก็ตอบไปว่า ทำสุดๆ เครื่องผมจะออกทุ่มนึง
พี่วิน (เบนซิน91)แกก็ fast & furios ลัดเลาะปาดซ้ายป่ายขวาแทรกกลาง จนมาถึงสนามบิน ใช้เวลาประมาณ 20 นาที
ทันเช็คอินอยู่ โล่งอก กะว่าถ้าไม่ทันก็คงบ๊ายบายนกแอร์ แล้วบ่ายหน้าไปนครชัยแอร์แทน
หลังจากที่ถึงสนามบินเชียงใหม่ ก็เรียกแท๊กซี่จากสนามบินบอกโชเฟอร์ว่าไปบ้านดินกี่ตรงกาดสวนแก้วรู้จักไหม
แท๊กซี่ก็โอเครู้จักขับพาไป ในราคา 160 บาท นั่งชิลๆไปสักอึดใจพี่แกก็พาเลี้ยวเข้าซอยไปจอดหน้าโรงแรม เอ้อโรงแรมใหญ่ดี
บริกรก็เปิดประตูให้พร้อมยกกระเป๋า เดินไปที่เคาเตอร์ พร้อมยื่นวอเชอร์ให้
แล้วพนักงานโรงแรมก็บอกว่าที่นี่โลตัสปางสวนแก้ว ไม่ใช่บ้านดินกี่ แหกครับหน้าแหกเลย
แล้วพนักงานก็ชี้ไปอีกฝั่ง ให้ออกไปทางหน้าโรงแรมเลี้ยวขวาจะเจอลิฟท์
เดินออกมาหน้าโรงแรม หันไปทางขวามืดๆ เป็นที่จอดรถ กับน่าจะเป็นหลังห้าง บอกตรงๆว่า
หาไม่เจอจนต้องย้อนไปถามพนักงานรับรถที่โรงแรม
เค้าก็พาเดินไปที่ลิฟท์ เจอซะที
(ถ้าใครจะมาแนะนำว่า บอกแท๊กซี่ลงหน้ากาดก็พอ หาทางเข้าง่ายกว่าเยอะ
เพราะมีป้ายบอกตรงทางจอดรถ เดินเข้าไปไม่เท่า ไหร่ก็เจอทางขึ้นโรงแรมละ แล้วแท๊กซี่มันจะพาไปข้างหลัง เพื่อ!? )
ทางเข้า ตรงเข้าไป จะเจอป้ายบอกทางหาไม่ยาก
กดขึ้นไปชั้น 4 พอประตูลิฟท์เปิดออกมา คำถามแรก ผิดชั้นรึเปล่าวะ
หันไปทางซ้าย ทางโคตรมืด มองไปสุดทางจินตนาการว่า จะมีผุ้หญิงชุดขาวผมยาวปิดหน้าคลานมาแต่ไกลไหม
(อันนี้ถ่ายตอนกลางวัน ช่วงเช้า เลยรู้ว่าตรงนั้นคือส่วนของโรงหนัง,โบว์ลิ่ง,คาราโอเกะ )
พอหันไปทางขวาก็มองเห็นรีเซฟชั่นอยู่ไม่ไกล (ลิบๆ)
พอไปถึงก็จัดการเอาวอเชอร์ที่จองมาให้ (ซื้อมาแค่2ใบ ตอนซื้อที่งานพนักงานขายก็พยามเชียร์
ให้ซื้อ 5 ใบ เพราะจะได้ลดเหลือใบละ 500 บ่องตรงอยากซื้อแต่ไม่มีเวลาเที่ยวเยอะขนาดนั้นนี่สิ )
พนักงานโรงแรมก็ต้อนรับอย่างดีพร้อมให้กรอกเอกสารและแนะนำว่าแต่ละชั้นจะตบแต่งไม่เหมือนกัน
ตอนนี้มี 3 ชั้น ชั้น1ตบแต่งสไตล์ บลา บลา บลา สามารถเดินดูได้ บริการอบอุ่นดีนะ ชวนคุยตลอด
ถ้าพาไปเดินดูได้คงพาไปละ ส่วนใหญ่เจอแต่แบบกรอกเอกสารแล้วก็รอเอากุญแจ
แล้วก็ตัวใครตัวมัน หลังจากที่กรอกเอกสารเรียบร้อย ก็ได้กุญแจมา
ตรงนี้อายนิดหน่อย
ปกติเวลาไปพักโรงแรมส่วนมากผมจะเจอแบบมีช่องให้เสียบคีย์การ์ด์ไว้
แต่ที่นี่ไม่มี มีแต่แผ่นตรงผนังเขียนว่าให้แปะ ไอ้ผมก็นึกว่ามันจะคล้ายๆบัตรพร๊อก
แตะปุ๊บไฟติดแอร์ติดก็ดึงออก สักแปบไฟ แอร์ดับ แปะใหม่อยู่ สองสามรอบได้ ถึงเพิ่งรู้ว่ามันเป็นแม่เหล็กดูดติดผนัง
สภาพภายในห้องพักก็ประมาณนี้ รูปนี้ถ่ายตอนแม่บ้านทำความสะอาดเสร็จใหม่ๆ
ผมได้ห้องเตียงคู่มา (แต่นอนคนเดียว เหงาจุง)
ห้องน้ำก็ปกติ แต่ที่ชอบคือฝักบัวน้ำไหลแรงมาก สะใจมากเวลาสระผม
อีกอย่างที่ชอบคือ ปลั๊กไฟ เยอะจริงๆ ในห้อง 4 จุด ชอบมาก
เสียบทั้งแบตกล้อง ทั้งมือถือ ทั้งพาวเวอร์แบงค์
บางที่ทั้งห้องมีปลั๊กเดียวไม่รุ้จะงกไปใหน
วิวที่ได้จากหน้าต่าง ด้านเขาที่เห็นไกลๆนั่นคือดอยสุเทพครับ เห็นไหม เห็นเถอะ
อาหารการกิน ก็ในกาดสะดวกสุด หรือถ้าเป็นตอนกลางคืน ก็โบกสามล้อหรือรถแดง ไปตลาดช้างเผือกเอาก็ได้
บริเวณของล๊อบบี้ แต่ละชั้น
ส่วนตัวแล้วผมชอบนะ เพราะโรงแรมแต่ละที่ล๊อบบี้ส่วนมากไม่ค่อยมีอะไรนอกจากโซฟาให้นั่งรอฆ่าเวลา
แต่อันนี้เราสามารถออกมานั่งเล่นได้ มีหนังสือให้อ่านมีของเล่นให้ทำกิจกรรมได้ หรือเอาไว้เป็นมุมถ่ายรูปก็เก๋ดี
ไม่ต้องอุดอู้แต่ในห้อง ถ้าไม่ได้ออกไปใหน
มีของให้เล่นแก้เซ็งตรงล๊อบบี้ด้วย (เล่นคนเดียว อีกละ)
หลังจากเช็คอินเก็บของเรียบร้อยท้องก็เริ่มร้อง เลยออกไปหาของกินที่ตลาดช้างเผือก
เรียกรถแดงไปแบบหัวแตกเลือดสาดนิดหน่อย 40 บาท
มาถึงอย่างแรกก็ต้องลองเลยข้าวขาหมู ช้างเผือก ถึงเสียงลือเสียงเล่าอ้าง
ไม่ใช่เรื่องรสชาติแต่เป็นแม่ค้า แอบแปลกใจนิดหน่อยร้านติดกันขายข้าวขาหมูเหมือนกันแต่นั่งตบยุง
ไม่อร่อยหรือยังไงอันนี้ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าไปอีก จะไปลองกินร้านข้างๆดู
ว่าแล้วก็สั่งซะจานนึง
หน้าตาประมาณนี้
ถามว่าอิ่มไหม ไม่แน่นอน ส่วนเรื่องรสชาติขอไม่พูดถึงเพราะตอนนั้นหิวมาก
เสร็จแล้วต่อด้วยข้าวเหนียวมะม่วงไปอีกจาน
ไม่ได้ถ่ายหน้าตามาเพราะมาถึงก็ซัดเรียบวุธภายในไม่กี่อึดใจ
อันนี้อร่อย
ปิดท้ายรายการที่หมูสะเต๊ะ
อิ่มกำลังดี